จงใจดัดแปลงมู่หลานให้ “ไม่เหมือนเดิม“
ในฉบับภาพยนตร์ Live Action ปี 2020 นี้ จะไม่ได้เป็นการดัดแปลงจากฉบับการ์ตูนแบบตรง ๆ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบทางเนื้อหาหลายอย่างเพื่อให้เกิดการยอมรับในตลาดประเทศจีน และหนังเองก็ได้ผู้สร้างหนังของจีนมาร่วมลงทุนด้วย องค์ประกอบที่เปลี่ยนไปเช่น หนังจะไม่ได้เป็นมิวสิคัลที่มีเพลงประกอบเพราะ ๆ (หลายคนที่เคยชื่นชอบเพลง My Reflection จากฉบับการ์ตูนและรอฟังคงจะต้องผิดหวัง แต่จากตัวอย่างพอได้ฟังตอนเป็นเพลงสกอร์ก็ทำให้ได้ขนลุกอยู่ไม่น้อย)


และเจ้ามังกรตัวจิ๋ว “มูซู” ที่เคยเป็นทั้งเพื่อนคู่ซี้และไม้เบื่อไม้เมาของมู่หลาน ก็ถูกเปลี่ยนเป็นนกฟีนิกส์แทน เนื่องจากเมื่อครั้งออกฉายปี 1998 ถูกกระแสดราม่าจากชาวจีนเรื่องการนำเอามังกร สัตว์ที่เป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ของจีนมาสร้างเป็นตัวตลก อย่างไรก็ตามเจ้าจิ้งหรีดนำโชคออย่าง “คริครี” จากฉบับภาพยนตร์แอนิเมชันยังจะได้กลับมากับฉบับคนแสดงนี้


ตัดบทแม่ทัพหลี่ชางออก เลี่ยงประเด็นรักร่วมเพศ
Jason Reed ผู้อำนวยการสร้างก็ได้ออกมาอธิบายถึงเหตุผลของการตัดตัวละครแม่ทัพ “หลี่ชาง” ผู้มีบทบาทสำคัญทั้งการเป็นผู้นำทัพและคนรักของมู่หลานในฉบับการ์ตูนออก เพราะตัวละครนี้เป็นตัวละครที่แสดงออกถึงความรักร่วมเพศภายในเรื่อง (หลี่ชางชอบมู่หลานในตอนที่ปลอมตัวเป็นผู้ชาย) หลังจากการตัดตัวละครตัวนี้ เขาก็ถูกตั้งคำถามว่า Disney อยากจะเบี่ยงประเด็น ไม่แตะต้องถึงประเด็นที่ละเอียดอ่อนนี้หรือเปล่า?
คำตอบของ Reed ก็คือ ทีมสร้างแยกหลี่ชางออกเป็นสองตัวละคร คนแรกคือแม่ทัพ “ถัง” (ดอนนี่ เยน) ผู้ที่เปรียบดังพ่อและอาจารย์ในหนัง และอีกคนคือ “ฮงฮุย” (โยซัน อัน) ทหารที่อยู่ในหมู่ทัพเดียวกับมู่หลาน โดย Reed ให้ความเห็นว่า ในช่วงเวลาการเคลื่อนไหวของ #MeToo (กระแสเรียกร้องของผู้หญิงในฮอลลีวูด ต่อการคุกคามทางเพศโดยผู้บริหารระดับสูงของค่ายหนังและผู้มีอิทธิพลในวงการ) การมีแม่ทัพที่สนใจในเรื่องเพศกับพลทหาร จะดูเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดและคิดว่ามันไม่ค่อยเหมาะสม
ถึงอย่างนั้นก็มีอีกกระแสที่บอกว่า การมีตัวตนอยู่ในเรื่องของหลี่ชาง ก็เป็นการลดทอนศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของมู่หลานลงไปเหมือนกัน เพราะทำให้เห็นว่าท้ายที่สุดตัวละครผู้หญิงก็ไม่อาจทัดเทียมผู้ชาย และต้องลงเอยอีหรอบเดิม นั่นคือมาแต่งงานมีคู่ครองกับหลี่ชางอยู่ดี แม้ว่าจะไปออกรบได้อย่างเกรียงไกรแค่ไหนก็ตาม
Yoson An ผู้รับบท “ฮงฮุย” ทหารที่ใกล้ชิดกับมู่หลาน ได้อธิบายว่าตัวละครของเขากับมู่หลานเริ่มพัฒนาความสัมพันธ์จากการฝึกและเคารพรักกันในแบบเพื่อนทหาร แต่เมื่อถามถึงประเด็นความสัมพันธ์แบบรักร่วมเพศ เขากลับเลี่ยงที่จะตอบและอธิบายว่า พวกเขามีหลายมิติหลายแง่มุมและผู้ชมก็จะได้เห็นตอนที่ชมภาพยนตร์


ดราม่า “หลิวอี้เฟย” สนับสนุนจีนปราบม็อบฮ่องกง
ดราม่าที่อาจทำให้ Disney หวาดหวั่นในทีแรกว่า จะทำให้มีผู้ชมภาพยนตร์น้อยกว่าที่ควรจะเป็น (แต่พอเจอสถานการณ์โควิด-19 เข้าไป ปัญหานี้จึงดูเล็กไปเลย) ก็เกิดจากการที่หลิวอี้เฟยได้โพสต์ข้อความลงบนแพลตฟอร์มเว๋ยบ่อ (Weibo) โซเชียลมีเดียยอดนิยมของประเทศจีนโดยแปลเป็นภาษาไทยว่า “ฉันสนับสนุนตำรวจฮ่องกงและช่างเป็นความอัปยศของคนฮ่องกงจริง ๆ” โดยประโยคหลังนั้นเขียนเป็นภาษาอังกฤษ โพสต์ดังกล่าวของหลิวอี้เฟยถูกกดไลก์มากกว่า 78,000 ครั้ง และมีการรีทวีตซ้ำกว่าอีก 69,000 ครั้งในตอนนั้น ซึ่งความคิดเห็นในโพสต์ดังกล่าวของเธอพ้องไปในทิศทางเดียวกันกับนักแสดงจีนหลายคนที่สนับสนุนตำรวจฮ่องที่ปราบปราบม็อบ อย่างเช่น “เฉินหลง” เป็นต้น




ถึงแม้ว่า Twitter, Facebook และ Instagram จะถูกห้ามใช้งานในประเทศจีน แต่แพลตฟอร์มต่าง ๆ เหล่านี้ มีแฮชแท็กใหม่ขึ้นมาว่า #BoycottMulan และยังมีการแท็กถึง Disney เรียกร้องให้มีบทลงโทษต่อหลิวอี้เฟย ไม่อย่างนั้นก็จะไม่สนับสนุนเข้าไปชมภาพยนตร์ Mulan ในโรงภาพยนตร์จากการทวีตแสดงความเห็นเช่นนี้ แต่สุดท้าย Disney ก็ไม่ตอบโต้ เลือกใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว