เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา ถือเป็นวันครบรอบ 20 ปีอัลบั้ม ‘The Marshall Mathers LP’ จากแร็ปเปอร์สายเดือด Eminem ซึ่งเป็นอัลบั้มแรกที่ฉุดเขาออกมาจากความเป็นแรปเปอร์โนเนมและกลายเป็นแรปเปอร์ยอดนิยมเจ้าของอัลบั้มแร็ปที่ขายดีที่สุดตลอดกาล ในแง่มุมหนึ่งมันได้สร้างเกียรติยศให้กับเขาแต่ในขณะเดียวกันมันก็ได้สร้างความประณามหยามเหยียดให้กับเขาด้วยเช่นกันจากงานเพลงอันเถื่อนถ่อยและสร้างความจงเกลียดจงชังให้กับคนเค้าไปทั่ว

ปกอัลบั้ม ‘The Marshall Mathers LP’

‘The Marshall Mathers LP’ เป็นอัลบั้มเต็มชุดที่สามของ Eminem ซึ่งนอกจากจะเป็นอัลบั้มแร็ปที่ขายดีที่สุดตลอดกาลแล้ว ยังเป็นอัลบั้มแร็ปที่ขายเร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมา ด้วยยอดขาย 1.76 ล้านก็อปปี้ในสัปดาห์แรกที่เปิดตัว

หลังจากผิดหวังกับอัลบั้มแรก Infinite (1996) Eminem ได้กลับมาอีกครั้งกับอัลบั้ม ‘The Slim Shady LP’(1991) พร้อมตัวละคร Slim Shady ซึ่ง Eminem สร้างขึ้นเพื่อทำหน้าที่เป็น alter ego ในการถ่ายทอดความคิดจิตใจของเขา Eminem เริ่มค้นพบหนทางที่จะถ่ายทอดตัวตนผ่านผลงาน ดังนั้นอัลบั้มชุดที่สามนี้จึงเสมือนเป็นการสานต่อสิ่งที่เขาได้เริ่มไว้ ด้วยการตั้งชื่ออัลบั้มจากชื่อจริงของเขา (Marshall Bruce Mathers III) และเป็นอัลบั้มที่มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น และเป็นครั้งแรกที่เขาต้องรับมือกับชื่อเสียง (และชื่อเสีย) ทั้งคำชื่นชมและก่นด่า

การใช้ชีวิตในฐานะบุคคลสาธารณะทำให้ Eminem มีเนื้อหามากมายที่จะถ่ายทอดผ่านการแร็ปอันดุเดือด ในเพลง “Stan” (ที่ได้นักร้องสาว Dido มาฟีเจอริ่งด้วย) เขาพูดผ่านเสียงของแฟนคลับคนหนึ่งที่คลั่งไคล้ใหลหลงและมองเขาเป็นไอดอล ใน “The Way I Am” เขาแสดงความกระอักกระอ่วนใจในชื่อเสียงของเขา “I’m so sick and tired of being admired / That I wish that I would just die or get fired”

Slim Shady ก็กลับมาปรากฏตัวขึ้นในอัลบั้มนี้เช่นกัน แสดงความกราดเกรี้ยวต่อคริสตีนา อากีเลรา, วง NSync และใครก็ตามที่อยู่ในท่อนร้องอันร้อนเป็นไฟของเขาใน “The Real Slim Shady” นอกจากนี้ยังมีเพลงที่ตั้งชื่อตามอดีตภรรยาของเขา “Kim” อีกด้วย แต่ว่ามันไม่ใช่เพลงรักนะ ตรงกันข้ามเขาแร็ปเกี่ยวกับการโต้เถียงกันและลงท้ายด้วยการฆ่าเธอซะ !

เชื่อว่ามีหลายคนที่รู้สึกอินกับอัลบั้มนี้ หรืออย่างน้อยก็พบว่ามันสาแก่ใจพอที่จะเสียเงินให้กับมัน เลยทำให้ยอดขายสัปดาห์แรกพุ่งทะยาน และหลังจากเดือนกว่าก็ปาไป 6 ล้านก็อปปี้ในสหรัฐอเมริกา และทำให้มันกลายเป็นอัลบั้มแร็ปที่ขายดีที่สุดตลอดกาลในอเมริกาด้วยยอดขายรวมทั้งหมด 10.6 ล้านก็อปปี้ (หากไม่นับอัลบั้มคู่  Speakerboxxx / The Love Below ของ OutKast ที่มียอดขายรวมกัน 11.4 ล้านก็อปปี้)

