นักวิทยาศาสตร์ในจีนประกาศว่ากำลังพัฒนา หุ่นยนต์อุ้มบุญ ตัวแรกของโลก ที่ไม่เพียงแต่มีมดลูกเทียม (Artificial womb) แต่ยังสามารถตั้งท้อง ดูแลทารกในครรภ์ ไปจนถึงการคลอดได้ด้วยตัวเองทั้งหมด แม้อ่านเพียงผิวเผินหลายคนอาจเกิดความรู้สึกมากมายขึ้นถึงความก้าวหน้าของการแพทย์และวิทยาศาสตร์ ไปจนถึงการมีอยู่ของมนุษย์ และสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่ดำรงเผ่าพันธุ์ตามสมดุลทางชีววิทยามานับล้านปี
หุ่นยนต์ตั้งท้องได้ ทำงานยังไง ?
ลองนึกภาพหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ หรือหุ่นยนต์ที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ที่ภายในช่องท้องไม่ได้มีเครื่องจักร แต่เป็นมดลูกเทียมที่เชื่อมต่อกับท่อส่งสารอาหารตลอด 24 ชั่วโมง
ดร. จาง ฉีเฟิง (Dr. Zhang Qifeng) ผู้ก่อตั้งบริษัท Kaiwa Technology และหัวหน้าโครงการนี้ ยืนยันว่าเทคโนโลยีมดลูกเทียมนั้นพร้อมใช้งานแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการนำมันไปติดตั้งในตัวหุ่นยนต์ เพื่อให้มนุษย์สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับหุ่นยนต์และตั้งท้องได้ โดยคาดว่าจะได้เห็นตัวต้นแบบกันภายในปีหน้า ในราคาที่คาดการณ์ไว้ประมาณ 100,000 หยวน หรือราว ๆ 500,000 บาท
ความหวังของคนอยากมีลูก vs ฝันร้ายของมนุษยชาติ
ทันทีที่ข่าวนี้ถูกเผยแพร่บน Douyin (TikTok ของจีน) โซเชียลมีเดียก็ลุกเป็นไฟ โดยแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายอย่างชัดเจน ทั้งทีมสนับสนุนที่มองว่าหุ่นยนต์อุ้มบุญคือความหวังสำหรับคู่รักที่มีบุตรยากและต้องทุ่มเงินมหาศาลไปกับการทำเด็กหลอดแก้วที่อาจล้มเหลว อีกทั้งยังเป็นทางเลือกที่จะช่วยให้ผู้หญิงไม่ต้องเผชิญกับความเจ็บปวด ความเสี่ยง และความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายจากการตั้งครรภ์
ในขณะเดียวกันฝั่งที่คัดค้าน มองว่าสิ่งนี้เป็นหายนะ โดยตั้งคำถามเชิงจริยธรรมอย่างรุนแรงถึงความโหดร้ายในการพรากสายสัมพันธ์ระหว่างแม่กับทารกในครรภ์ และได้บอกว่าการใช้หุ่นยนต์อุ้มบุญเป็นเรื่องผิดธรรมชาติ และยังเกิดคำถามว่าจะนำไข่มาจากไหนเพื่อใช้ในกระบวนการนี้
ปลดแอกความจริงทางชีววิทยา เมื่อการสืบพันธุ์ไม่ผูกติดกับร่างกาย
การมาถึงของมดลูกเทียมไม่ได้เป็นเพียงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แต่ยังท้าทายแก่นแท้ของการดำรงอยู่ของมนุษย์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน มันบังคับให้เราต้องตั้งคำถามกับสิ่งที่เคยเป็นความจริงทางชีววิทยานับล้านปี และอาจส่งผลกระทบอย่างมหาศาล
ย้อนไปตั้งแต่ยุค 70 นักสตรีนิยมอย่าง แอนเดรีย ดวอร์กิน (Andrea Dworkin) เคยเตือนว่ามดลูกเทียมอาจนำไปสู่ “จุดจบของผู้หญิง” เพราะเมื่อผู้ชายสามารถมีลูกได้โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้หญิงแล้ว พวกเขาจะยังต้องการให้มีผู้หญิงอยู่บนโลกอีกหรือไม่ ?
- นิยามของ แม่ ที่เปลี่ยนไป เมื่อการอุ้มท้องกว่า 9 เดือนถูกแยกออกจากร่างกายผู้หญิง นิยามคำว่าแม่จะเปลี่ยนไปในทิศทางไหน ความเป็นแม่จะถูกเปลี่ยนสถานะจากบทบาททางชีววิทยาไปสู่บทบาททางสังคมโดยสมบูรณ์ แล้วสายสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์ ซึ่งเคยเชื่อมโยงแม่กับลูกที่เป็นรากฐานของครอบครัว จะถูกแทนที่ด้วยสิ่งใด
- จุดสิ้นสุดของบทบาททางเพศ ? หากภาระทางชีววิทยาในการให้กำเนิดมนุษย์ถูกลบออกไป โครงสร้างทางสังคมที่เคยถูกสร้างขึ้นจากบทบาททางเพศตามชีววิทยาก็อาจพังทลายลง มดลูกเทียมอาจเป็นเครื่องมือที่นำไปสู่ความเท่าเทียมทางเพศขั้นสูงสุด หรือในทางกลับกัน มันอาจลดทอนบทบาทหรือแม้แต่คุณค่าของผู้หญิงในฐานะผู้ให้กำเนิดเผ่าพันธุ์
- คุณค่าของความเจ็บปวด การตั้งครรภ์มาพร้อมกับความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมาน แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นประสบการณ์ที่สร้างความหมายและพลังใจอย่างลึกซึ้ง การที่เราเลือกที่จะทุ่นแรงในขั้นตอนนี้ให้กับเครื่องจักร อาจทำให้มนุษย์สูญเสียมิติที่สำคัญของชีวิตไปหรือไม่ ? การหลีกเลี่ยงความทุกข์ทางชีวภาพ อาจแลกมาด้วยความว่างเปล่าทางจิตวิญญาณและความสัมพันธ์ ราวกับเราจะต้องเลี้ยงลูกของคนอื่นหรือไม่ ? แล้วในวันหนึ่งเมื่อเวลาผ่านไป สิ่งนี้จะกลายเป็นนอร์ม (Norm) ในสังคมหรือเปล่า ?
- มนุษย์ในฐานะผู้ออกแบบเผ่าพันธุ์ หลายพันปีมนุษย์หลายพื้นที่ในโลกเชื่อว่าเราถูกสร้างโดยพระผู้เป็นเจ้าผ่านระบบชีววิทยา แต่เทคโนโลยีนี้คือก้าวที่มนุษย์กำลังก้าวข้ามจาก “สิ่งที่ถูกสร้างโดยธรรมชาติ” ไปสู่การเป็น “ผู้สร้าง” อย่างเต็มตัว เราไม่ได้แค่ดัดแปลงยีน แต่กำลังจะควบคุมกระบวนการให้กำเนิดทั้งหมด
สุดท้ายนี้ ไม่ว่าโครงการนี้จะสำเร็จหรือไม่ แต่คำถามสำคัญก็ได้ถูกโยนมาให้พวกเราทุกคน ถ้าเลือกได้ คุณจะให้หุ่นยนต์ตั้งท้องแทนคุณหรือไม่ ? และโลกที่เด็กเกิดจากเครื่องจักร จะยังมีหน้าตาเหมือนเดิมอีกต่อไปหรือเปล่า ? แล้วความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกจะเป็นอย่างไร ?