เกิดอะไรขึ้นกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในยุคโอเล่ กุนนาร์ โซลชา จากกุนซือที่ถูกคาดหวังของวลีที่ว่า “ปลุกปีศาจ ต้องใช้ปีศาจ” ที่สามารถทำผลงานได้ดีในช่วงแรก ซึ่งยังเคยพาทีมจบอันดับ 2 ในพรีเมียร์ลีคในฤดูกาล 2020-2021 แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จในระยะยาว ที่ต้องเผชิญกับปัญหาหลายๆอย่างในช่วงการคุมทีม 

โดยล่าสุดโอเล่ กุนนาร์ โซลชา หรือ Ole Gunnar Solskjær เจ้าของฉายาเพชฌฆาตหน้าทารก อดีตนักเตะและกุนซือของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ได้ออกมาเปิดใจถึงเบื้องหลังของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดสมัยเจ้าตัวคุมทีมในช่วงปี2018-2021 กับรายการStick to football ทางช่องThe Over lab ที่มีผู้ร่วมรายการที่เป็นอดีตนักเตะทั้งแกรี่ เนวิลล์ ,เจมมี่ คาร์ราเกอร์ ,รอย คีน และเอียน ไรท์ โดยนี่คือบทสรุป 7 ข้อที่น่าสนใจในบทสัมภาษณ์ของโอเล่ กุนนาร์ โซลชา

เหตุการณ์ในวันสุดท้ายที่คุมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

ย้อนกลับไป สมัยคุมทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในปี 2021 โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เล่าถึงเหตุการณ์ในช่วงที่เขาถูกปลดจากตำแหน่ง โดยเจ้าตัวเปิดเผยว่า “จริงๆ ผมรู้ตัวตั้งแต่นัดที่แมนยูบุกไปเยือนและแพ้ต่อวัตฟอร์ด 4-1 ว่านี่จะเป็นเกมสุดท้ายที่ผมจะได้คุมทีม”

โดยครึ่งแรกแมนยูโดนวัตฟอร์ดยิงขึ้นนำก่อน 2-0 ซึ่งในช่วงพักครึ่งเวลาเจ้าตัวได้พูดกับนักเตะว่า “มีใครอยากลงเล่นต่อไหม ถ้าใครไม่อยากลงให้บอกผม นักเตะก็รับฟัง แต่ก็ไม่ได้มีการตอบโต้อะไร ซึ่งนั้นทำให้ผมมีความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นเองว่ามีนักเตะบางคนที่ไม่วิ่งและไม่มีความเชื่อมั่นที่จะลงสนามแล้ว ซึ่งพวกเขาอาจจะไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่อยู่ข้างหน้า ทำให้ผมรู้แล้วว่ามันไม่มีประโยชน์แล้วที่จะเปลี่ยนแปลงอะไร” ต่อมาในช่วงครึ่งหลังแมนยูมาได้ประตูตีไข่แตกไล่มา 2-1

แต่มามีจุดเปลี่ยนอีกครั้งคือเหตุการณ์ที่แฮรี่ แม็คไกวโดนใบแดง ทำให้วัตฟอร์ดอาศัยความได้เปรียบที่ผู้เล่นมากกว่าเอาชนะไป4-1 โดยในเช้าวันต่อมาโอเล่ กุนนาร์ โซลชาก็ถูกปลดจากการเป็นกุนซือแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด


เหตุการณ์ที่แพ้ต่อลิเวอร์พูล 0-5 และแพ้ต่อแมนเชสเตอร์ซิตี้ 0-2

โซลชาเล่าย้อนถึงเหตุการณ์ว่าใน 2 นัดที่แพ้ต่อลิเวอร์พูล 0-5 และแมนเชสเตอร์ซิตี้ 0-2 ซึ่งทั้ง 2นัดนั้นเล่นในบ้านที่โอลด์แทรฟฟอร์ด เป็น2นัดที่เตะใกล้กัน โดยมีนัดที่เจอกับสเปอร์คั่นอยู่

โดยเจ้าตัวบอกกับนักเตะในทีมว่า “พวกเราต้องเป็นแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด พวกคุณอย่าเล่นแค่เกมรับ เกมโต้กลับ ทุกคนต้องออกไปวัดกับพวกเขา สู้กันแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีประโยชน์ที่จะเป็นแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด”

แต่ทางฝั่งรอย คีนได้มีการแย้งว่า “จริงๆ การวางแผนเพื่อเล่นเกมรับในบางเกม ถึงจะเป็นแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ก็ไม่แปลก ถ้าคู่แข่งดีกว่าเรา” และทางโซลชาได้ตอบว่า “นี่คือโอลด์แทรฟฟอร์ด เราเซ็นสัญญา คริสเตียโน โรนัลโด้ ,ราฟาเอล วารานและจาดอน ซานโชเข้ามา ทีมต้องพัฒนาและยกระดับไปอีกขั้น ต้องมีความกล้ามากขึ้น เพราะเราคือแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในตอนนั้นนักเตะในทีมก็รู้สึกว่าเราก็เป็นทีมที่ดีกว่าเดิมแล้ว ซึ่งก็อาจจะเป็นความรู้สึกที่ผิดก็ได้”

ส่วนในนัดที่เจอกับแมนเชสเตอร์ซิตี้โซลชาได้ใช้5-3-2แบบเดียวกับนัดที่บุกเอาชนะสเปอร์3-0 แต่ด้วยต้นเกมที่เจอกับแมนเชสเตอร์ซิตี้ไปเสียลูกทำเข้าประตูตัวเองโดยเอริค ไบยี่ ทำให้ทุกอย่างพัง ซึ่งนัดนี้ถือว่าเป็นนัดที่แย่อีกนัดนึงเพราะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดแทบไม่ได้ครองบอลเลย เป็นแมนเชสเตอร์ซิตี้ที่สามารถคุมเกมไว้ได้ทั้งหมด


การปฏิเสธการเป็นกัปตันทีม และสัมภาษณ์ก่อนเกม

โซลชาเล่าว่า “ไม่มีใครปฏิเสธที่จะเป็นกัปตันทีมแบบถาวรเพียงแต่มีนักเตะบางคนที่ไม่ขอเป็นกัปตันในบางเกม โดยนักเตะคนนั้นฝากโค้ชคนอื่นมาบอกไม่ได้บอกตรงๆ สุดท้ายมันอยู่ที่เจเนอเรชั่นยุคสมัยที่มันต่างกัน” ทางรอย คีนและแกรี่ เนวิลล์เสริมว่า “มันไม่ได้ มันแสดงให้เห็นการขาดความทะเยอทะยานเป็นอย่างมาก การปฏิเสธในการเป็นกัปตันไม่ว่ากี่เกมก็ตามคุณกำลังปฏิเสธเกียรติประวัติที่ดีที่สุดอย่างนึง”

ส่วนในเรื่องการให้สัมภาษณ์ก่อนเกมมีนักเตะบางคนไม่ออกมาให้สัมภาษณ์ โดยโซลชาเล่าว่า “มีนักเตะบางคนกลัวที่จะตอบคำถามสื่อไม่ดีแล้วจะโดนกระแสแฟนบอลถล่ม” เนื่องจากในปัจจุบันโลกโซเชียลและคำวิจารณ์จากนักวิจารณ์ในทีวีเข้ามามีอิทธิพลต่อสภาพจิตใจนักเตะทำให้นักเตะบางคนกลัวเรื่องเหล่านี้


มีบางคนที่ชอบเอาเรื่องภายในไปบอกสื่อเสมอ

โซลชาเล่าว่า “ผมรู้สึกว่ามีสตาฟโค้ชที่ความสัมพันธ์ที่ดีกับนักเตะมากๆ แต่จะมีนักเตะ 1-2 คนที่ชอบปล่อยข้อมูลภายในออกไปเพราะพวกเขาไม่มีความสุข” ทำให้เห็นว่าโซลชาเหมือนจะเสียการควบคุมห้องแต่งตัวเป็นอย่างมาก เนื่องจากสภาพจิตใจที่ไม่ดีของนักเตะตั้งแต่ยุคสมัยของโชเซ มูรินโญ ที่ทำให้ห้องแต่งตัวนั้นขาดความทะเยอทะยานและความอยากเป็นผู้ชนะไป


จริงหรือไม่ที่ ‘คริสเตียโน โรนัลโด้’ ทำให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดพัง

โซลชาเปิดเผยว่า “ในดีลของคริสเตียโน โรนัลโด้ เป็นการตัดสินใจที่รวดเร็วมาก เราไม่คิดว่าเขาจะย้าย ทางสโมสรบอกว่าอยากให้เราลองคว้าตัวเขาไหม ผมก็ตอบตกลง มันเป็นการตัดสินใจของผม แม้สุดท้ายมันจะไม่เวิร์คสำหรับผมและเขา แต่ในตอนนั้นพวกเราคิดว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดแล้ว”

เนื่องจากโรนัลโด้มาในช่วงท้ายตลาดการซื้อขายช่วงที่ฤดูกาลเปิดแล้วทำให้ต้องมีการปรับการเล่น ปรับแทคติกจากที่เตรียมมาในช่วงพรีซีซั่น โซลชาเล่าต่อว่า “ลักษณะการใช้งานโรนัลโด้ต่างจากมาซิยาล,กรีนวู้ดและคาวานี่ ซึ่งคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ คาวานี่ที่ต้องมาเรียนรู้วิธีการเล่นใหม่ ซึ่งในช่วงแรกๆ ผมคิดว่าการมีโรนัลโด้มันเวิร์ค แต่พอเกมไหนผมดรอปโรนัลโด้เขาก็ไม่มีความสุขและมีกระแสตลอดว่าทำไมถึงดรอป”

ส่วนในเรื่องของการเพรสซิ่งในการเล่นเกมรับในขณะมีโรนัลโด้ที่ต้องเปลี่ยนไปโซลชาตอบว่า “แน่นอนว่ามันต้องเปลี่ยน เราเคยเป็นทีมที่เพรสซิ่งได้ดีก่อนที่โรนัลโด้จะมา วิธีการเล่นตอนที่มีโรนัลโด้กับตอนไม่มีมันต่างออกไป” แต่โซลชาก็ทิ้งท้ายว่า “แม้สุดท้ายมันจะไม่เวิร์คก็ตาม แต่มันเป็นการตัดสินที่ดีแล้วในช่วงเวลานั้น”


บรูโน่หรือแม็คไกวใครคือผู้นำมากกว่ากัน

ซึ่งโซลชาเล่าว่า “ผมรู้ว่าบรูโน่ เฟอร์นันเดสมีความเป็นกัปตันทีมในช่วงที่ผมยังอยู่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เขามีบุคลิกและคุณภาพที่ดี แต่ผมเคยบอกกับเขาว่าในบางครั้งเขาก็มีแพชชั่นที่เยอะเกินไปที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้

ในส่วนตัวผมชอบแฮรี่ แม็คไกวในฐานะกัปตันทีมเขาเป็นผู้นำของนักเตะจริงๆ” ส่วนสิ่งที่เป็นจุดเปลี่ยนของแฮรี่ แม็คไกว โซลชาเชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ประเทศกรีซ กับปัญหาทะเลาะวิวาทจนถูกตำรวจที่กรีซควบคุมตัวเป็นส่วนนึงที่ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจและฟอร์มการเล่นของแฮรี่ แม็คไกว


การเสริมทัพที่โซลชาถูกแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดปฏิเสธในดีลของดีแคน ไรซ์ , จู๊ด เบลลิ่งแฮม และเออร์ลิง ฮาแลนด์

โซลชาเล่าว่า “ผมชอบดีแคน ไรซ์ เขาสามารถคุมแดนกลางและยกระดับการสร้างเกมได้ แต่ไม่เคยมีการเดินดีลเพราะราคาแพง ส่วนดีลของจู๊ด เบลลิ่งแฮมในตอนนั้นเขาอายุ 17 ปี เขาต้องการเวลาลงเล่นกับทีมชุดใหญ่ที่มากพอ แต่ทางแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไม่สามารถให้เขาได้

และในดีลของเออร์ลิง ฮาแลนด์ ผมเคยทำงานกับฮาแลนด์ที่สโมสรโมลด์ 2 ฤดูกาล ในตอนนั้นโชเซ มูรินโญคุมทีมอยู่ โดยผมบอกกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดว่าพวกคุณต้องเซ็นสัญญากับนักเตะคนนี้ แต่ทางแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดบอกว่าทางสโมสรมีรายงานของนักเตะคนนี้พอแล้ว” จากนั้นโซลชาก็เล่าต่อว่า “ในช่วงที่ผมได้เข้ามาเป็นกุนซือชั่วคราว ก็พยายามบอกกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอีกทีว่ายังสามารถเซ็นสัญญากับฮาแลนด์ทันตอนที่ฮาแลนด์ย้ายไปเรดบูล ซัลบวร์ก เพราะทางฮาแลนด์มีค่าฉีกสัญญาอยู่ที่ 20 ล้านยูโร ซึ่งทางสโมสรก็รับรู้แต่ก็ไม่มีใครจ่ายเงินก้อนนั้น”


จากบทสัมภาษณ์ส่าสุดของโอเล่ กุนนาร์ โซลชา อย่างน้อยก็ทำให้แฟนแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้ทราบถึงเหตุผลที่สโมสรยังไม่สามารถประสบความสำเร็จหรือกลับมายิ่งใหญ่ได้เหมือนยุคของจากเซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสัน สิ่งที่ขาดไปในนักเตะยุคนี้คือความกระหาย ความอยากเป็นผู้ชนะ ความเป็นมืออาชีพทีพร้อมจะทำงานหนักทุ่มเทเพื่อสโมสร สุดท้ายก็ต้องมาดูกันว่าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในยุคหลังจากนี้จะสามารถกลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้งเมื่อไหร่

Credit ข้อมูล: ณัฐพล กาญจนะคช