1994 นับว่าเป็นปีทองของฮอลลีวู้ด ภายในปี้นี้มีหนังอมตะขึ้นหิ้งออกฉายถึง 4 เรื่อง นอกจาก Pulp Fiction แล้วก็ยังมี The Lion King, Shawshank Redemption แต่ทุกเรื่องก็ต้องถูกรัศมีของ Forrest Gump บดบังบนเวทีออสการ์ เรียกได้ว่าทุกเรื่องที่กล่าวมานี้ ถ้าไม่ฉายชนกันในปี 1994 นี้ ทุกเรื่องมีคุณค่าพอที่จะกวาดรางวัลใหญ่บนเวทีออสการ์ด้วยกันทั้งสิ้น

ถึงแม้ว่า Pulp Fiction จะไม่ประสบความสำเร็จบนเวทีรางวัล แต่หนังก็ถูกจดจำในฐานะหนังมาสเตอร์พีซของผู้กำกับ-เขียนบท เควนติน ทาแรนติโน หลังจากสร้างชื่อมาแล้วในหนังฟอร์มเล็ก Reservoir Dogs (1992) ขบวนปล้นไม่ถามชื่อ แล้วเควนติน ก็ตอกย้ำความสำเร็จครั้งใหญ่ด้วย Pulp Fiction ทำให้เขาก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้กำกับแถวหน้าของฮอลลีวูด ภายในผลงานเรื่องที่ 2 นี่เอง แม้หนังจะไม่ประสบความสำเร็จบนเวทีออสการ์ แต่หนังก็ถูกจดจำว่าได้เข้าชิงถึง 7 รางวัล รวมถึงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและผู้กำกับยอดเยี่ยม แต่เควนตินก็ยังคว้ารางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมกลับบ้านได้สำเร็จ

หนังยังถูกจดจำในฐานะหนังที่สร้างชื่อให้ จอห์น ทราโวลตรา ได้กลับมาเป็นนักแสดงงานชุกได้อีกครั้ง กับบท วินเซนต์ มือปืนอารมณ์ดี เช่นเดียวกับบท จูลส์ มือปืนคู่หูของเขา กลายเป็นอีกหนึ่งคาแรกเตอร์โดดเด่นจากตลอดชีวิตการแสดงของ ซามูเอล แอล.แจ็กสัน ที่ส่งให้ทั้งคู่ได้เข้าชิงออสการ์สาขาเดียวกันคือ นักแสดงนำยอดเยี่ยมในปีนั้น ตลอดประวัติศาสตร์ของฮอลลีวูดมีหนังน้อยเรื่องมาก ที่ส่งให้นักแสดงนำชายทั้ง 2 คนได้เข้าชิงออสการ์ด้วยกันทั้งคู่

แม้ว่าเควนตินจะได้ออสการ์กลับบ้านเพียงแค่ตัวเดียว แต่ถ้านับรวมจากทุกเวทีแจกรางวัลภาพยนตร์ Pulp Fiction พิสูจน์คุณค่าตัวมันเองด้วยการกวาดรางวัลมาอย่างบ้าคลั่งถึง 63 รางวัล ด้านรายได้เรียกว่าเกินคาด หนังทำรายได้ทั่วโลกไปสูงถึง 214 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างจุ๋มจิ๋มมากแค่ 8 ล้านเหรียญ เรื่องราวความน่าทึ่งของ Pulp Fiction ยังไม่หมดแค่นี้ เพราะตลอดเวลา 2 ชั่วโมง 34 นาที นั้นเต็มไปด้วยฉากที่ทำให้เราอ้าปากค้าง อึ้ง ทึ่ง เสียว กันอย่างมากมาย และนี่คือเกร็ดเบื้องหลังที่น่าสนใจ อ่านแล้วน่าจะอยากทำให้หยิบหนังมาดูอีกสักรอบเป็นแน่

 

1.รถเปิดประทุนสีแดงของวินเซนต์ เวกา เป็นรถของเควนติน แต่ถูกขโมยไประหว่างถ่ายทำ

รถเปิดประทุนสีแดงของวินเซนต์ เวกา เป็นรถของเควนติน แต่ถูกขโมยไประหว่างถ่ายทำ

รถเปิดประทุนสีแดงของวินเซนต์ เวกา เป็นรถของเควนติน แต่ถูกขโมยไประหว่างถ่ายทำ

ในหนังเราได้เห็นวินเซนต์ เวกา ขับรถ เชฟโรเล็ต มาลิบู เปิดประทุนสีแดงสด ปี 1964 เป็นคันที่เขาขับพา มิอา วอลเลซ เที่ยวตามคำสั่งเจ้านาย ซึ่งรถคันนี้ที่จริงแล้วเป็นรถของผู้กำกับเควนติน ทาแรนติโน นั่นเอง แต่หลังจากที่ใช้รถเข้าฉากถ่ายทำจนเสร็จสรรพ ก็ไม่รู้ว่าไปทำอีท่าไหน รถคันนี้ถูกขโมยไปจากกองถ่าย แล้วก็สาบสูญไปนับแต่บัดนั้น

ผ่านไป 19 ปี จนถึงปี 2013 มีพลเมืองดีแจ้งเหตุเห็นชาย 2 คน พยายามงัดแงะรถอยู่ ผู้ช่วยนายอำเภอประจำ สน.วิกเตอร์วิล ในแคลิฟอร์เนีย รีบรุดไปที่เกิดเหตุ รวบตัวผู้ก่อเหตุได้ทัน แล้วก็ทำการเช็กทะเบียนรถหาเจ้าของรถ พบว่ารถคันนี้เป็นของผู้กำกับเควนติน ทาแรนติโน ที่แจ้งว่าถูกขโมยไปตั้งแต่ปี 1994 แต่ปรากฏว่าผู้ครอบครองรถคนปัจจุบันก็เป็นเหยื่อเช่นกัน เพราะซื้อรถคันนี้มาโดยบริสุทธิ์ใจ ไม่รู้ว่าเป็นรถที่ถูกขโมยมา จนป่านนี้ก็ยังไม่รู้นะว่า สุดท้ายแล้วเควนติน จะได้รถคืนมั้ยเนี่ย

 

2.หนังได้กำไรตั้งแต่ยังไม่ออกฉาย

Pulp Fiction ได้กำไรตั้งแต่ยังไม่ออกฉาย

Pulp Fiction ได้กำไรตั้งแต่ยังไม่ออกฉาย

วี่แววประสบความสำเร็จมีมาตั้งแต่หนังเปิดกล้องแล้ว เพราะชื่อเสียงของเควนติน ที่กำลังหวานหอม เป็นที่จับตาของคนในวงการและแฟน ๆ ที่ได้ชมความบ้าระห่ำของเขาจากใน Reservoir Dogs บวกกับทัพดาราที่หนาแน่นใน Pulp Fiction โดยเฉพาะชื่อของ บรู๊ซ วิลลิส พระเอกแถวหน้าในวันนั้น ที่ยังมาร่วมงานด้วย แล้วกลายเป็นว่าเพราะ บรู๊ซ วิลลิส นี่ล่ะ เป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้หนังประสบความสำเร็จทางด้านรายได้ เพราะบรู๊ซ ยอมลดค่าตัวเพื่อมาร่วมงานกับเควนติน ทำให้หนังคุมงบให้อยู่ภายใน 8 ล้านเหรียญได้ แต่พอมีชื่อของบรู๊ซ วิลลิส ในหนัง ก็ทำให้ Miramax ขายหนังให้กับต่างประเทศได้มากมาย ทำให้ Miramax รับทรัพย์กลับมา 11 ล้านเหรียญตั้งแต่หนังยังไม่ออกฉาย นี่ยังไม่นับรายได้อีกมหาศาลตอนที่หนังออกเป็นวิดีโออีกด้วยนะ Pulp Fiction ได้สร้างสถิติใหม่ให้กับฮอลลีวูดในฐานะหนังที่ไม่ได้สร้างโดยสตูดิโอใหญ่ แต่สามารถทำรายได้ทะลุ 200 ล้านเหรียญเป็นเรื่องแรก

 

3.แดเนียล เดย์ ลูอิส น่ะเหรอ ผมไม่สนนะ

แดเนียล เดย์-ลูอิส

แดเนียล เดย์-ลูอิส

จะมีใครกล้าปฏิเสธชื่อ แดเนียล เดย์ ลูอิส ล่ะ ก็คงมีแค่คนเดียว และคนนั้นก็คือ เควนติน ทาแรนติโน เนี่ยแหละ ตอนที่กำลังคัดตัวนักแสดงอยู่นั้น ฮาร์วีย์ ไวน์สตีน เจ้าของค่าย Miramax อยากได้ แดเนียล มารับบท วินเซนต์ เวกา อย่างมาก และพยายามหว่านล้อมแดเนียล อย่างหนักให้ตอบรับบทนี้ การได้ตัวแดเนียล เดย์ ลูอิส มาร่วมงานนับเป็นความฝันของเจ้าของหนัง และโปรดิวเซอร์ทั่วทั้งฮอลลีวูด เพราะแดเนียล คือนักแสดงยอดฝีมือ ผู้ไม่ตอบรับกับบทไหนง่าย ๆ เขาไม่รับเล่นหนังเอาใจตลาด เลือกรับแต่บทที่เขาพอใจเท่านั้น

แต่ขณะเดียวกัน เควนติน กลับไม่รู้สึกตื่นเต้นกับชื่อของแดเนียล เดย์ ลูอิส ที่ฮาร์วีย์ ไวน์สตีน บอกว่าเหมาะสมอย่างมากกับบทวินเซนต์ เวกา เหตุผลของเควนตินคือคนเดียวที่เขาจะให้มารับบทนี้คือ จอห์น ทราโวลตา เท่านั้น เขาเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ของเขาอย่างมาก ถ้าฮาร์วีย์ ยังยืนกรานข้อเสนอก็ไม่ต้องสร้างหนังเรื่องนี้กัน ผลคือฮาร์วีย์ ยอมแพ้ แล้วจอห์น ทราโวลตา ก็ไม่ทำให้เควนตินผิดหวัง แล้วมันก็เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตการแสดงของเขา เพราะหลังจาก PulpFiction ก็ก้าวสู่ตำแหน่งพระเอกแถวหน้าของฮอลลีวูด มีงานแสดงปีละ 3-4 เรื่องไปจนถึงยุค 2000s

 

4.โรเบิร์ต รอดริเกซ มาช่วยกำกับแบบไม่ได้เครดิต

โรเบิร์ต รอดริเกซ มาช่วยกำกับแบบไม่ได้เครดิต

โรเบิร์ต รอดริเกซ มาช่วยกำกับแบบไม่ได้เครดิต

เควนติน ทาแรนติโน กับโรเบิร์ต รอดริเกซ นี่เป็นเพื่อนซี้กันมาอย่างยาวนาน ทั้งคู่ก้าวมาจากหนังอินดี้เหมือนกัน ในยุคไล่เลี่ยกัน โรเบิร์ต รอดริเกซ สร้างชื่อมาจาก El mariachi ปี 1992 ปีเดียวกับ Reservoir Dogs ของเควนติน แล้วก็ประสบความสำเร็จในวงกว้างจาก Desperado ปี 1995

ใน Pulp Fiction  เควนติน ทาแรนติโน นั้นโดดลงมาร่วมแสดงด้วยในบท จิมมี เพื่อนของ จูลส์ บทของซามูเอล แอล.แจ็กสัน พอแสดงเองก็กำกับไปด้วยไม่ถนัดนัก เควนตินเลยโทรหาโรเบิร์ต รอดริเกซ ให้มาช่วยกำกับฉากนี้ให้ที ซึ่งโรเบิร์ต ก็เต็มใจช่วยเพื่อนเต็มที่โดยไม่เอาเครดิต บุญคุณครั้งนี้กว่าจะตอบแทนกันก็ปาไป อีก 11 ปี เมื่อโรเบิร์ต รอดริเกซ กำกับ Sin City ปี 2005 เขาได้ไหว้วานเควนติน ให้มาช่วยกำกับด้วยฉากหนึ่ง ก็นับว่าเป็นความสัมพันธ์อันดีในหมู่ผู้กำกับที่เติบโตมาจากสายหนังอินดี้ ไม่ใช่แค่โรเบิร์ต รอดริเกซ เท่านั้นที่เควนติน เคยตามมาช่วยงาน ตอนที่กำกับ Inglourious Basterds เควนติน ก็เคยตาม อีไล รอธ ให้มาช่วยกำกับเช่นกัน

 

5.เบื้องหลังฉากปักเข็มทะลุหน้าอก

เบื้องหลังฉากปักเข็มทะลุหน้าอก

เบื้องหลังฉากปักเข็มทะลุหน้าอก

หนึ่งในฉากที่คนดูจดจำไปตลอดกาล ก็คือฉากที่วินเซนต์ ปักเข็มฉีดยาอะดรีนาลีนเล่มใหญ่ เพื่อแทงทะลุเข้าหัวใจของ มิอา วอลเลซ เชื่อว่าฉากนี้ทำเอาคนดูลุ้นกันหวาดเสียวสุด เมื่อได้เห็นความยาวของเข็ม และวิธีการสุดโหดที่จะต้องปักเข็มให้ทะลุถึงหัวใจเท่านั้น

ไอเดียเริ่มแรกของเควนติน ตอนที่จะถ่ายทำฉากนี้ เขาวางแผนไว้ว่าจะให้ทีมงานสร้างหน้าอกปลอม แล้วถ่ายช็อตโคลสอัปให้เห็นแค่มือของวินเซนต์ปักเข็มไปบนอกปลอมนั้น แต่พอมาคิดอีกที ถ้าฉากนี้มองเห็นภาพกว้าง มีมิอานอนอยู่แล้วเห็นวินเซนต์นั่งคร่อมปักเข็มลงไป อารมณ์ที่ได้มันจะรุนแรงกว่า เมื่อคิดได้อย่างนั้น ไอเดียอันชาญฉลาดของเควนตินก็บังเกิดขึ้น เขาถ่ายฉากนี้แบบย้อนหลัง ให้จอห์น ทราโวลตา วางเข็มไปบนหน้าอกอูมา เธอร์แมน แล้วถอนมือขึ้นเหนือหัวอย่างแรง แล้วพอขั้นตอนตัดต่อก็เดินเทปกลับทิศทางเอา ที่เราเห็นวินเซนต์ปักเข็มไปอย่างแรง แท้จริงแล้วคือการถอนมือขึ้นอย่างแรงต่างหาก แล้ววิธีนี้ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะทำให้อูมา เธอร์แมน บาดเจ็บอีกด้วย

 

6.เจนนิเฟอร์ อนิสตัน เกือบได้รับบท มิอา วอลเลซ แล้ว

เจนนิเฟอร์ อนิสตัน เกือบได้บท มิอา วอลเลซ เสียแล้ว

เจนนิเฟอร์ อนิสตัน เกือบได้บท มิอา วอลเลซ เสียแล้ว

ก่อนที่เธอจะเป็นนักแสดงหญิงชื่อดังนั้น เธอก็เล่นหนังทุนต่ำอยู่หลายเรื่อง หนึ่งในนั้นคือหนังสยองขวัญเกรดB Leprechaun ปี1993 แต่ความสวยและบทบาทของเธอก็ยังอุตส่าห์ไปเข้าตา เควนติน ทาแรนติโน ทำให้เขาทาบทามเธอมารับบทสำคัญใน Pulp Fiction นั่นก็คือบท มิอา วอลเลซ นั่นเอง ทุกอย่างเกือบจะลงตัวแล้ว แต่คิวการถ่ายทำ Pulp Fiction เกิดชนกับทีวีซีรีส์ Friends ที่เธอเพิ่งจะเซ็นสัญญารับบทนำไป ทำให้เธอต้องบอกปัด Pulp Fiction แล้วก็อย่างที่เราทราบกันไป ก็ถือว่า เจนนิเฟอร์ ไม่ได้ตัดสินใจผิดพลาด Friends ได้สร้างชื่อเสียงให้กับเธอได้สำเร็จ แล้วก็เป็นซีรีส์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง สร้างกันยาวนานถึง 10 ซีซัน และส่งให้นักแสดงนำทั้งชุด กลายเป็นนักแสดงแถวหน้าของฮอลลีวูดกันถ้วนหน้า

 

7.จะเล่นเป็น แลนซ์ หรือ จิมมี่ ดีนะ

อีริก สโตลซ์ ในบท แลนซ์

อีริก สโตลซ์ ในบท แลนซ์

เรื่องหนึ่งที่แฟน ๆ ของเควนติน ทาแรนติโน ทราบกันดี ว่าเควนติน มักจะร่วมแสดงบทเล็ก ๆ ในหนังที่เขากำกับเอง รวมถึงหนังของบรรดาเพื่อนสนิทด้วย บางเรื่องถ้าไม่ได้ร่วมแสดงก็มักจะพากย์เสียงแทน อย่างใน Pulp Fiction นี้ เควนติน กำหนดไว้แล้วว่าเขาจะต้องร่วมแสดงบทใดบทหนึ่ง ตัดสินใจอยู่ว่าถ้าไม่เล่นเป็นจิมมี่ อย่างที่เราเห็นไปแล้วในหนัง ก็จะเล่นเป็นแลนซ์ พ่อค้ายา ที่สุดท้ายได้ อีริก สโตลซ์ มารับบทไป

สิ่งที่ทำให้เควนติน ตัดสินใจเลือกบทจิมมี่ในที่สุดก็เพราะ ฉากเข็มปักอกในตำนานนั่นล่ะ เควนตินรู้ทันทีว่าฉากนี้จะต้องเป็นฉากที่คนดูจดจำไปยาวนาน และจำเป็นอย่างยิ่งว่าในการถ่ายทำฉากนี้ เขาสมควรที่สุดที่จะต้องอยู่หลังกล้องคอยทำหน้าที่กำกับอย่างเต็มตัว ไม่ใช่ไปเสนอหน้ารับบทสำคัญอยู่ในฉากนั้น แล้วสุดท้ายก็ออกมาอย่างที่เราเห็นนั่นล่ะ

 

8.เอ่ยคำว่า “Fuck” ถึง 265 ครั้ง

เอ่ยคำว่า "Fuck" ถึง 265 ครั้ง

เอ่ยคำว่า “Fuck” ถึง 265 ครั้ง

ถ้านึกถึงคำว่า “Fuck” ในหนังขึ้นมา ก็ชวนให้นึกถึงหน้า ซามูเอล แอล.แจ็กสัน ขึ้นมาทุกครั้ง ซามูเอล เป็นสัญลักษณ์ของคำว่า Fuck ก็เพราะบท จูลส์ จากเรื่องนี้นี่แหละ ด้วยความยาวของ Pulp Fiction อยู่ที่ 154 นาที มีการเอ่ยคำว่า “Fuck” ออกมาถึง 265 ครั้ง เฉลี่ยแล้ว ต่อ 1 นาที มีการเอ่ยคำว่า “Fuck” เท่ากับ 1.72 ครั้ง สถิตินี้ทำให้ Pulp Fiction ติดอันดับที่ 28 ในตารางหนังที่มีคำว่า “Fuck” มากที่สุดตลอดกาล น่าภูมิใจไหมเนี่ย

แม้ว่า Pulp Fiction จะเป็นผลงานเรื่องที่ 2 ของ เควนติน ทาแรนติโน ส่วนผลงานเรื่องแรกของเขาคือ Reservoir Dogs ซึ่งมีความยาวหนังเพียง 99 นาที แต่ดันมีคำว่า “Fuck” มากถึง 269 ครั้ง ทำให้ความถี่ในการเอ่ยคำนี้อยู่ที่ 2.71 ครั้งต่อนาที สถิติเหล่านี้ไม่ได้เป็นที่น่าพอใจกับเจ้าของหนังแต่อย่างใดเลย เพราะเป็นปัญหาปวดกบาลมากเมื่อขายหนังให้กับสถานีทีวี เพราะต้องคอยมาเซนเซอร์ตัดเสียง “Fuck”ออกกันยกใหญ่

 

9.ออกฉายวันเดียวกับสุดยอดหนัง Shawshank Redemption

ออกฉายวันเดียวกับสุดยอดหนัง Shawshank Redemption

ออกฉายวันเดียวกับสุดยอดหนัง Shawshank Redemption

อีกหนึ่งหนังในดวงใจของหลาย ๆ คนคือ Shawshank Redemption ออกฉายในวันที่ 14 ตุลาคม 1994 ซึ่งเป็นวันเดียวกับ Pulp Fiction แล้วก็เป็นหนังที่หมายมั่นรางวัลใหญ่บนเวทีออสการ์ด้วยเช่นกัน เรียกได้ว่าเป็นคู่แข่งตัวฉกาจ ที่บารมีศักดิ์ศรีทัดเทียม แล้วก็ดันออกฉายวันเดียวกันอีก นับว่าเป็นวันที่ประวัติศาสตร์ฮอลลีวูด ควรจารึกไว้ แม้ว่า Shawshank Redemption จะได้ฐานเสียงความประทับใจจากผู้ชมในวงกว้างกว่า แต่ในด้านรายได้นั้น Shawshank Redemption แพ้อย่างราบคาบ ทำรายได้ยังไม่คุ้มทุนสร้างเลยด้วยซ้ำ

นอกจากวันออกฉายชนกันแย่งคนดูกันแล้ว Shawshank Redemption กับ Pulp Fiction ยังมาชนกันบนเวทีรางวัลอีก ทั้ง 2 เรื่องเข้าชิง 7 รางวัลออสการ์เท่ากัน น่าสงสาร Shawshank Redemption ครับ หนังที่คนดูทั่วโลกรักมาก กลับไม่อยู่ในสายตากรรมการออสการ์เลยแม้เพียงนิด หนังปิ๋วหมดทุกรางวัล มีเพียง Pulp Fiction ที่ส่งให้เควนติน ทาแรนติโน ถือรางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมกลับบ้านไป 1 ตัว แชมป์ออสการในปีนั้นคือ Forrest Gump เข้าชิง 13 รางวัล กวาดกลับบ้านไปถึง 6 รางวัล ส่วน The Lion King เข้าชิงไป 4 ได้กลับบ้านไป 2 รางวัล

ปี 1994 นับเป็นปีประวัติศาสตร์ของฮอลลีวูดจริง ๆ นอกจากจะมีหนังสายรางวัลอย่าง The Lion King, Shawshank Redemption, Pulp Fiction และ Forrest Gump ออกฉายแล้ว ก็ยังมีหนังสุดมันส์เอาใจผู้ชมอย่าง Speed และ True Lie ก็ออกฉายในปีนี้ด้วยเช่นกัน

 

10.ฉากปืนลั่นใส่หัวมาร์วิน เป็นไอเดียของจอห์น ทราโวลตา

ฉากปืนลั่นใส่หัวมาร์วิน เป็นไอเดียของจอห์น ทราโวลตา

ฉากปืนลั่นใส่หัวมาร์วิน เป็นไอเดียของจอห์น ทราโวลตา

เรื่องนี้ได้รับการเปิดเผยจากนักแสดง ฟิล ลามาร์ ผู้รับบทมาร์วิน ผู้น่าสงสาร เหยื่อผู้รอดชีวิตเพียงรายเดียวจากการสังหารล้างบางของจูลส์ และวินเซนต์ แล้วทั้งคู่ก็พามาร์วิน นั่งเบาะหลังรถของพวกเขามาด้วย ระหว่างทางวินเซนต์หันไปคุยกับมาร์วิน แล้วก็พลาดทำปืนลั่นใส่หัวมาร์วิน หัวระบิดมันสมองกระจายเป็นภาพที่ชวนแหวะมาก กลายเป็นเรื่องราววุ่นวายยุ่งเหยิงตามมาหลังจากนั้น

ฟิล เล่าว่าเดิมทีบทไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นในหนัง ระหว่างที่จูลส์ขับรถด้วยความเร็วอยู่นั้น เขาขับผ่านลูกระนาดด้วยความเร็ว ทำให้วินเซนต์พลาดทำปืนลั่น กระสุนวิ่งเข้าที่คอของมาร์วิน เลือดไหลกระฉูด มาร์วินเจ็บปวดร้องครวญคราง จูลส์ และวินเซนต์จึงตัดสินใจเป่าสมองมาร์วินเสียเพื่อเป็นการตัดความทรมาน แต่จอห์น ทราโวลตา รู้สึกว่าบทของวินเซนต์และจูลส์ อำมหิตเกินไปนะ เลยแนะนำเควนติน ว่าแก้เป็นปืนลั่นเข้าหัวมาร์วินโป้งเดียวจบไปเลย มันจะดูโหดร้ายน้อยกว่า แล้วทำให้ฉากนี้ดูขำมากขึ้นด้วย เควนตินเห็นพ้องด้วย ก็เลยออกมาอย่างที่เราเห็นกัน

 

11.กระเป๋าสตางค์ “Bad Motherfucker” ก็เป็นของเควนตินอีกเช่นกัน

กระเป๋าสตางค์ "Bad Motherfucker" ก็เป็นของเควนตินอีกเช่นกัน

กระเป๋าสตางค์ “Bad Motherfucker” ก็เป็นของเควนตินอีกเช่นกัน

ทุกคนที่ได้ดู Pulp Fiction น่าจะจำเจ้ากระเป๋าตังค์ใบนี้ได้ ในเรื่องมันทำหน้าที่เป็นกระเป๋าตังค์ของ จูลส์ เป็นกระเป๋าตังค์ที่มีเอกลักษณ์อันสุดโต่ง เพราะมันปักด้ายดำเป็นประโยคสุดตราตรึงว่า “Bad Mother Fucker” ช่างเหมาะกับบุคลิกของคนอย่างจูลส์เสียจริ๊ง หลังจากหนังออกฉาย กระเป๋าตังค์ปักลาย “Bad Mother Fucker” ก็ได้กลายเป็นเทรนด์ฮิตในยุคนั้น แต่มันมีความจริงเบื้องหลังที่ชวนทึ่งอยู่ ก็เพราะว่าเจ้าของกระเป่าตังค์ตัวจริงก็คือ ผู้กำกับเควนติน ทาแรนติโน อีกแล้วครับท่าน แล้วก็เป็นไอเดียเขาอีกเช่นกัน ที่ให้หยิบยืมกระเป๋าตังค์ใบนี้ไปเข้าฉาก คนมันมีรสนิยมแบบนี้สิน่า ถึงได้เขียนบทหนังแบบนี้ออกมาได้นี่นะ เควนติน เผยในภายหลังว่า แรงจูงใจที่เขาเลือกปักคำนี้ไปบนกระเป๋าตังค์นั้น เพราะเขาประทับใจวลีนี้มาจากหนังเรื่อง Shaft เวอร์ชันปี 1971 ในเรื่องนั้น Shaft ได้เอ่ยคำว่า “They say this cat Shaft is a bad motherfucker” อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจหลังจากนั้นก็คือ ซามูเอล แอล.แจ็กสัน เจ้าของบท จูลส์ เจ้าของกระเป๋าตังค์ในเรื่องนี้ ก็ได้มารับบท Shaft ในปี 2000

 

12.แกรี่ โอลด์แมน เป็น จูลส์ ส่วน ทิม ร็อธ เป็น วินเซนต์

แกรี่ โอลด์แมน เป็น จูลส์ ส่วน ทิม ร็อธ เป็น วินเซนต์

แกรี่ โอลด์แมน เป็น จูลส์ ส่วน ทิม ร็อธ เป็น วินเซนต์

นี่คือไอเดียเริ่มแรกของ เควนติน ทาแรนติโน เขาหมายตา แกรี่ โอลด์แมน ให้มารับบทเป็น จูลส์ เพราะว่าประทับใจบทบาทการแสดงของ แกรี่ โอลด์แมน ใน True Romance ผลงานที่เควนติน เขียนบทภาพยนตร์ให้ โทนี่ สก็อตต์ กำกับในปี 1993 ส่วน ทิม ร็อธ นั้นเป็นนักแสดงยอดฝีมือ ที่เคยร่วมงานกับเควนตินมาแล้วใน Reservoir Dogs เควนติน เองค่อนข้างจริงจังกับตัวเลือกนี้ แล้วเดินหน้าไปถึงขั้นแก้ไขบทจูล และวินเซนต์ ให้เป็นมือปืนคู่หูที่มาจากอังกฤษด้วยซ้ำเพื่อให้เข้ากับสำเนียงอังกฤษของแกรี่ โอลด์แมน และทิม ร็อธ แต่ก็มาเปลี่ยนใจในภายหลัง ถึงได้ออกมาเป็นจูลส์ และวินเซนต์ ในเวอร์ชั่นที่ส่งให้ ซามูเอล แอล.แจ็กสัน และจอห์น ทราโวลตา ประสบความสำเร็จจากบทนี้ด้วยกันทั้งคู่

 

13.เควนติน กำหนดภาพลักษณ์ของ จูลส์ ไว้ว่าจะต้องมีผมทรงแอฟโฟรที่ฟูฟ่อง

เควนติน กำหนดภาพลักษณ์ของ จูลส์ ไว้ว่าจะต้องมีผมทรงแอฟโฟรที่ฟูฟ่อง

เควนติน กำหนดภาพลักษณ์ของ จูลส์ ไว้ว่าจะต้องมีผมทรงแอฟโฟรที่ฟูฟ่อง

เควนติน ทาแรนติโน ชื่นชอบหนังในแนว blaxploitation มาก เอกลักษณ์ของหนังแนวนี้คือ พระเอกของเรื่องจะเป็นชายผิวสีที่เป็นวีรบุรุษผู้เก่งกาจ เป็นหนังที่ฮิตกันมากในช่วงปี 1970s หนึ่งในนั้นก็คือ Shaft ที่เควนตินถึงกับเอาวลีในหนังมาปักลงบนกระเป๋าสตางค์นั่นไง เอกลักษณ์อีกอย่างของหนังแนว blaxploitation ก็คือ บรรดาตัวละครนำจะต้องไว้ผมทรงแอฟโฟรที่ฟูฟ่องเป็นก้อนใหญ่มาก ทำให้เควนตินได้วาดฝันภาพลักษณ์ของจูลส์ให้ออกมาในแบบนั้น เขาจึงสั่งให้ทีมงานไปหาซื้อวิกผมทรงแอฟโฟรลูกใหญ่มาให้ซามูเอล แอล.แจ็กสัน สวมในการรับบทเป็นจูลส์ แต่ก็เกิดความผิดพลาด ผู้ช่วยไม่รู้จักว่าหน้าตาผมทรงแอฟโฟรลูกใหญ่เป็นอย่างไร ก็เลยไปซื้อวิกผมทรง Jheri-curl มาแทน ซึ่งต่างกันลิบลับ เพราะ Jheri-curl เป็นทรงฮิตในยุค 80s คิดค้นโดยช่างทำผมนาม Jheri Redding ก็เลยเอาชื่อตัวเองตั้งเป็นชื่อทรง

เมื่อทีมงานสาวกลับมาพร้อมกับวิกผม Jheri-curl ทำให้เควนตินเริ่มจะหัวร้อน แล้วต่อว่าพนักงานสาวคนนั้น ดีที่ซามูเอล เข้ามาปรามไว้ “อย่า อย่า อย่า ทรงนี้ล่ะเยี่ยมยอดแล้ว” ว่าแล้ว ซามูเอล ก็สวมวิกผม Jheri-curl ให้เควนตินดูทันที กลับกลายเป็นว่าเควนตินแฮปปี้กับลุคของจูลส์ที่เขาเห็น ทีมงานสาวรอดตัวไป ส่วนจูลส์ก็ได้ภาพลักษณ์ใหม่ที่ติดตาผู้ชมไปตลอดกาล

 

14.เควนติน ทาแรนติโน โดนผู้ชมหญิงตะโกนด่าระหว่างที่กล่าวปราศัยในพิธีรับมอบรางวัล Palme D’Or

Play video

ความสำเร็จของ Pulp Fiction มีวี่แววล่วงหน้ามาตั้งแต่ก่อนออกฉายถึง 5 เดือน เมื่อหนังไปฉายในสายประกวดที่เทศกาลหนังเมืองคานส์ แล้วก็คว้ารางวัล Palme D’Or รางวัลใหญ่สุดในปีนั้นมาได้ สร้างความปลื้มปิติให้กับเควนติน และทีมงาน รวมไปถึงค่าย Miramax เจ้าของหนัง เควนติน ขึ้นไปรับรางวัลใหญ่ด้วยความภาคภูมิใจ แต่ในระหว่างที่เควนตินกำลังกล่าวขอบคุณนั้น ก็มียัยป้าที่ไม่รู้ว่าโกรธแค้นอะไรต่อหนัง ตะโกนด่าเควนตินด้วยถ้อยคำหยาบคายเป็นภาษาฝรั่งเศส แปลได้ศัพท์ว่า “Fucking Shit” เควนติน ตอบรับสถานการณ์ที่เผชิญได้อย่างใจเย็น แม้นว่าทีท่าเขาเหมือนกับไม่แยแสต่อยัยป้าที่ยังตะโกนด่าทอไม่หยุดอยู่นั้น เควนตินก็ยกมือขวาชูนิ้วกลางใส่ป้าไปแวบนึง แล้วก็กล่าวขอบคุณต่อ ช่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาทีนั้นล่ะ กลายเป็นช่วงเวลาที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึกว่า เควนติน ทาแรนติโน เป็นผู้กำกับฮอลลีวูดคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่ชูนิ้วกลางบนเวทีขณะรับรางวัล

 

15.จอห์น ทราโวลตา ต้องเลือกว่าจะแสดงใน Pulp Fiction หรือ From Dusk Till Dawn

จอห์น ทราโวลตา ต้องเลือกว่าจะแสดงใน Pulp Fiction หรือ From Dusk Till Dawn

จอห์น ทราโวลตา ต้องเลือกว่าจะแสดงใน Pulp Fiction หรือ From Dusk Till Dawn

Pulp Fiction ผลงานกำกับ-เขียนบท โดยเควนติน ทาแรนติโน ส่วนหนัง From Dusk Till Dawn เป็นผลงานกำกับ โดย โรเบิร์ต รอดริเกซ เพื่อนรักของเควนติน นั่นเอง ซึ่งเรื่องหลังนี่ออกฉายไล่หลัง Pulp Fiction เพียงแค่ปีเดียว แล้วก็เป็นหนังที่เควนติน ทาแรนติโน เขียนบทให้ แต่ก่อนที่ Pulp Fiction จะเปิดกล้อง เควนติน ได้ตัวจอห์น ทราโวลตา มาร่วมงานแล้ว เขาอยากได้จอห์นมารับบทเป็น วินเซนต์ เวกา ใน Pulp Fiction อีกใจหนึ่งก็มองว่าจอห์นเหมาะจะเป็น เซ็ธ เกร็กโค จอมโจรที่ต้องเผชิญกับฝูงแวมไพร์ใน From Dusk Till Dawn ซึ่งถ้าเลือกบทนี้ จอห์น จะได้เล่นประกบคู่กับเควนติน ทาแรนติโน ที่รับบทเป็น ริชชี น้องชายของเซ็ธ สุดท้ายบท เซ็ธ เกร็กโค ก็ตกเป็นของจอร์จ คลูนีย์

การตัดสินใจสุดท้าย เควนตินโยนหน้าที่ตัดสินใจให้กับเจ้าตัวจอห์น ทราโวลตา เป็นคนเลือกเองว่าจะรับบทไหน จอห์น ก็ตอบได้อย่างทันท่วงทีว่าเขาอยากเล่นเป็น วินเซนต์ เวกา ใน Pulp Fiction เหตุผลง่าย ๆ น่ะเหรอ “ผมไม่ใช่คนที่อยากเป็นแวมไพร์” นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องครั้งหนึ่งในชีวิตของจอห์น ทราโวลตา อย่างที่เราเห็นกัน ฉายา”แมวเก้าชีวิต” ก็มาจากบท วินเซนต์ เวกา นี่ล่ะ ที่ทำให้เขากลับมาเป็นนักแสดงแถวหน้าของฮอลลีวูดได้อีกครั้ง แถมยังได้เข้าชิงออสการ์นักแสดงนำชายยอดเยี่ยมอีกด้วยนะ

 

16.ใช้เวลาเขียนบท Pulp Fiction ในเวลา 3 เดือน

ใช้เวลาเขียนบท Pulp Fiction ในเวลา 3 เดือน

ใช้เวลาเขียนบท Pulp Fiction ในเวลา 3 เดือน

ตอนที่เควนติน ทาแรนติโน เขียนบท Pulp Fiction นั้น เขาอายุเพียง 30 ปีเท่านั้น ใช้เวลาเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ในระยะเวลา 3 เดือนในปี 1992 ซึ่งเขาใช้เวลาในช่วงนั้นอยู่นอพาร์ตเมนต์ห้องเดียวโทรม ๆ ในกรุงอัมสเตอร์ดัม ในบทสนทนาถึงได้พูดถึงอัมสเตอร์ดัมตั้งมากมาย ก็เพราะเหตุนี้นี่เอง ในปี 1992 อินเทอร์เน็ตยังไม่แพร่หลายเท่าตอนนี้ เควนติน จึงไม่ได้ใช้เทคโนโลยีช่วยได้มากนักในการเขียนบท บทภาพยนตร์จึงถูกเขียนลงในสมุดโน้ตเก่า ๆ จำนวน 1 โหล

 

17.ตามง้อ อูมา เธอร์แมน ให้มารับบท

ตามง้อ อูมา เธอร์แมน ให้มารับบท

ตามง้อ อูมา เธอร์แมน ให้มารับบท

เควนติน ต้องการตัวอูมา เธอร์แมน ในบท มิอา วอลเลซ อย่างมาก แม้ว่าอูมาจะปฏิเสธบทนี้ไปแล้ว ว่าเธอไม่อยากเล่นบทนี้จริง ๆ แต่เควนติน ก็ไม่ยอมแพ้ ยังคงยืนกรานว่าบทนี้เหมาะสมกับเธอมาก ๆ ไม้ตายสุดท้ายที่เควนตินใช้ตื๊ออูมาก็คือ เขาโทรไปอ้อนวอนเธอ อูมาไม่ยอมอ่านบทใช่ไหม งั้นเขาอ่านให้ฟังแทน แล้วเควนตินก็อ่านบทมิอา วอลเลซ ให้อูมาฟังทางโทรศัพท์ มุกนี้สำเร็จครับ อูมา เห็นชอบด้วยใจอ่อน แล้วในที่สุด บทมิอา วอลเลซ ก็เป็นบทที่แฟน ๆ จดจำในภาพลักษณ์ของอูมา เธอร์แมน ตลอดไป

 

18.You know what they call a Quarter Pounder with Cheese in Paris? They call it a Royale with cheese

You know what they call a Quarter Pounder with Cheese in Paris? They call it a Royale with cheese

You know what they call a Quarter Pounder with Cheese in Paris? They call it a Royale with cheese

ปี 2007 นิตยสาร Premier จัดอันดับ “100 ประโยค ยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์” โดยให้แฟน ๆ เลือกประโยคที่ชอบและร่วมโหวตกันเข้ามา ผลปรากฏว่า ประโยคติดหูจากหนังที่ว่า “You know what they call a Quarter Pounder with Cheese in Paris? They call it a Royale with cheese” แกรู้มั้ย ที่ปารีสพวกเค้าเรียก เบอร์เกอร์ ควอเตอร์ เพาเดอร์ ใส่ชีสว่ายังไง? เค้าเรียกว่า รอแยลใส่ชีส คำง่าย ๆ ธรรมดา ๆ แค่เนี้ยล่ะ ที่กลายเป็นประโยคฮิต เข้าไปติดอันดับ “100 ประโยคยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์ “ในอันดับที่ 81

 

19.เสื้อยืด Speed racer ก็เป็นของเควนติน อีกแล้ว

เสื้อยืด Speed racer ก็เป็นของเควนติน อีกแล้ว

เสื้อยืด Speed racer ก็เป็นของเควนติน อีกแล้ว

เบ็ตซี ไฮแมน เป็นนักออกแบบเครื่องแต่งกาย มือวางระดับต้น ๆ ของฮอลลีวูด มีผลงานมาแล้วถึง 53 เรื่อง ใน Pulp Fiction เธอวาดภาพลักษณ์ของ “แลนซ์” ขี้ยาที่รับบทโดย อีริก สโตลซ์ ว่าอยากให้เขาใส่เสื้อยืดลายการ์ตูน Speed Racer ไว้ภายใต้เสื้อคลุมอาบน้ำ มันจะช่วยเพิ่มบุคลิกของคนขี้เกียจได้ดี พอได้ยินดังนั้น เควนติน ก็รีบเอ่ยขึ้นมาด้วยความภาคภูมิใจว่า “ผมมี” แล้วเขาก็ไปขุดคุ้ยเสื้อเก่า ๆ ตัวนี้มาได้สำเร็จ เราจึงได้เห็น แลนซ์ ใส่เสื้อยืด Speed Racer ตัวนี้ในหนัง

 

20.ร้านอาหาร The Jack Rabbit Slim ฉากที่แพงที่สุดในหนัง

ร้านอาหาร The Jack Rabbit Slim ฉากที่แพงที่สุดในหนัง

ร้านอาหาร The Jack Rabbit Slim ฉากที่แพงที่สุดในหนัง

ความเป็น “perfectionist” ผู้กำกับจอมสมบูรณ์แบบของ เควนติน ทาแรนติโน ส่อแววมาตั้งแต่ผลงานเรื่องที่ 2 Pulp Fiction นี่แหละ ที่เควนตินวาดภาพร้านอาหาร The Jack Rabbit Slim ไว้ในใจอยู่แล้ว เขาไม่สามารถหาร้านอาหารร้านไหนที่เหมือนภาพในจินตนาการเขาได้เลย สุดท้ายก็จบที่ทีมงานจะต้องสร้างร้านขึ้นมาใหม่ทั้งหมดในโกดัง ตามภาพฝันของเควนติน ซึ่งเป็นมูลค่าสูงถึง 4.5 ล้านบาท แพงกว่าค่าตัวของจอห์น ทราโวลตา ที่แสดงเรื่องนี้เสียอีก แต่สุดท้ายสไตล์ของร้าน The Jack Rabbit Slim ก็เป็นที่ชื่นชอบของแฟนหนัง ฮาร์วีย์ ไวน์สตีน เจ้าของหนังก็เลยหัวหมอ ถือโอกาสนี้เปิดร้านอาหาร The Jack Rabbit Slim ขึ้นมาจริง ๆ แล้วขยายเป็นแฟรนไชส์มันซะเลย

 

 

 

 

 

 

 

อ้างอิง1

อ้างอิง2