แต่ในขณะที่อัลบั้มได้รับความนิยมอย่างบ้าคลั่งมันก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงด้วยเช่นกัน อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ที่ไร้แววสำนึกและอารมณ์ขันอันบูดเบี้ยวของ Eminem ทำให้ดูเหมือนกับว่าเขากำลังแยกตัวเองออกจากตัวละคร Slim Shady ของเขาไม่ออก เขาย่ำเหยียบอยู่บนเส้นแบ่งแห่งความห่ามนี้ตลอดทั้ง 18 บทเพลง สาดกระหน่ำความก้าวร้าวอย่างไม่เกรงกลัวและไม่ปล่อยให้ใครหลุดรอดไปจากถ้อยคำที่เป็นเสมือนห่ากระสุนที่เขากราดยิงออกมา

พอมองย้อนกลับไปในวันนั้นด้วยสายตาของในวันนี้ วันที่ทุกคนโอบรัดความแตกต่าง ทำความเข้าใจและเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน งานเพลงของ Eminem นั้นดูหยาบต่ำและเถื่อนถ่อยไปเลย เขาล้อนักแสดงพิการในเพลง ‘Who Knew’ ด่าว่าผู้หญิงว่าสำหรับเขาแล้วเธอไม่มีค่าอันใดนอกจากเป็นอีตัว (“nothing but a slut to me”) ในเพลง ‘Kill You’ (ซึ่งดูเหมือนว่าผู้หญิงที่เขาด่าในเพลงจะหมายถึงภรรยาและแม่ของเขาซะด้วย) หรือใน ‘The Real Slim Shady’ ที่เขาล้อวงบอยแบนด์ชื่อดังในยุคนั้นอย่าง NSync และอ้างว่า คริสตีนา อากีเลรา ทำให้เขาติดเชื้อ VD หรือกามโรค

นอกจากนี้ยังมีเพลงที่ล้อเลียนเกย์และด่าว่าพวกนักวิจารณ์ใน ‘Bitch Please II’ บทเพลงภาคต่อจากงานของ Snoop Dogg ในอัลบั้ม No Limit Top Dogg และในเพลง ‘I’m Back’ เขาก็เปลี่ยนบทบาทให้ฆาตกรจากเหตุการณ์สังหารหมู่ในโรงเรียนโคลัมไบน์ไฮสคูลกลายเป็นเหยื่อที่แท้จริงแทน นอกจากนี้ยังมีเนื้อเพลงที่สุดอื้อฉาวคาวระดับโลกที่พาดพิงคนอื่นไปทั่วรวมถึงแม่ของเขาเอง

คงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไม ‘The Marshall Mathers LP’ ถึงเป็นอัลบั้มที่มีเสียงแตกแยกมากที่สุดในวงการดนตรี และไม่มีข้อปฏิเสธใดเลยว่าเนื้อหาของเพลงได้สร้างความเจ็บปวดให้กับใครหลายคนและบุคคลหลายกลุ่ม แต่ในมุมของ Eminem แล้วมันเปรียบเสมือนยากล่อมประสาทชั้นดีที่เยียวยาจิตใจอันปวดร้าวของเด็กหนุ่มวัย 17 ที่ต้องทนอยู่กับแม่ขี้เหล้าและพ่อที่ชอบใช้ความรุนแรงที่เฉดหัวเขาออกมาจากบ้าน

อัลบั้มนี้เหมือนเป็นข้ออ้างให้ Eminem กรีดร้องออกมาจากก้นบึ้งของจิตวิญญาณอันปวดร้าวของเขา เช่นในเพลง ‘Kim’ หนึ่งในเพลงที่โด่งดังและฉาวโฉ่ที่สุดของอัลบั้มนี้ ที่ Eminem สังหารอดีตภรรยาผ่านถ้อยคำและบทเพลง โดยมีแบ็กกราวด์เป็นแซมเปิลจากเพลง ‘When The Levee Breaks’ ของ Led Zeppelin สำหรับเขาแล้วมันคือทางระบายออกของความรู้สึกอันอัดอั้นอยู่ในใจของเขา เป็นการปลดเปลื้องความคุ้มคลั่งจากข้างในที่กำลังจะปะทุออกมา ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะฆ่าเธอจริง ๆ ก็ได้ เพลงนี้เปิดด้วยอารมณ์ที่ละมุนจากฉากที่ Eminem เข้าไปหาลูกสาวที่หลับใหลและเฝ้ามองเธอด้วยความรักจากหัวใจ ก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นความคลั่งแค้นเมื่อภรรยาของเขาปรากฏตัวออกมา อารมณ์เปลี่ยนฉับพลันทันใดแบบทำให้ตกใจเลย จากนั้นเขาก็กระหน่ำความเดือดสุดขั้วพีคไปจนจบเพลง

และในบทเพลงที่เราน่าจะคุ้นหูที่สุดจากอัลบั้มนี้ (เพราะใช้แซมเปิลจากเพลงดัง “Thank You” ของ Dido ด้วย) นั่นก็คือ ‘Stan’ Eminem ได้ถ่ายทอดความเชื่อมโยงกันระหว่างเขากับแฟนคลับผู้คลั่งไคล้ซึ่งมองเขาเป็นไอดอลเพราะมีอะไรหลายอย่างที่คล้ายกัน มีประสบการณ์ปวดร้าวที่คล้ายกัน แฟนคลับผู้คลั่งไคล้ได้เขียนจดหมายฉบับแล้วฉบับเล่าเพื่อให้ไอดอลของเขาตอบกลับมา แต่ไอดอลหนุ่มก็ไม่ตอบกลับมาเสียทีจนจดหมายฉบับสุดท้ายได้เกิดขึ้นพร้อมคำลาที่น่าเศร้า ก่อนที่ในท่อนสุดท้ายจะกลายเป็นฝั่งของ Eminem ที่กำลังเขียนจดหมายหาแฟนคลับคนนี้ก่อนจะพบว่ามันสายไปเสียแล้ว เสน่ห์ของบทเพลงนี้อยู่ที่การเล่าเรื่องผ่านสองมุมมอง หนึ่งคือ ‘Stan’ แฟนคลับผู้คลั่งไคล้ (ที่บ้าคลั่งในท้ายที่สุด) กับอีกมุมหนึ่งคือมุมของ ‘Slim’ หรือ Eminem ผู้เป็นไอดอลของชายผู้ปวดร้าว เพลงแซมเปิลของ Dido ได้ทำหน้าที่เชื่อมโยงจดหมายแต่ละฉบับเข้าด้วยกันอย่างสวยงาม เนื้อร้องของเพลงที่พูดถึงรูปภาพบนผนังอันเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้จ้องมอง ถูกใช้แทนภาพแห่งความหวังในความเป็นไอดอลของ Eminem ที่มีต่อแฟนคลับของเขา บทเพลงนี้ได้กลายเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรม จนคำว่า ‘Stan’ ถูกเพิ่มใน Oxford Dictionary ในปี 2017 อันสามารถเป็นได้ทั้งคำนามและคำกริยาที่มีความหมายว่า “แฟนคลับที่กระตือรือร้นและทุ่มเทอย่างมาก (หรือมากเกินไป)” นั่นเอง

ขณะที่หลายส่วนของบทเพลงต่างพุ่งเป้า (โจมตี) ไปที่ พอปสตาร์ นักแสดง นักการเมือง และ สมาชิกในครอบครัวของเขา แต่ในแง่หนึ่งบทเพลงเหล่านี้ก็เป็นเสมือน ‘ที่พักพิง’ สำหรับคนที่ปวดร้าว (เฉกเช่นเดียวกับแฟนคลับในเพลง ‘Stan’) ความโกรธเกรี้ยวและขุ่นเคืองของ Eminem ถูกกรั่นกรองจากประสบการณ์ในวัยเด็กที่มีปัญหา ถ่ายทอดออกมาผ่านบทเพลงของเขาได้อย่างลึกซึ้ง สุ้มเสียงและถ้อยคำเหล่านี้ได้กระทบเข้าไปที่ใจของกลุ่มคนฟังอันมีประสบการณ์ที่ปวดร้าวเฉกเช่นเดียวกัน และมันได้บอกกับใจของเขาเหล่านี้ว่า พวกเขาไม่ใช่คนที่ต้องทุกข์ทรมานเพียงลำพัง นี่คือเหตุผลที่หลายคนยังคงมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับอัลบั้ม ‘The Marshall Mathers LP’ มาจนถึงทุกวันนี้

การเกิดขึ้นของอัลบั้ม ‘The Marshall Mathers LP’ อาจทำให้ Eminem มีศัตรูนับไม่ถ้วน แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นดั่งฮีโรของผู้ที่มีชีวิตผุพังและหัวใจอันบอบช้ำ เป็นดั่งความหวังที่จะพาพวกเขาออกไปจากโลกอันต่ำตมและหม่นมืด ออกไปพบแสงสว่างและหนทางของตนเอง

ไม่ว่าใครจะรักหรือเกลียดเขาแค่ไหน แต่ความจริงที่ว่าเรายังคงพูดถึงผลงานชิ้นนี้ของเขาแม้เวลาจะผ่านไป 20 ปีแล้ว คงเป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีถึงคุณค่าของงานเพลงในอัลบั้มนี้

Source

Songfacts

NME

Liveabout

Boombox

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส