ล็อบสเตอร์ วัตถุดิบที่ไม่ว่าจะนำมาทำเมนูอะไร ก็ดูจะหรูหรามีราคาไปซะหมด เห็นว่าแสนแพงขนาดนี้ รู้ไหมว่าเมื่อก่อนล็อบสเตอร์ เคยเป็นของอาหารของเหล่าบรรดานักโทษ และทาส ที่กินกันจนต้องร้องขอชีวิต ว่าพอแล้ว พอแล้ว ขอกินอย่างอื่นบ้าง เรื่องนี้มีที่มายังไง แล้วทำไมล็อบสเตอร์ ถึงกลายมาเป็นของแพงในปัจจุบัน เราจะบรีฟให้ฟัง

จุดเริ่มต้นอาหารทาส

ย้อนกลับไปช่วงศตวรรษที่ 17 ว่ากันว่าหากเห็นเปลือกของล็อบสเตอร์อยู่ตามท้องถนน ถือเป็นสัญญาณของความยากจนและความเสื่อมโทรม เพราะสมัยนั้นล็อบสเตอร์ถือเป็นอาหารหลักของบรรดาคนยากจน เนื่องจากราคาถูกและหาง่าย ง่ายขนาดไหนหน่ะหรอ เอาเป็นว่าถ้าเดินไปตามชายหาด แถบรัฐแมสซาชูเซตส์ จะเห็นล็อบสเตอร์ถูกกองทิ้งไว้โดยไม่มีใครสนใจ ผู้คนละแวกนั้นจึงหาวิธีกำจัดล็อบสเตอร์ด้วยการนำไปทำอาหารให้นักโทษในเรือนจำกิน เมื่อเหล่าบรรดาคนร่ำคนรวยรู้เรื่องเข้า จึงเกิดความไม่พอใจและไม่ยอมให้ล็อบสเตอร์มาอยู่ในมื้ออาหารของพวกเขา 

น่าน้อยใจอะไรขนาดนี้ สำหรับล็อบสเตอร์ ตัวใหญ่เท่าแขนแทนที่จะถูกนำมาปรุงเป็นอาหารแสนโอชะ แต่กลับไม่มีค่าจนถูกนำไปทำเป็นอาหารสัตว์ ให้ หมู วัว หรือแมว ได้กินกันอย่างอร่อย รวมถึงนำไปใช้เป็นเหยื่อตกปลาหรือว่าทำปุ๋ยด้วยซ้ำ

นานวันเข้า เหล่าทาสในแมสซาชูเซตส์ก็รู้สึกเบื่อหน่ายกับการกินล็อบสเตอร์ที่เจ้านายให้จนต้องนำเรื่องนี้ไปฟ้องศาล ด้วยเหตุผลว่า พวกเขาถูกทารุณโดยการให้กินล็อบสเตอร์แทบทุกมื้อของวัน ซึ่งผู้พิพากษาก็ตัดสินให้บรรดาทาสผู้ยากจนเป็นผู้ชนะคดี และห้ามไม่ให้เจ้านายนำล็อบสเตอร์มาให้ทาสกินมากกว่า 3 มื้อต่อสัปดาห์ 

จุดเปลี่ยนที่ทำให้ล็อบสเตอร์มีค่าตัวแพงขึ้น 

ข้ามไปช่วงปี 1880 ยุคที่อาหารกระป๋องและการเดินทางโดยรถไฟเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น ผู้คนในอเมริกากลางเริ่มมองเห็นช่องทางการค้าใหม่ คือการทำล็อบสเตอร์กระป๋องขายในราคาถูกจนกลายเป็นอาหารกระป๋องยอดนิยม

รวมถึงมีการนำล็อบสเตอร์มาปรุงสดเป็นอาหาร ให้กับผู้โดยสารบนรถไฟที่ไม่เคยรู้จักมันมาก่อน ทำให้ล็อบสเตอร์กลายเป็นที่ต้องการของกลุ่มคนรวยมากขึ้น 
ความไร้ค่าเริ่มมีความหมาย เมื่อล็อบสเตอร์เริ่มกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น จากที่เคยถูกทิ้งขว้างก็กลายเป็นสินค้าขาดตลาด เมื่อความต้องการเพิ่มขึ้น แน่นอนว่าราคาค่าตัวของล็อบสเตอร์ก็ต้องอัปขึ้นตามไปด้วย เหล่าเศรษฐีน้อยใหญ่ต่างพากันควักกระเป๋าจ่ายเพื่อแลกมากับความหรูหรา และรสชาติที่นุ่มละมุนลิ้น    

หลายปีผ่านไป ล็อบสเตอร์เริ่มไปโผล่อยู่ในสลัดบาร์ และในช่วงปี 1920 มันก็กลายเป็นอาหารทางเลือกสำหรับชนชั้นสูง จนกระทั่งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ล็อบสเตอร์ก็ยังคงเป็นอาหารหรู

แต่เมื่อมีขาขึ้นก็ต้องมีขาลง ล็อบสเตอร์ กลับไปเป็นอาหารของคนจนอีกครั้ง เพราะภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำครั้งใหญ่ แต่ก็ฟื้นตัวกลับมาเป็นที่ต้องการอีกครั้งช่วงปี 1950 และกลายเป็นอาหารหรูมาจนถึงปัจจุบัน

ล็อบสเตอร์ไม่ใช่กุ้งมังกร

หิวกันแล้วใช่ไหมหละ ก่อนจะไปกินล็อบสเตอร์ ต้องรู้เรื่องนี้กันก่อนล็อบสเตอร์ กับกุ้งมังกร ไม่เหมือนกัน ทั้งรูปร่าง ลักษณะ และรสชาติ ก็ต่างกันด้วย ใครจะไปเลือกซื้อล็อบสเตอร์ต้องดูดี ๆ ระวังถูกหลอกเอากุ้งมังกรมาขายให้แทน

สังเกตุง่าย ๆ แบบนี้ ล็อบสเตอร์จะมีก้ามใหญ่โต หนวดไม่ยาว แต่กุ้งมังกรจะหนวดยาว และไม่มีก้าม แต่ถ้าถามว่าอะไรอร่อยกว่ากัน น่าจะอยู่ที่ความชอบของแต่ละคน

ใครอยากรวยต้องรีบแล้วนะ เพราะปัจจุบัน ล็อบสเตอร์มีมูลค่าตลาด ราว 200,000 ล้านบาทต่อปี และถูกคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 400,000 ล้านบาทต่อปี ภายในปี 2027 เรียกว่าโตพรวดพราดถึง 9.9% ต่อปี แซงหน้าปลาสีส้มอย่างแซลมอน ที่โตแค่ 4% ต่อปีไปแบบไม่เห็นฝุ่นเลยทีเดียว

จากแมลงสาบสู่ราชา แห่งท้องทะเล

เรียกว่าเป็นล็อบสเตอร์สู้ชีวิตเลยก็ว่าได้ เพราะกว่าจะได้รับการขนานนามว่า “ราชาแห่งท้องทะเล” ล็อบสเตอร์ถูกผู้คนด้อยค่าและเรียกมันว่า “แมลงสาบแห่งท้องทะเล’ (Cockroach of the sea) จากรูปร่างหน้าตาภายนอกของมันนั่นเอง

ไม่ว่าล็อบสเตอร์จะมีประวัติที่แสนเจ็บปวดขนาดไหน แต่หนึ่งในความจริงที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลยก็คือ ล็อบสเตอร์เป็นเมนูอาหารทะเลที่อร่อยที่สุดอย่างหนึ่งที่โลกนี้เคยมีมา แถมยังถูกอวยยศให้วันที่ 15 มิถุนายนของทุกปี เป็น “วันล็อบสเตอร์แห่งชาติ” ด้วย 

ที่มา : Business Insider History

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส