ลิล เทย์ (Lil Tay) เป็นหนึ่งในอินฟลูเอนเซอร์เด็กเจนแรก ๆ ในสังคมอเมริกาเลยก็ว่าได้ โดยเธออายุเพียง 9 ขวบเท่านั้นขณะที่เธอโด่งดัง เชื่อว่าใครที่เล่นโซเชียลมานานต้องเคยเห็นคลิปเทย์ออกมาโปรยเงิน นั่งรถหรู พร้อมกับพูดคำหยาบ และถ้อยคำดูถูกเหยียดหยามฐานะ และเชื้อชาติจนทำให้มีคนเข้าไปโต้ตอบ ทั้งคอมเมนต์ด่า หรือแชร์คลิปเธอไปด่า ซึ่งนั่นทำให้ ลิล เทย์ ดังเป็นพลุแตกในแคนาดา อเมริกา และทั่วโลกผ่านทางโลกออนไลน์

ก่อนที่จู่ ๆ เธอก็หายตัวไปจากโซเชียลมีเดียไปหลายปี และในปี 2023 มีข่าวออกมาว่าเทย์นั้นเสียชีวิต แต่นั่นเป็นข่าวปลอม เพราะเธอเพิ่งปล่อย MV เพลงใหม่ไม่นานหลังจากนั้น พร้อมออกมาไลฟ์แฉว่าเรื่องราวทั้งหมดเกิดจากพ่อของเธอ แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ทั้งหมด

ลิล เทย์ หรือชื่อจริง Claire Hope เกิดในปี 2007 เธอเป็นเด็กหญิงชาวแคนาดาที่ปรากฎตัว และเป็นที่รู้จักบนโลกออนไลน์ด้วยอายุ 9 ปี โดยเธอเรียกตัวเองว่า ‘The Youngest Flexer Girl of Century’ หรือเด็กขี้อวดที่อายุน้อยที่สุดแห่งศตวรรษ

Abusive Parents พ่อแม่รังแกฉันในเรื่องราวของ Lil Tay

ในช่วงที่เทย์ดังเป็นพลุแตกด้วยการแสดงพฤติกรรมสุดก้าวร้าวเป็นช่วงเวลาที่เธออายุเพียง 9 ขวบ ซึ่งเธออาศัยอยู่กับแม่ (Angela Tien) และพี่ชาย (Jason Tien) ส่วนพ่อของเธอหย่าร้างกับแม่ของเธอไปนานแล้ว โดยสังคมเชื่อว่าคอนเทนต์ และบุคลิกที่สาวน้อยคนนี้ได้แสดงออกผ่านวิดีโอยอดวิวหลายล้านมาจากแม่ของเธอที่เป็นนายหน้าขายทรัพย์สิน และพี่ชายของเธอเป็นคนบงการ และวางคาแรกเตอร์ให้

บ้านสุดหรูของเธอที่เห็นคนบนโลกโซเชียลเห็น คือ บ้านที่แม่ของเธอจะขาย การที่เธอเข้าไปคอนเทนต์ในทรัพย์สินต่าง ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายทรัพย์เหล่านั้น หรือจะเป็นซูเปอร์คาร์ สปอร์ตคาร์ราคาแสนแพงที่เธอนั่งก็เป็นรถของเจ้านายแม่เธอ นั่นหมายถึงว่าก่อนหน้านั้นเธอไม่ได้ร่ำรวยขนาดนั้น 

อย่างไรก็ตาม เทย์ได้ให้สัมภาษณ์ และยืนยันว่าสิ่งที่เธอทำ เธอทำด้วยตัวเองไม่ได้มาจากแม่ หรือพี่ชายของเธอ ซึ่งอาจเป็นไปได้ เพราะเธอเองมีความสัมพันธ์ที่ดีกับแม่ และพี่ชายของเธอไม่ว่าจะช่วงไทม์ไลน์ไหนในชีวิตก็ตาม แต่ชาวเน็ตหลายคนก็ตั้งข้อสงสัยว่าเธออาจถูกปลูกฝัง หรืออาจถูกชักจูงให้เธอรู้สึกแบบนั้น

หลังจากที่เธอโด่งดัง และร่ำรวย พ่อของเธอที่หายหน้าหายตาไปนานกลับมาอีกครั้ง พร้อมฟ้องร้องสิทธิในการเลี้ยงดูเธอจากแม่ของเธอด้วยการให้เหตุผลเรื่องความเหมาะสมในการเลี้ยงดู แต่นั่นอาจเป็นเพียงเหตุผลบังหน้าเท่านั้น พ่อของเธอชนะการฟ้องร้อง มีสิทธิในการเลี้ยงดู และทรัพย์สินของเธอด้วย

เธอเลยต้องจำใจจากกับแม่ของเธอเพื่อไปอยู่อาศัยกับพ่อ และนั่นเป็นเหตุผลที่เธอหายไปจากโซเชียลมีเดียเป็นเวลาหลายปี ซึ่งชีวิตที่น่าหดหู่กว่าของเธอเริ่มขึ้นหลังจากนั้น เมื่อพ่อของเธอไม่ได้ดูแลเธออย่างเหมาะสม

เธอเล่าในไลฟ์ว่าเธอต้องสวมเสื้อผ้า และรองเท้าที่ทั้งเก่าและโทรม กับอาหารเที่ยงที่ขึ้นรา จนแม่ของเธอต้องนำอาหารมาให้ใหม่ ในขณะที่แม่เลี้ยงของเธอได้กระเป๋าแบรนด์เนมเป็นของขวัญจากพ่อของเธอ พร้อมกับใช้ชีวิตแสนสุขสบายกับลูกติดของแม่เลี้ยง เทย์ยังบอกด้วยว่าพ่อของเธอเปลี่ยนผู้หญิงมานอนไม่ซ้ำหน้า และยังมีอะไรกันขณะที่เธออยู่บนเตียง

ในปี 2021 พี่ชายของเธอสร้างแคมเปญในเว็บไซต์ GoFundMe เพื่อระดมทุนช่วยเธอในชื่อ “Save Tay from a Life of Abuse” พร้อมกับภาพการถูกทำร้ายบนร่างกายของเทย์ และเอกสารการแจ้งความ

อย่างไรก็ตาม หลังจากการกลับมาจากความตายแบบปลอม ๆ ของ ลิล เทย์ ซึ่งเธอบอกว่าพ่อของเธอเป็นคนลงภาพดังกล่าวโดยการแฮกอินสตาแกรม การปล่อย MV เพลงใหม่ และการไลฟ์แฉพ่อของเธอ เสียงของชาวเน็ตแตกเป็นสองฝั่ง ทั้งฝั่งที่เชื่อว่าพ่อของเธอทำแบบนั้นกับเธอจริง ๆ ส่วนคนอีกฝั่งไม่เชื่อสิ่งที่เธอพูด เพราะด้วยบุคลิก และวีรกรรมที่เธอทำ โดยพวกเขาเชื่อว่าที่เธอออกมาแฉก็เพื่อที่จะกลับมามีแสงบนโลกโซเชียลได้ใหม่ พร้อมกับปล่อยเพลง และเรียกยอดวิวแบบฉ่ำ ๆ

วัยเด็กที่หายไปของ ลิล เทย์

ตอนอายุ 9 ขวบคุณทำอะไรกันอยู่? ตามพัฒนาการของเด็ก 9 ขวบ คือ ช่วงเวลาที่เด็กเริ่มพูดเหมือนกับผู้ใหญ่ได้แล้ว แต่ในเคสเทย์นั้นเลยจุดนั้นไปไกลมาก เธอพูดคำหยาบและคำเหยียดเกินกว่าที่ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่พูดด้วยซ้ำ โดยที่ช่วงอายุนี้ยังเป็นช่วงเวลาที่เด็กควรหัดอ่านหนังสือ เข้าสังคม เล่นกีฬา เรียนรู้ที่จะก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น และเริ่มค้นหาสิ่งที่ตัวเองชอบ

ปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัดได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเด็กผู้หญิงวัย 14 ปีคนนี้ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา หรือเธอรับมือกับคอมเมนต์ในแง่ลบที่เข้ามาต่อว่าเธอ หรือแม้แต่ไล่เธอไปตายในช่วงวัยเด็กได้อย่างไร ในขณะที่เด็กคนอื่นได้ไปวิ่งเล่นกับเพื่อน และใช้ชีวิตแบบเด็กที่กำลังก้าวสู่วัยรุ่นเหมือนเด็กธรรมดาทั่วไป

แม้ว่า ลิล เทย์ เคยมีพฤติกรรม และคำพูดที่รุนแรงในอดีต แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าเบื้องหลังที่แท้จริงนั้นคืออะไร และมาจากใคร ถึงแม้ว่าตัวเธออาจเป็นคนแบบนั้นจริง ๆ แต่การจัดการกับเหตุการณ์ และพฤติกรรมที่เกิดขึ้นนั้นควรเป็นความผิดชอบของผู้ปกครองที่ควรมีต่อลูกสาวอายุ 9 ขวบคนนั้นอยู่ดี

ปัจจุบันสังคมโลกบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียได้ให้กำเนิดอินฟลูเอนเซอร์อายุน้อยจำนวนมหาศาล คอนเทนต์ก็มีทั้งแบบสร้างสรรค์ และไม่สร้างสรรค์เท่าไหร่ ผู้ปกครองยุคใหม่ควรตระหนัก และวางแผนรับมือ ไม่ว่าจะเด็กจะเป็นผู้รับหรือผู้ส่งสารก็ตาม

คนเมกันคิดอย่างไรกับการหาเงินจากลูกของตัวเอง?

ในสังคมไทย การที่ลูกหาเงินช่วยพ่อแม่ดูจะเป็นสิ่งประเสริฐ ผสมปนเปไปกับการเป็นหน้าที่โดยนัยของลูกโดยปริยายเพื่อตอบสนองแนวคิดความกตัญญู และเพื่อการตอบแทนความเจ็บปวด หยาดเหงื่อ แรงกาย และแรงใจในการฟูมฟัก ยิ่งลูกเลี้ยงพ่อแม่ได้เร็ว ได้มากเท่าไหร่ ยิ่งดี แต่พ่อแม่ยุคใหม่ก็มีความคิดที่ค่อย ๆ เปลี่ยนผ่านไปตามกาลเวลาด้วยเช่นกัน

แล้วในสังคมตะวันตก อย่างอเมริกัน และแคนาดาที่เป็นประเทศพัฒนาแล้วมีแนวคิดเกี่ยวกับการหาเงินจากลูกของตัวเองแบบไหนกัน ผลสำรวจจาก Business Insider พบว่า

  • 38.2 เปอร์เซ็นต์ คิดว่าพ่อแม่ไม่ควรถ่ายรูปลูกลงโซเชียลมีเดีย ยกเว้นว่าเป็นแอ็กเคานต์ส่วนตัว
  • 29.3 เปอร์เซ็นต์ คิดว่าเพ่อแม่สามารถโพสต์รูปลูกลงบนโซเชียลมีเดียแบบสาธารณะได้ แต่ไม่ควรเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว และไม่ควรหาเงินจากลูกของตัวเอง
  • 13.3 เปอร์เซ็นต์ คิดว่าพ่อแม่ไม่ควรโพสต์ภาพลูกลงบนโซเชียลมีเดียเลยไม่ว่าจะในสถารการณ์ไหนก็ตาม
  • 12.5 เปอร์เซ็นต์ คิดว่าพ่อแม่สามารถโพสต์ภาพลูกลงบนโซเชียลมีเดียได้ และการหาเงินจากรูปเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ยอมรับได้
  • 6.7 เปอร์เซ็นต์ คิดว่าพ่อแม่สามารถโพสต์รูปลูกลงบนโซเชียลมีเดียได้ตราบใดที่ไม่ได้หารายได้จากภาพเหล่านั้น

ปัจจุบันเราจะเห็นว่าพ่อแม่เริ่มถ่ายรูป และวิดีโอของเด็ก พร้อมโมเมนต์น่ารักลงบนโซเชียลมากมาย ทั้งเพื่อเก็บไว้เป็นความทรงจำ ทั้งเพื่อสร้างรายได้ หรือเด็กบางคน ถูกจับพ่อแม่มาแต่งตัวน่ารัก พร้อมถ่ายภาพลงบนเว็บไซต์ภาพสต็อกเต็มไปหมด

ทั้งหมดนี้ รวมถึงเคสของสาวน้อย ลิล เทย์ ชวนให้เกิดคำถามชวนคิดว่าท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ซบเซา ลูกควรมีส่วนหารายได้ให้พ่อแม่หรือไม่ หรือพ่อแม่สามารถหาประโยชน์จากลูกได้มากแค่ไหน แล้วทิศทางเหล่านั้นควรเป็นไปอย่างไร ยังคงเป็นเรื่องที่ผู้เชี่ยวชาญ และผู้คนในโลกยุคดิจิทัลควรขบคิด และให้ความสำคัญกันมากขึ้น ว่าสิ่งเหล่านั้นจะพรากความเป็นเด็กไปจากพวกเขาก่อนเวลาหรือไม่ แล้วทิ้งร่องรอยอะไรไว้ให้กับเด็กคนนั้นหรือเปล่า

ที่มา 1, 2, 3, 4

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส