หลาย ๆ คนอาจจะเคยได้ยินว่า ยิ่งคนเราโตขึ้น เราก็จะยิ่งมีสติในการดำเนินชีวิตมากขึ้น ปล่อยวางมากขึ้น และใจเย็นมากกว่าที่เคย แต่ทำไมกันนะพอเราโตขึ้นจริง ๆ กลับพบว่า มีแต่อารมณ์โมโหหงุดหงิดกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ บ่อยมากขึ้น แบบนี้จะหาทางจัดการและสำรวจอารมณ์ตัวเองอย่างไรดี อยากเป็นคนที่คุมสติได้มากกว่านี้ ไม่ต้องกังวลไป Hack for Health มีความรู้ดี ๆ มาฝากกันอีกเช่นเคย 

ความหงุดหงิดในช่วงวัยที่สูงขึ้น อาจได้รับอิทธิพลมาจากปัจจัยหลายประการ 

อิทธิพลที่ว่านี้รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในด้านจิตวิทยา ชีววิทยา และสถานการณ์ในชีวิตที่แต่ละคนพบเจอ ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น แต่ก็มีกลุ่มคนบางกลุ่มที่กำลังประสบพบเจอกับสถานการณ์เช่นนี้อยู่มีความรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น แม้จะมีอายุที่มากขึ้นก็ไม่ได้ช่วยทำให้ใจเย็นลงเลยแม้แต่น้อย  Hack for Health ได้นำปัจจัยทางจิตวิทยา และปัจจัยที่เกี่ยวข้องที่อาจส่งผลทำให้คุณรู้สึกหงุดหงิดเพิ่มขึ้นกัน

1. การเปลี่ยนแปลงทางความคิด

เมื่อคนเราอายุมากขึ้น ก็อาจประสบพบกับการเปลี่ยนแปลงทางความคิด เช่น ความจำเสื่อม การประมวลผลข้อมูลช้าลง การคิดได้ช้าลงเป็นต้น การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจทำให้คุณรู้สึกหงุดหงิด และนำไปสู่ความโมโห เกรี้ยวกราด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อยิ่งรู้สึกว่าตนเองไม่ได้ทำงานในระดับที่เคยทำได้

2. ปัญหาด้านสุขภาพ

หลาย ๆ คนเมื่อมีอายุมากขึ้นก็ต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายด้านสุขภาพมากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่อาการปวดเรื้อรัง ทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายตัว และทำให้เกิดข้อจำกัดในการทำกิจกรรมประจำวันต่าง ๆ และการดำเนินชีวิตร่วมกับปัญหาสุขภาพอาจทำให้ร่างกายและจิตใจเหนื่อยล้า ส่งผลทำให้เกิดอาการหงุดหงิดอย่างมาก

3. การสูญเสียและความเศร้าโศกที่เกิดขึ้น 

ผู้ที่มีอายุมากขึ้น ก็อาจประสบกับเหตุการณ์การสูญเสียมากขึ้น เช่น การเสียชีวิตของคนที่รักหรือคนรอบข้าง ความเศร้าโศกและการสูญเสีย สามารถส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ทางอารมณ์ได้มาก ๆ 

4. รู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้น

คนเราเมื่อมีอายุมากขึ้น ก็อาจรู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการสูญเสียเพื่อนหรือสมาชิกในครอบครัว ความเหงาและการขาดปฏิสัมพันธ์ทางสังคม อาจทำให้เกิดความรู้สึกหงุดหงิดได้

5. ความเครียดทางการเงิน

ช่วงวัยทำงาน ก็เป็นอีกช่วงวัยหนึ่งที่สามารถพบกับปัญหาทางการเงินได้ ซึ่งก็อาจนำไปสู่ความเครียดทางการเงิน และอาจเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดความกังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด หรือความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจเกิดขึ้น

6. สูญเสียความยืดหยุ่นทางอารมณ์

ความยืดหยุ่นทางอารมณ์อาจลดลงตามอายุที่ลดลง ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อความเครียดและทำให้เกิดความหงุดหงิดมากขึ้น กลยุทธ์การรับมือที่เคยใช้ได้ผล อาจใช้ได้น้อยลงหรือใช้งานไม่ได้แล้ว

7. การเปลี่ยนแปลงในชีวิต

การเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่สำคัญ ๆ เช่น การย้ายที่ทำงาน การย้ายที่อยู่อาศัย หรือการรับมือกับสภาวะสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับอายุ อาจเป็นความท้าทายทางอารมณ์ และกระตุ้นให้เกิดอาการหงุดหงิดได้

8. ผลข้างเคียงจากยา

ช่วงวัยทำงานที่มีโรคประจำตัว อาจต้องรับประทานยาหลายชนิด และยาเหล่านี้บางชนิดอาจมีผลข้างเคียงที่ส่งผลต่ออารมณ์และอารมณ์ และอาจนำไปสู่อาการหงุดหงิดได้

9. การเปลี่ยนแปลงทางระบบประสาท

โครงสร้างสมองและการทำงานอาจเปลี่ยนแปลงตามอายุ ซึ่งอาจส่งผลต่อการควบคุมอารมณ์ได้ 

10. ปัญหาทางจิตวิทยา ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข

ปัญหาทางจิตใจที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข หรือบาดแผลในอดีต หรือปมในอดีตบางอย่าง สามารถหวนกลับสู่จิตใจเมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น และนำไปสู่ความหงุดหงิดหรือเกิดความทุกข์ทางอารมณ์

พัฒนาสุขภาพจิต เพื่อสร้างชีวิตที่ดี 

อย่างไรก็ตามไม่ใช่ผู้ที่มีอายุมากทุกคนจะมีอาการหงุดหงิดมากขึ้น และหลาย ๆ คนก็ยังคงรักษาสุขภาพจิตเชิงบวกและความเป็นอยู่ที่ดีทางอารมณ์ได้ ซึ่งปัจจัยต่าง ๆ เช่น การได้รับการสนับสนุนทางสังคม การวางแผนกลยุทธ์การรับมืออารมณ์ที่ไม่พึงประสงค์ การปรึกษาจิตแพทย์ สามารถบรรเทาความหงุดหงิด และส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ และ Hack for Healthขอแนะนำวิธีดูแลตัวเองเพิ่มเติม ดังนี้

  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการรักษาสุขภาพจิตที่ดี และร่างกายที่ยอดเยี่ยม สามารถช่วยลดความเครียด ปรับอารมณ์ และเพิ่มระดับพลังงานเชิงบวกได้
  • รับประทานอาหารที่สมดุล: อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ สามารถส่งผลดีต่อสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจ หลีกเลี่ยงการทานน้ำตาล อาหารแปรรูป และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป 
  • การนอนหลับที่เพียงพอ: คุณต้องนอนหลับอย่างมีคุณภาพเพียงพอ เนื่องจากการอดนอนอาจทำให้เกิดอาการหงุดหงิด และส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตของคุณได้

วิธีจัดการความเครียด 

  • ฝึกเทคนิคการจัดการความเครียด เช่น การฝึกสติ การทำสมาธิ หรือการฝึกหายใจเข้าลึก ๆ 
  • ตั้งความหวังที่สมจริง คุณอาจจะไม่ลดระดับความเครียดได้ในทันที แต่ถ้าความเครียดก็ค่อย ๆ ลดระดับเป็นสเต็ปก็ถือว่าคุณก้าวหน้าและพัฒนาแล้ว

สุดท้าย คุณอาจขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญได้ หากคุณมีอาการหงุดหงิด หรืออารมณ์เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต ที่สามารถให้คำแนะนำ นำเสนอการบำบัด แก่คุณได้ อย่าลืมว่าทุกปัญหามีทางแก้และมีทางออกเสมอ เพียงแต่คุณก็อาจต้องพยายามทำใจเย็นและมองหาวิธีแก้ปัญหารอบด้านเท่านั้น และสุดท้ายนี้ถ้าคุณรับมือคนเดียวไม่ไหว อย่าลืมขอความช่วยเหลือจากคนที่คุณไว้ใจได้ ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นเพื่อน พ่อ แม่ พี่น้อง หรือใครก็ตาม

อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ OOCA (อูก้า) ปรึกษาปัญหาใจ

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส