วงการเทคโนโลยีและการประกอบธุรกิจสตาร์ทอัพของไทยได้จารึกประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญ เมื่อเวที Bitkub Meetup ครั้งที่ 7 ได้รวบรวมสามในสี่ยูนิคอร์นของประเทศไทยไว้ด้วยกัน ซึ่งประกอบด้วย Line Man Wongnai, Bitkub และ Flash Express

ผู้ประกอบการระดับตำนานเหล่านี้ได้มาร่วมแบ่งปันเรื่องราวเส้นทางธุรกิจ, กุญแจสู่ความสำเร็จ, และที่สำคัญที่สุดคือบทเรียนจากความล้มเหลวและข้อคิดที่ช่วยให้สตาร์ทอัพรุ่นใหม่สามารถหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่ไม่จำเป็น

การเสวนาครั้งนี้ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่การนำเสนอเรื่องราวความสำเร็จ แต่ยังตั้งคำถามสำคัญว่าในยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง สตาร์ทอัพยังจำเป็นต้องมุ่งสู่การเป็นยูนิคอร์นหรือเปล่า หรืออยู่เพียงแค่การไม่ขาดทุนก็ถือว่าเพียงพอแล้ว บทความนี้จะพาไปถอดบทเรียนและตกผลึกความคิดจากประสบการณ์ตรงของสามผู้นำยูนิคอร์นไทย เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้ประกอบการทุกคน

จุดเริ่มต้นเส้นทางสู่การเป็นยูนิคอร์นของทั้งสาม

Line Man Wongnai ฟู้ดดิลิเวอรี สัญชาติไทย

คุณยอด ชินสุขพักกุล (CEO) เริ่มต้นธุรกิจเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ด้วยแพลตฟอร์มรีวิวร้านอาหาร Wongnai ซึ่งในวันแรกนั้นมีเพียงความบ้าบิ่นและความอยากรวยเป็นหลัก เขาไม่เคยคาดคิดว่าธุรกิจจะเติบโตมาถึงจุดที่เป็นแพลตฟอร์มรวมเรื่องอาหารที่ใหญ่ที่สุดในไทย

โดยมีทั้ง Food Delivery, Ride-Hailing, Marketplace, Payment และระบบบริหารจัดการการขายหน้าร้าน (POS) เส้นทางของ Wongnai คือการประกอบร่างจากการมองเห็นโอกาสทางการตลาดและการใช้ความสามารถในการลงมือทำ (execute) เพื่อทำให้ธุรกิจเหล่านั้นดีขึ้น

เริ่มต้นจากการมองหาโอกาส คุณยอดเล่าว่าโอกาสทางธุรกิจเกิดขึ้นจาก 1) การเข้าหาคุยกับคน เช่น ธุรกิจ POS ที่ได้ไอเดียจากบริษัทญี่ปุ่น 2) การช่างสังเกต เช่น เห็นมอเตอร์ไซค์วิ่งมากขึ้นในการส่งอาหาร หรือธุรกิจ POS ต้องการระบบชำระเงิน และ 3) พบกับผู้มีอุปการะคุณ หรือการสร้างมูลค่าให้พาร์ทเนอร์เห็นก่อน

ซึ่งการเป็นพันธมิตรกับ Line Man คือบทเรียนสำคัญ โดย Wongnai เสนอให้ใช้ฐานข้อมูลโดยไม่คิดเงิน แต่ขอส่วนแบ่งรายได้ในอนาคต (Revenue Sharing) คุณยอดและทีมทำงานเหมือนเจ้าของเลย ทำหน้าที่ช่วย Line Man คิด, ลงมือทำ, และหาพันธมิตร จน Line Man เห็นว่า Wongnai สามารถนำธุรกิจนี้ได้ และนำมาสู่การควบรวมกิจการในที่สุด การทำงานอย่างเต็มที่และอดทนเสมือนเป็นเจ้าของตั้งแต่แรกทำให้ฝันที่เคยวางแผนไว้เป็นจริง

ปิดท้ายด้วยความกล้าที่จะลอง คุณยอดไม่ค่อยปฏิเสธโอกาสที่เข้ามา และเชื่อว่าการลงมือทำดีกว่าไม่ทำ เพราะจะไม่เสียดายในภายหลัง

Bitkub กระดานเทรดสินทรัพย์ดิจิทัลใหญ่ระดับอาเซียน

คุณจิรยุทธ ทรัพย์ศรีโสภา (คุณท็อป – Founder & CEO) เล่าถึงความมั่นใจในการสร้าง Bitkub มาจากการเชื่อมโยงจุดต่าง ๆ ย้อนหลังกลับไป (Connecting the dots backwards) ตามแนวคิดของ Steve Jobs ด้วยพื้นฐานการเรียนเศรษฐศาสตร์และประวัติศาสตร์การเงินโลก ทำให้เขามองเห็นว่าเงินตรามีการเปลี่ยนแปลงทุก 50 ปี

ริเริ่มจากความเข้าใจเชิงลึกในเทคโนโลยี หลังจากการได้อ่าน Bitcoin whitepaper ทำให้เขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งกว่าคนทั่วไป โดยเฉพาะเมื่อผนวกกับวิสัยทัศน์ของ Mark Anderson ที่มองเห็นศักยภาพของมือถือที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตกับ Blockchain ในการปฏิวัติวงการการเงิน การยืนยันจากผู้บริหาร PayPal ยิ่งตอกย้ำว่า “คนยุคคุณคือผู้โชคดี” ที่มีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมแล้ว

และประกอบกับการที่ตัวเองนั้นมีประสบการณ์ส่วนตัวโดยตรง จึงแชร์ว่าเคยโอนเงินไปให้น้องสาวที่อังกฤษด้วย Bitcoin ทำให้เขาเห็นว่ามันเวิร์คจริง รวดเร็ว ไม่ต้องรอหลายวัน และค่าธรรมเนียมถูกกว่ามาก ประสบการณ์จริงเหล่านี้สร้างความเชื่อมั่นกับสินทรัพย์ดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นทุกปี

นำไปสู่การมองเห็นโอกาสก่อนใคร ได้ลงมือทำก่อนในการทำงานในอุตสาหกรรมที่ยังไม่มีกฎระเบียบ (คล้ายภาพยนตร์ The Wolf of Wall Street) ทำให้เขาได้รู้จัก Bitcoin ก่อนคนอื่น และด้วยพื้นฐานที่แตกต่าง ทำให้เขาสามารถเข้าใจมันได้อย่างลึกซึ้ง

Flash Express ขนส่งอันดับหนึ่งในไทย

ย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้นที่ก่อตั้งบริษัทแฟลช คุณคมสัน แซ่ลี (Founder & CEO) สารภาพว่า ในวันแรกที่เริ่มต้นธุรกิจ ไม่รู้เลยว่าจะสำเร็จหรือไม่ และหากย้อนเวลากลับไปได้ อาจจะไม่ทำเพราะความเหนื่อยยาก แต่กุญแจสำคัญคือ ความไม่รู้ที่ทำให้เขาไม่กลัวและกล้าที่จะลงมือทำ

การได้เห็นโมเดลธุรกิจขนส่งในจีนที่ประสบความสำเร็จ ทำให้เขามีตัวอย่างและมั่นใจว่าธุรกิจนี้เป็นไปได้ สร้างแรงบันดาลใจจากความสำเร็จในต่างแดน แม้จะไม่รู้รายละเอียดวิธีที่พวกเขาทำ เขาจึงเลือกที่จะคัดลอกและปรับใช้ให้เข้ากับบริบทของประเทศไทย

โดยคุณคมสันย้ำว่าการทำสตาร์ทอัพต้อง “จงเชื่อแล้วจะเห็น” คุณต้องเชื่อว่าสิ่งนั้นมีอยู่จริงก่อนคนอื่น คุณจึงจะมีโอกาสก่อนคนอื่น เขาถึงขั้นฝังความเชื่อเข้าไปใน DNA ของตัวเองและทีมว่าธุรกิจจะสำเร็จ เขาเล่าว่าในช่วงระดมทุน มีพนักงานเพียง 3 คน แต่เขากล้าโม้กับนักลงทุนว่าจะเป็นอันดับ 1 ของไทย ซึ่งการทำเช่นนี้ซ้ำ ๆ ทำให้เขาเชื่อและเป็นตัวอย่างให้ทีมงานสัมผัสได้

ความเชื่อกระตุ้นให้เกิดแรงผลักดันชีวิต ให้สู้ต่อ ก้าวไปทีละก้าว แม้จะอยากเลิกทำหลายครั้ง แต่ภาระหนี้สินและความรับผิดชอบต่อผู้ลงทุนและพนักงานทำให้เขาต้องไปต่อ

คำแนะนำต่ออนาคตของสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ ผู้มีฝันธุรกิจพันล้าน

เส้นทางสู่การเป็นยูนิคอร์นนั้นโรยด้วยขวากหนาม และผู้นำทั้งสามท่านต่างประสบกับความล้มเหลวและวิกฤตที่ต้องแลกมาด้วยการเสียสละมากมาย บทเรียนเหล่านี้คือทางลัดอันมีค่าสำหรับผู้ประกอบการ

เลือกที่จะเป็นความเป็นมืออาชีพและการเรียนรู้ตลอดเวลา: คุณคมสันเน้นย้ำว่า “ความไม่มืออาชีพ ค่าตัวมันแพงมาก” เขาแนะนำให้สตาร์ทอัพรุ่นใหม่ไปทำงานกับองค์กรมืออาชีพขนาดใหญ่ก่อน เพื่อเรียนรู้ให้มากที่สุด ก่อนจะออกมาสร้างธุรกิจของตัวเอง เพราะความไม่เชี่ยวชาญอาจนำมาซึ่งปัญหาทางกฎหมายและทำให้องค์กรเกือบเจ๊งได้

การบริหารจัดการการเงิน: ในช่วงแรก คุณยอดสารภาพว่าตนเองไม่ได้แยกบัญชีบริษัทกับบัญชีส่วนตัว และไม่มีการวางแผนการเงินที่ดีพอ เช่นเดียวกับคุณคมสันที่เมื่อเงินทุนจำนวนมากเข้ามา กลับบริหารจัดการไม่เป็น และใช้เงินอย่างผิดพลาด ซึ่งเลวร้ายกว่าช่วงที่ไม่มีเงินเสียอีก สิ่งเหล่านี้ตอกย้ำความสำคัญของการวางแผน P&L และ Cash Flow ตั้งแต่เริ่มต้น

ความอดทนและความอึด: คุณยอดเล่าถึงช่วง 2 ปีแรกที่ Wongnai ไม่มีรายได้เลย ต้องเจอความเครียด ไม่มีเงินจ่ายเงินเดือนตัวเองและพนักงาน และปัญหาจากคนรอบข้างที่ไม่เข้าใจ แต่เขาและผู้ร่วมก่อตั้ง “ไม่มีใครเคยคุยกันเรื่องเลิกเลย” การมีคอร์ทีมที่แข็งแกร่งและไม่ทอดทิ้งกันเป็นสิ่งสำคัญ รวมถึงความสามารถในการ “ล้างสมอง” คนอื่นให้เชื่อในวิสัยทัศน์ของเรา

ความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่: คุณท็อปเล่าถึงช่วงเวลาที่เงินบริษัทจะหมดภายใน 2 เดือน ต้องไม่จ่ายเงินเดือนตัวเองถึง 10 เดือนแรก เขากล่าวว่าแม้จะท้อและอยากเลิก แต่ก็ต้องไปต่อเพราะ “ความรับผิดชอบ” ต่อพนักงานและผู้ใช้งานกว่า 5 ล้านคนที่ฝากเงินกว่าแสนล้านบาทไว้กับ Bitkub การเป็นผู้นำต้องมีความรับผิดชอบที่จะพาคนในเรือไปให้ถึงฝั่ง

การดูแลสุขภาพกายและใจ: คุณคมสันเน้นย้ำว่า “นอนให้พอ” เพราะการนอนไม่พอทำให้โลกไม่น่าอยู่และปัญหาต่างๆ ดูหนักหนาขึ้น การนอนหลับเต็มอิ่มเปรียบเสมือน “ยาเม็ดมหัศจรรย์” ที่ทำให้ร่างกายมีศักยภาพสูงสุด คุณท็อปเองก็ค้นพบว่าการดูแลสุขภาพทำให้เขากลายเป็นผู้บริหารที่เก่งขึ้น มีพลังงานที่ดีขึ้น และตัดสินใจได้ถูกต้องมากขึ้น คุณยอดเสริมว่า ภาพลักษณ์ที่ดีของ CEO ยังส่งผลต่อมูลค่าของบริษัทและกำลังใจของพนักงานด้วย

อย่า “หน้าใหญ่” และกล้าล้มเหลว: คุณท็อปแนะนำว่า “อย่าหน้าใหญ่” เพราะความกลัวที่จะดูไม่ดี กลัวล้มเหลว จะทำให้ไม่กล้าทดลองและไม่กล้าขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น การล้มเหลวควรเป็นเรื่องปกติเหมือนกับการแปรงฟันหรือกินข้าว และเมื่อล้มแล้ว ต้อง “กัดไม่ปล่อย” และลุกขึ้นใหม่ตลอดเวลา

ทั้งหมดนี้จึงสรุปการเดินทางของยูนิคอร์นไทยทั้งสามท่านได้เผยให้เห็นว่า การทำธุรกิจสตาร์ทอัพไม่ใช่แค่เรื่องของการบริหารจัดการองค์กรให้เติบโตเท่านั้น แต่ยังเป็นการบริหารชีวิตในทุกมิติ เมื่อมองไปข้างหน้าสำหรับสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ ผู้นำทั้งสามท่านได้ให้มุมมองที่ทั้งเป็นจริงและเต็มไปด้วยความหวัง

ตั้งแต่การรับมือกับความเครียด ความล้มเหลว ปัญหาทางการเงิน ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ไปจนถึงการดูแลสุขภาพกายและใจของตนเอง ทุกความสำเร็จที่เกิดขึ้นล้วนต้องแลกมาด้วยการเสียสละ ความอดทน และความมุ่งมั่นที่แรงกล้า

บทเรียนจากคุณยอด คุณท็อป และคุณคมสัน เป็นเสมือนแผนที่นำทางอันล้ำค่าสำหรับผู้ประกอบการทุกคนที่กำลังเผชิญกับความท้าทาย ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงเริ่มต้น ช่วงขยายธุรกิจ หรือช่วงที่กำลังต่อสู้กับอุปสรรค

สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้ที่มาก่อน การปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย การกล้าที่จะลงมือทำและกล้าที่จะล้มเหลว พร้อมทั้งสร้างความเชื่อมั่นให้กับตนเองและทีมงานอย่างต่อเนื่อง และสุดท้ายคือการไม่ยอมแพ้และกัดไม่ปล่อย จนกว่าโชคหรือจังหวะเวลาของคุณจะมาถึง