ต้อนรับเดือนแห่งความรักและวันวาเลนไทน์ ด้วยเรื่องราวของผู้หญิงที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับนักดนตรีและบทเพลงที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ดนตรี ที่ไม่ว่าพวกเธอจะเป็นภรรยา แฟนสาว หรือเป็นเพียงแรงบันดาลใจให้กับนักดนตรีเหล่านี้ หญิงสาวเหล่านี้ได้มีบทบาทสำคัญในการเป็นแรงบันดาลใจให้กับบทเพลงอมตะนับไม่ถ้วนที่ยังคงจับใจคนรักเสียงดนตรีในทุกหนทุกแห่ง ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวของ 10 สาวที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับนักดนตรี นักร้อง นักแต่งเพลงชื่อดังในการสร้างสรรค์ผลงานอันยอดเยี่ยม

Pattie Boyd กับ George Harrison และ Eric Clapton

แพตตี้ บอยด์ (Pattie Boyd) อดีตนางแบบชาวอังกฤษและช่างภาพชื่อดัง มีอิทธิพลอย่างมากต่อดนตรีของนักดนตรีระดับตำนาน 2 คน ในฐานะภรรยาคนแรกของทั้ง จอร์จ แฮร์ริสัน (George Harrison) และ เอริก แคลปตัน (Eric Clapton) บอยด์เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเพลงดังหลายเพลงของนักดนตรีระดับตำนานทั้งคู่

ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับ จอร์จ แฮร์ริสัน เริ่มขึ้นในปี 1964 เมื่อพวกเขาพบกันในกองถ่ายภาพยนตร์เรื่อง ‘A Hard Day’s Night’ ซึ่งเธอได้รับบทเป็นเด็กนักเรียนหญิง แม้บอยด์จะปฏิเสธคำเชิญรับประทานอาหารค่ำอันหวานหยดของแฮร์ริสันในครั้งแรกที่ได้พบกัน“คุณจะแต่งงานกับผมไหม ถ้าคุณไม่แต่งงานกับผม งั้นคืนนี้คุณจะไปกินข้าวเย็นกับผมไหม” ในที่สุดทั้งสองก็เริ่มออกเดตและแต่งงานกันในปี 1966 ระหว่างที่คบกัน แฮร์ริสันเขียนเพลงหลายเพลงเกี่ยวกับภรรยาของเขา รวมถึงเพลง “Something” และ “Here Comes the Sun” อย่างไรก็ตามการแต่งงานของพวกเขาก็ได้สิ้นสุดลงในปี 1977 เนื่องจากปัญหาเรื่องการใช้ยาและการปันใจไปให้หญิงอื่นของแฮร์ริสัน ซึ่งหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวที่ในเวลาต่อมาจะกลายเป็นภรรยาของ ริงโก้ สตาร์ (Ringo Starr) นั่นคือมอรีน (Maureen) นั่นเอง

หลังจากหย่าร้างกับแฮร์ริสัน บอยด์ก็เข้าไปพัวพันกับ เอริก แคลปตัน ซึ่งหลงรักเธอมานานแล้ว อัลบั้ม ‘Layla and Other Assorted Love Songs’ ของแคลปตันในปี 1970 นั้นเขียนขึ้นเพื่อบอยด์โดยเฉพาะ และเพลงฮิต “Layla” ที่เขาขอร้องให้เธอทิ้งสามีเพื่อเขา (“you’ve got me on me on my knees”) กลายเป็นเพลงรักอมตะสำหรับรักที่ไม่สมหวัง แต่หลังจากความสัมพันธ์ของบอยด์กับแฮร์ริสันสิ้นสุดลง แคลปตันและบอยด์ก้ได้แต่งงานกันในปี 1979 แต่แล้วชีวิตสมรสของพวกเขาทั้งคู่ก็พังทลายลงเนื่องจากการนอกใจของแคลปตัน และทั้งคู่ก็หย่าร้างกันในปี 1989

ปัจจุบัน บอยด์แต่งงานกับ ร็อด เวสตัน (Rod Weston) สามีคนที่ 3 ของเธอ และได้ตีพิมพ์หนังสืออัตชีวประวัติ ‘Wonderful Tonight: George Harrison, Eric Clapton, and Me’ ซึ่งเธอได้แบ่งปันประสบการณ์และข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเธอกับนักดนตรีที่มีอิทธิพลมากที่สุดในศตวรรษที่ 20 ทั้ง 2 คน

Linda McCartney กับ Paul McCartney

พรสวรรค์ทางดนตรีของ พอล แม็กคาร์ตนีย์ (Paul McCartney) และความสามารถในการค้นหาแรงบันดาลใจในชีวิตส่วนตัวของเขานั้นปรากฏชัดก่อนที่เขาจะเข้าร่วมวง The Beatles ด้วยซ้ำ เขาเขียนเพลงหลายเพลงเกี่ยวกับ เจน แอชเชอร์ (Jane Asher) อดีตแฟนสาวของเขาในช่วงต้นทศวรรษ 1960 อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับภรรยาที่เขารักยิ่งนั่นคือ  ลินดา แม็กคาร์ตนีย์ (Linda McCartney) กลับทำให้เกิดผลงานเพลงที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดเพลงหนึ่งของเขาคือ “Maybe I’m Amazed”

เพลงนี้เขียนขึ้นในปี 1969 หลังจากการแยกวงของ The Beatles และใช้เป็นเพลงไว้อาลัยให้กับลินดา แฟนสาวของเขาในตอนนั้น เธอเป็นผู้สนับสนุนและปลอบโยนแม็กคาร์ตนีย์ ในช่วงการเปลี่ยนแปลงที่ยากลำบาก ซึ่งสะท้อนให้เห็นผ่านเนื้อร้องของเพลงนี้

ลินดา แม็กคาร์ตนีย์ หรือ ลินดา อีสต์แมน (Linda Eastman) เติบโตในนิวยอร์กและมีความรักในเสียงดนตรีตั้งแต่ยังเด็ก เธอชอบฟังเพลงในวิทยุบ่อย ๆ เธอเป็นช่างภาพมากความสามารถที่ถ่ายภาพวงดนตรีร็อกชื่อดังหลายวงทั้ง The Grateful Dead, The Doors และ The Beatles ซึ่งทำให้เธอได้พบรักกับพอล และทั้งคู่เริ่มออกเดตกันในปี 1967 ลินดาได้เล่าว่าตอนแรกคนที่ปิ๊งเธอนั้นไม่ใช่พอลแต่เป็นเลนนอน “จอห์น เลนนอน ที่สนใจฉันในตอนแรก เขาเป็นฮีโรของฉันเลย แต่เมื่อฉันได้พบกับเขา ความหลงใหลก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว และฉันพบว่าพอลคือคนที่ฉันชอบ” ทั้งคู่แต่งงานกันในอีก 2 ปีต่อมาและก่อตั้งวง Wings ด้วยกันในปี 1971 แม้จะมีการวิจารณ์จากนักวิจารณ์เพลงเกี่ยวกับการขาดประสบการณ์ทางดนตรีของลินดาและวิจารณ์การแสดงของเธอในการเล่นคีย์บอร์ด แต่พอลก็ยังคงแน่วแน่ในการสนับสนุนภรรยาของเขาอยู่เสมอ

ทั้งคู่เลี้ยงลูก 4 คนด้วยกันคือ Heather, Mary, Stella และ James การแต่งงานที่ยาวนานและการมีชีวิตคู่ที่ยั่งยืนของทั้งคู่ได้เป็นแรงบันดาลใจสำหรับหลาย ๆ คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกของร็อกแอนด์โรล

แม้ว่าเพลง “Maybe I’m Amazed” จะไม่เคยถูกปล่อยออกมาเป็นซิงเกิลอย่างเป็นทางการ แต่ก็ยังได้รับการออกอากาศและกลายเป็นหนึ่งในเพลงฮิตเดี่ยวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของแม็กคาร์ตนีย์ น่าเศร้าที่ลินดาเสียชีวิตในปี 1998 เนื่องจากมะเร็งเต้านม หลังจากนั้นพอลได้แต่งงานกับ เฮเธอร์ มิลส์ (Heather Mills) ในปี 2002 ซึ่งมีลูกสาวคนหนึ่งด้วยกันคือ Beatrice ต่อมาพวกเขาก็ได้หย่าร้างกันในปี 2008 และต่อมาพอลได้แต่งงานกับ แนนซี่ เชลเวลล์ (Nancy Shevell) ในปี 2011

Marianne Faithfull กับ Mick Jagger

ชีวิตของ แมเรียนน์ เฟธฟูล (Marianne Faithfull) เจ้าของเสียงร้องในบทเพลง “As Tears Go By” ก็ได้เปลี่ยนไปตลอดกาลเมื่อเธอทิ้งสามีและเริ่มความสัมพันธ์กับ มิก แจ็กเกอร์ (Mick Jagger) ฟรอนต์แมนของวง The Rolling Stones ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1960 ในฐานะเพื่อนและแฟนสาวของแจ็กเกอร์ เธอได้กลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญของร็อกสตาร์ ด้วยอิทธิพลของเธอที่ปรากฏในเพลงของ The Rolling Stones มากมาย ทั้ง “Sympathy for the Devil” “You Can’t Always Get What You Want” “Wild Horses” และ “Let’s Spend the Night Together”

ความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิงของทั้งคู่กินเวลานานถึง 5 ปี แต่หลังจากที่พวกเขาแยกทางกัน เฟธฟูลก็พบว่าตัวเองกำลังตกที่นั่งลำบาก เธอสิ้นเนื้อประดาตัวและดิ้นรนต่อสู้ อย่างไรก็ตาม เธอก็อยู่กับความพ่ายแพ้ได้ไม่นาน ในที่สุดเฟธฟูลก็ประสบความสำเร็จในอาชีพการงานในฐานะนักร้องและนักแสดง โดยออกอัลบั้มหลายชุดและนำแสดงในภาพยนตร์หลายเรื่องเช่น “The Girl on a Motorcycle” (1968) และ “Nijinsky” (1980)

ในปี 1970 เฟธฟูลก็เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเนื่องจากการติดยาและภาพลักษณ์ของเธอก็มัวหมองไปหลายปี อย่างไรก็ตาม เธอกลับมาอย่างโดดเด่นในช่วงทศวรรษที่ 1980 โดยออกอัลบั้มที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมและฟื้นสถานะของเธอ เสียงที่ดิบและทรงพลังของเธอ รวมถึงประสบการณ์ชีวิตของเธอ ทำให้เธอเป็นสัญลักษณ์ของความสามารถในการฟื้นฟูสู่สภาวะปกติและความคิดสร้างสรรค์

Yoko Ono กับ John Lennon

โยโกะ โอโนะ (Yoko Ono) เป็นศิลปินและนักเคลื่อนไหวเพื่อสันติภาพที่มีบทบาทสำคัญต่อชีวิตและดนตรีของ จอห์น เลนนอน (John Lennon) อย่างแน่นอน ไม่ว่าแฟน ๆ ของ The Beatles จะรักเธอหรือเกลียดเธอ อิทธิพลของโอโนะที่มีต่อเลนนอนนั้นก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ในขณะที่บางคนเชื่อว่าเธอมีส่วนรับผิดชอบในการแยกวงของ The Beatles แต่คนอื่น ๆ มองว่าเธอเป็นแรงบันดาลใจสำคัญสำหรับผลงานที่ดีที่สุดของเลนนอน

อิทธิพลของโอโนะสามารถเห็นได้ในเพลงหลายเพลงของเลนนอน ไม่ว่าจะเป็น “Oh Yoko”, “Dear Yoko” หรือว่า “The Ballad of John and Yoko” และเพลงฮิตยอดนิยมอย่าง “Woman” นอกจากเธอจะมีอิทธิพลต่อดนตรีของเลนนอนแล้ว โอโนะยังเป็นกำลังสำคัญในขบวนการสันติภาพและเป็นผู้บุกเบิกศิลปะเชิงแนวคิด โดยผลงานแนวหน้าของเธอและมักจะเป็นที่ถกเถียงกันและสร้างผลกระทบต่อโลกศิลปะ

ความสัมพันธ์ของ โยโกะ โอโนะ และ จอห์น เลนนอน ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องดนตรีเท่านั้น พวกเขาทั้งคู่มีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวเพื่อสันติภาพ และการประท้วงบนเตียงในปี 1969 ก็เป็นการแสดงออกถึงการเคลื่อนไหวที่เป็นที่รู้จักของพวกเขา พวกเขาใช้เวทีในฐานะศิลปินและคนที่มีชื่อเสียงเพื่อส่งเสริมสันติภาพและส่งสารต่อต้านสงคราม เช่น บทเพลง “Imagine” อันโด่งดัง ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากหนังสือบทกวีของโอโนะ ทั้งคู่แต่งงานกันในปี 1969 และอยู่กันใกล้ชิดติดกันเป็นปาท่องโก๋จนกระทั่งเลนนอนได้เสียชีวิตลงอย่างน่าเศร้าใจในปี 1980 โอโนะยังคงเป็นศิลปินและนักเคลื่อนไหวเพื่อสันติภาพ และในปี 2018 เธอได้รับรางวัล LennonOno Grant for Peace (ขนาดชื่อรางวัลยังต้องเขียนชื่อทั้งคู่ติดกัน) เพื่อเป็นการยกย่องผลงานตลอดช่วงชีวิตของเธอ

Courtney Love กับ Kurt Cobain

คอร์ตนีย์ เลิฟ (Courtney Love) นอกจากจะมีบทบาทสำคัญในวงการดนตรีแล้ว เธอยังมีอิทธิพลต่อศิลปินหนุ่ม ๆ และการสร้างสรรค์ผลงานของพวกเขา ก่อนที่เลิฟจะมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับสามีของเธอ เคิร์ต โคเบน (Kurt Cobain) ฟรอนต์แมนของวง Nirvana เธอได้เป็นแรงพลังสำคัญให้กับนักร้องนำวง Smashing Pumpkins บิลลี คอร์แกน (Billy Corgan) ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์อัลบั้ม ‘Siamese Dream’ และในความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับโคเบนนั้น แฟน ๆ เชื่อกันว่าเนื้อเพลงส่วนใหญ่ของโคเบนได้รับอิทธิพลมาจากเลิฟซึ่งบางคนเรียกว่า ‘Yoko Ono of Generation X’ เลิฟเป็นแรงบันดาลใจให้กับเพลงของโคเบนเพลง ไม่ว่าจะเป็น “Heart-Shaped Box” “Pennyroyal Tea” และ “Doll Parts” เพลงเหล่านี้มักจะเจาะลึกถึงประเด็นความรัก ความเจ็บปวด และความสัมพันธ์ แฟนเพลงและนักวิจารณ์หลายคนเชื่อว่าความรักมีอิทธิพลสำคัญต่องานเขียนของโคเบน

คอร์ตนีย์ เลิฟ และ เคิร์ต โคเบน แต่งงานกันในปี 1992 และมีลูกสาวหนึ่งคนชื่อ ฟรานเซส บีน โคเบน (Frances Bean Cobain) เป็นที่รู้กันว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่มีความผันผวนและเต็มไปด้วยยาเสพติด แต่พวกเขาก็รักกันอย่างลึกซึ้ง การติดยาของโคเบนแย่ลงและมันทำให้เขาโดดเดี่ยวมากขึ้น และในที่สุดเขาก็ได้เสียชีวิตในปี  1994  เมื่ออายุ 27 ปี ด้วยความรักและความเสียใจจากการตายของโคเบนและการต่อสู้กับการติดยาด้วยตัวเอง เลิฟยังคงทำงานด้านดนตรีต่อโดยตั้งวง Hole และออกอัลบั้มหลายชุด เลิฟยังคงเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในวงการอัลเทอร์เนทีฟร็อกและยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักดนตรีในปัจจุบัน

Anna Gordy Gaye กับ Marvin Gaye

แอนนา กอร์ดี เกย์ (Anna Gordy Gaye) เป็นนักแต่งเพลงที่มีพรสวรรค์ในแบบของเธอเอง และร่วมเขียนเพลงฮิตของ มาร์วิน เกย์ (Marvin Gaye) สามีของเธอหลายเพลง อาทิ “I’m Living in a Different World” และ “Never Leave Me Baby” แม้จะมีความสัมพันธ์ที่ผันผวน แต่เธอก็ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับมาร์วินตลอดอาชีพการงานของเขา

แม้จะมีปัญหาชีวิตสมรส แต่ทั้งสองยังคงใกล้ชิดกันจนกระทั่งมาร์วินเสียชีวิตในปี 1984 เขาถูกพ่อของเขา มาร์วิน เกย์ ซีเนียร์ (Marvin Gay Sr.) ยิงหลังจากการทะเลาะวิวาท แอนนา กอร์ดี เกย์เสียชีวิตในปี 1999 ทิ้งมรดกในฐานะพลังทางดนตรีและแรงบันดาลใจให้กับผลงานชิ้นสำคัญแห่งวงการดนตรี

Gwyneth Patrol กับ Chris Martin

เมื่อนักแสดงหญิงแต่งงานกับนักดนตรี เราสามารถคาดหวังได้เลยว่าจะมีเพลงอย่างน้อยสัก 2-3 เพลงเกี่ยวกับที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ เช่นกรณีของนักแสดงสาว กวินเน็ธ พัลโทรว์ (Gwyneth Paltrow) และ คริส มาร์ติน (Chris Martin) สามีของเธอ และฟรอนต์แมนวง Coldplay ก่อนที่ทั้งคู่จะแยกทางกันในเวลาต่อมา มาร์ตินได้เขียนเพลง “Fix You” บทเพลงจากอัลบั้มชุดที่ 3  “X&Y” ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในเพลงยอดนิยมและเพลงฮิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ Coldplay เพลงบัลลาดสะเทือนอารมณ์ซึ่งมีท่วงทำนองที่ทะยานสูงและเนื้อเพลงที่บีบคั้นหัวใจ เป็นบทเพลงจากความตั้งใจและความพยายามของมาร์ตินที่จะปลอบโยนและสนับสนุนพัลโทรว์ในช่วงเวลาที่ยากลำบากของเธอหลังจากการสูญเสียพ่อของเธอไป มาร์ตินและพัลโทรว์แต่งงานกันมานานกว่าทศวรรษและมีลูกด้วยกัน 2 คน แม้ว่าพวกเขาจะแยกทางกัน แต่พวกเขายังคงรักษาความสัมพันธ์ที่ดีและใช้เวลาร่วมกันกับลูก ๆ

Suze Rotolo กับ Bob Dylan

ซูเซ โรโตโล (Suze Rotolo) เป็นมากกว่าแฟนสาวของ บ็อบ ดีแลน (Bob Dylan) นักดนตรีระดับตำนาน เธอเป็นแรงบันดาลใจที่แท้จริงและอยู่เบื้องหลังเพลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดหลายเพลงของเขา โรโตโลและดีแลน พบกันในปี 1961 และอยู่ด้วยกันเป็นเวลา 4 ปี ในช่วงเวลานี้ ดีแลนเพิ่งเริ่มต้นอาชีพของเขาและได้รับอิทธิพลอย่างมากจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองและความหลงใหลในความยุติธรรมทางสังคมของโรโตโล ว่ากันว่าเธอมีอิทธิพลต่อการแต่งเพลงของดีแลน และสนับสนุนให้เขากลั่นความเห็นทางการเมืองและสังคมใส่ลงไปในเพลงของเขา เช่นบทเพลงอย่าง “The Times They Are A-Changin'” และ “Girl from the North Country” เชื่อว่าได้รับแรงบันดาลใจจากโรโตโลและความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ภาพถ่ายของคู่รักที่เดินควงแขนกันในนิวยอร์กซิตี้บนปกอัลบั้ม ‘The Freewheelin’ Bob Dylan’ ของดีแลนในปี 1963 นั้นคือภาพของดีแลนและโรโตโล ซึ่งได้กลายเป็นภาพที่โดดเด่นที่สุดภาพหนึ่งแห่งประวัติศาสตร์ดนตรีโฟล์ก ซูเซ โรโตโลมีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์ดนตรีในยุคแรก ๆ ของดีแลน และได้รับการจดจำในฐานะหนึ่งในแรงบันดาลใจที่สำคัญที่สุดของเขา

Priscilla Presley กับ Elvis Presley

พริสซิลลา เพรสลีย์ (Priscilla Presley) แต่งงานกับนักดนตรีระดับตำนาน เอลวิส เพรสลีย์ (Elvis Presley) ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการดนตรี ทั้งคู่พบกันในเยอรมนีขณะที่เอลวิสรับราชการในกองทัพ และทั้งคู่แต่งงานกันในปี 1967 พริสซิลลาอายุเพียง 14 ปีเมื่อพบเอลวิสครั้งแรก เธอมักได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพลสำคัญในชีวิตของเขาและเป็นแรงบันดาลใจในบทเพลงของเอลวิส เช่น “Suspicious Minds” และ “Don’t Cry Daddy”

พริสซิลลามีบทบาทสำคัญในชีวิตและอาชีพของเอลวิส โดยทำหน้าที่เป็นทั้งผู้จัดการและผู้ดูแลการสร้างเกรซแลนด์ ซึ่งเป็นที่ดินในเมมฟิสอันโด่งดังของเอลวิส นอกจากนี้เธอยังปรากฏตัวในภาพยนตร์หลายเรื่องของเขาและเดินทางไปกับเขาในทัวร์ พริสซิลลาใช้ชีวิตคู่ร่วมกันกับเอลวิสจนกระทั่งเขาเสียชีวิตในปี 1977 และตั้งแต่นั้นมาเธอก็อุทิศตนเพื่อรักษามรดกและผลงานดนตรีของเอลวิสตราบจนถึงทุกวันนี้

Caroline Kennedy กับ Neil Diamond

ถึงแม้เรื่องราวของคู่นี้จะไม่ได้เป็นเรื่องของคู่รัก แต่ก็เป็นเรื่องแรงบันดาลใจต่อการสร้างสรรค์บทเพลงที่น่าประทับใจ

เพลง “Sweet Caroline” ของนีล ไดมอนด์ (Neil Diamond) เป็นหนึ่งในเพลงที่เป็นที่รู้จักและเป็นที่ชื่นชอบมากที่สุดตลอดกาล ได้รับแรงบันดาลใจจาก แคโรไลน์ เคนเนดี (Caroline Kennedy) ลูกสาวของประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี (John F. Kennedy) ตามคำบอกเล่าของไดมอนด์ แรงบันดาลใจของเพลงนี้มาจากภาพที่เขาเห็นแคโรไลน์เมื่อยังเป็นเด็กสาว สวมชุดขี่ม้าอยู่ข้าง ๆ ลูกม้าของเธอ ภาพนี้ประทับใจไดมอนด์มากจนเขาเขียนเพลงนี้เสร็จในเวลาเพียง 30 นาที และในที่สุดเมื่อแคโรไลน์ เคนเนดีได้รู้ว่าเพลงนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากเธอ เธอนั้นก็มีความสุขและดีใจมาก

ท่วงทำนองที่สนุกสนาน เนื้อเพลงที่ร่าเริง และข้อความแห่งความหวังและความรักที่ไร้กาลเวลาทำให้เพลงนี้เป็นเพลงสำคัญในการแข่งขันกีฬาและเป็นเพลงประจำของห้องคาราโอเกะในสหรัฐอเมริกามานานหลายทศวรรษ เป็นข้อพิสูจน์ถึงพลังแห่งแรงบันดาลใจและกระบวนการสร้างสรรค์ และเป็นเครื่องเตือนใจว่าบางครั้งงานศิลปะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอาจมาจากช่วงเวลาที่เรียบง่ายที่สุดก็เป็นได้.

ที่มา

Everything Zoomer

The Guardian

Ranker

Biography

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส