หนังสายลับจัดเป็นแขนงหนึ่งที่มีให้แฟน ๆ หนังแอ็กชันได้ชมกันอยู่ตลอด ในโลกภาพยนตร์นั้นมีสายลับระดับโลกที่อยู่ยั้งยืนยังมาเกิน 50 ปี อย่าง James Bond 007 แห่งหน่วยสืบราชการลับอังกฤษ หรือ Ethan Hunt แห่งหน่วยงานจารกรรม IMF ของสหรัฐฯ ที่หนังกำลังจะมีภาค 7 และ 8 ตามออกมาในปีหน้าและปีถัดไป Jason Bourne แห่งโครงการทดลองลับที่ทำให้โลกได้รู้จักกับหนังสายลับแนวอึดถึกทนและสมจริง และหนังสายลับอีกหลายเรื่องที่ทั้งมันก็มาที่ฮาก็มี สะท้อนให้เห็นว่า หนังแนวนี้ไปเคยเสื่อมคลายความนิยมไปจากคอหนังเลย

แม้ว่าตอนนี้หนัง James Bond 007 จะยังไม่เข้า Netflix (แต่ภาค No Time To Die ภาคล่าสุดก็เตรียจะเข้าฉายในโรงพฤศจิกายนนี้) หนังสายลับตระกูล The Bourne จะเข้า ๆ ออก ๆ จากโปรแกรม และ Mission Impossible จะมีแค่ภาค 5 และ 6 สองตอนล่าสุดให้ชมในตอนนี้ แต่หนังสายลับเรื่องอื่น ๆ ก็ยังมีที่ซ่อนอยู่เพื่อรอให้เข้าไปชมกัน ทั้งหนังสายลับแบบฮีโรมาเอง หนังจารกรรมยุค 90s เน้นความสมจริง หนังรวมทีมสายลับวัยเก๋า วัยหนุ่ม วัยสาว และหนังสายลับแบบไม่เน้นมันแต่เน้นฮาจนตัวโก่ง มีเรื่องอะไรบ้างติดตามจากทั้ง 13 เรื่องด้านล้างนี้เลย

MISSION IMPOSSIBLE: ROGUE NATION (2015) & FALLOUT (2018)

Mission Impossible อยู่กับแฟนหนังมาร่วม 24 ปี จุดเด่นที่สุดตลอดมาก็คือ พระเอกผู้รับบทนำอย่าง Tom Cruise ที่จะผ่านไปกี่ปี ป๋าก็ยังคงหาทางเล่นฉากสตันท์เสี่ยงตายอยู่เสมอ ตอนเข้าฉายในปี 1996 Cruise คือซูเปอร์สตาร์จากหนังฮิตอย่าง Top Gun (1986) ที่ได้เรื่องนี้เป็นแฟรนไชส์ฮิตต่อไปอีก สมทบด้วย Jon Voight, Jean Reno และ Kristin Scott Thomas ภาค 2 เป็นผลงานของ John Woo ผู้กำกับชื่อดังชาวฮ่องกง สมทบด้วย Thandie Newton และ Richard Roxburgh ก่อนที่ภาค 3 เป็นต้นมา หนังได้เข้าสู่การอำนวยการสร้างของ J.J. Abrams นับตั้งแต่นั้นมา (และ Abrams กำกับเองในภาค 3 นี้) สมทบด้วยนักแสดงสายบู๊อย่าง Maggie Q, Jonathan Rhys Meyers, Keri Russell, Billy Crudup, Laurence Fishburne รวมถึงนักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ผู้ล่วงลับ Philip Seymour Hoffman และ Simon Pegg ที่อยู่กันมายาว ๆ ถึงภาคปัจจุบัน ภาคนี้ ปี 2006 เป็นภาคที่ทำรายได้ไปน้อยที่สุดจาก 6 ภาค

Mission Impossible ภาคแรก (1996) กับฉากลอยตัวเหนือพื้นนิดเดียวที่กลายเป็นเอกลักษณ์

แต่ Tom Cruise ยังไม่ยอมแพ้กลับมาต่อกับภาค 4 ปี 2011 ที่ไปถ่ายทำกันที่ตึกที่สูงที่สุดในโลกอย่างบุรจญ์เคาะลีฟะฮ์ที่ดูไบ กับภาค Ghost Protocol ที่ได้ผู้กำกับ Brad Bird จากแอนิเมชันฮิต The Incredibles (2006) สมทบด้วย Léa Seydoux ที่กลายมาเป็นสาว Bond ใน 2 ตอนล่าสุดของ 007, Paula Patton และยังเป็นการแนะนำตัวนักแสดงที่เข้าร่วมทีมปฏิบัติการคนใหม่อย่าง Jeremy Renner เขาเคยรับบทสายลับมาแล้วใน The Bourne Legacy (2012) ในตอนที่ภาค 4 ออกฉาย ต่อมาภาค 5 Rogue Nation ปี 2015 เสริมทีมด้วย Sean Harris ในบทตัวร้ายที่อยู่ต่อมาจนภาค 6, Alec Baldwin, Rebecca Ferguson นักแสดงสาวที่มามีบทบาทสำคัญในภาค 5 จนถึงปัจจุบัน รวมถึงนักแสดงที่เล่นเป็นภรรยาซึ่งต้องอยู่ห่างกันกับ Hunt มาตั้งแต่ภาค 3 อย่าง Michelle Monaghan

ฉากเสี่ยงตายในภาคล่าสุด Fallout ซึ่ง Tom Cruise ไม่พลาดจะเล่นเอง

ภาคล่าสุด Fallout หรือภาค 6 ปี 2018 กลายเป็นหนังที่ทำเงินสูงสุดจากทั้งหมด โดยทำรายได้จากทั่วโลกไป 791 ล้านเหรียญฯ หนังสมทบด้วยตัวละครที่มากสีสัน รับบทโดย Henry Cavill จนถึงปัจจุบัน Mission Impossible ภาค 7 และ 8 ที่จะถ่ายทำด้วยเรื่องราวที่ต่อเนื่องกันไป มีนักแสดงอีกมากมายนอกจาก Tom Cruise ไม่ว่าจะเป็นขาประจำ Ving Rhames, Simon Pegg และ Rebecca Ferguson นักแสดงใหม่นอกจาก Hoult แล้ว ยังมี Hayley Atwell หรือ Pekky Carter ขวัญใจของ Captain America และ Pom Klementieff จาก Guardians of the Galaxy Vol.2 (2017) รอติดตามชมได้ภาค 7 ได้ 19 พฤศจิกายนปีหน้า ระหว่างนี้ก็ดู2 ภาคล่าสุดไปพลาง ๆ ก่อน

  • นักแสดง: Tom Cruise, Jeremy Renner, Ving Rhames, Simon Pegg, Rebecca Ferguson, Alec Baldwin
  • ผู้กำกับ: Christopher McQuarrie (Mission Impossible ภาค 5-8, Jack Reacher)
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 823 / 3,577 ล้านเหรียญฯ (รายได้รวมทุกภาค)
  • Rotten Tomatoes Score/iMBD Rating: ภาค 5 – 93% / 7.4/10 / ภาค 6 – 97% /7.7/10

SALT (2010)

Angelina Jolie ตอกย้ำความเป็นอันดับหนึ่งของนักแสดงหญิงสายบู๊ ด้วยมารับบทนำต่อเนื่องจาก Wanted (2008), Mr. & Mrs. Smith (2005) และ Tomb Raider ทั้ง 2 ภาค (2001-2003) กับหนังสายลับรัสเซียที่แฝงตัวเข้ามาแทรกซึมในสหรัฐฯ หนังหักมุมไปมาตามแบบฉบับของหนังเกี่ยวกับสายลับสองหน้าที่ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เดิมบท Evelyn Salt นี้จะเป็นสายลับผู้ชาย (โดยมีการวางตัว Tom Cruise เอาไว้ แต่ก็จะมารับเล่นหนังที่แทบจะเหมือน Mission Impossible ทำไมละ?) จนผู้กำกับเสนอให้ Jolie มาเล่นแทน หนังจึงเปลี่ยนบทให้เป็นสายลับผู้หญิง ซึ่งเธอก็ทำได้ดีกับบทบาทนี้จนแฟน ๆ อยากให้มีภาคต่อ หนังประสบความสำเร็จทำรายได้ 293 ล้านเหรียญฯ (ชวนอ่าน “10 อันดับหนังทำเงินสูงสุดของขุ่นแม่ Angelina Jolie“)

หนังให้กลิ่นอายความเป็นหนังจารกรรมยุค 90s ที่ให้เนื้อหาในเรื่องอิงกลิ่นบรรยากาศสงครามเย็นที่มีการแฝงตัวสายลับสองหน้ากันทั้งสองฝักฝ่ายระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซีย อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้หนังดูสมจริงก็เพราะได้ Phillip Noyce จาก Clear and Present Danger (1994) และ Patriot Games (1992) หนังสายลับนักวิเคราะห์ของหน่วยข่าวกรอง CIA อย่าง Jack Ryan น่าเสียดายที่หนังประสบความสำเร็จระดับที่ควรจะมีภาคต่อ แต่บทภาค 2 ดันไม่เป็นที่ถูกใจ Jolie มากพอจะทำให้เธอกลับมารับบทเป็นรอบที่สอง (ชวนอ่าน “ทำไม SALT หนังสุดมันส์และทำรายได้มากมาย จึงไม่มีภาคต่อ”)

  • นักแสดง: Angelina Jolie, Liev Schreiber, Chiwetel Ejiofor, Daniel Olbrychski, Daniel Olbrychski
  • ผู้กำกับ: Phillip Noyce (Clear and Present Danger, Patriot Games)
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 110 / 293 ล้านเหรียญฯ
  • Rotten Tomatoes Score/iMBD Rating: 62% / 6.4/10

PATRIOT GAMES (1992)

ตัวละคร Jack Ryan ถูกสร้างเป็นหนังและ Series มาแล้วหลายฉบับ เป็นตัวละครเอกในผลงานนิยายแนวจารกรรมสายลับที่มีฉากหลังเป็นยุคสงครามเย็นของ Tom Clancy ที่ผลงานที่โด่งดังที่สุดของเขาอันถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ก็ตัวละคร Jack Ryan นี้ เสน่ห์ของบทนี้ก็คือการที่ Ryan ซึ่งเป็นนักวิเคราะห์เด็กเนิร์ด ทำงานวิเคราะห์ข้อมูลให้กับ CIA แต่มักต้องมีเหตุให้ตกกระไดพลอยโจนต้องไปลงภาคสนามตลอด แต่สุดท้ายเขาจะสามารถแก้วิกฤตไปได้เสมอ

บท Jack Ryan ปรากฏตัวครั้งในฉบับภาพยนตร์กับ The Hunt for Red October (1990) ผู้รับบทนี้คือ Alec Baldwin (มารับบทเป็นรัฐมนตรีและหัวหน้าหน่วยสายลับใน Mission Impossible ภาค 5 และ 6) ในเรื่องราวของโลกแห่งการรบในโลกใต้ทะเล นั่นคือสงครามระหว่างเรือดำน้ำ มี Marko Ramius (รับบทโดย Sean Connery ผู้รับบท James Bond คนแรกและแต่งชุดทหารเรือ นั่งบนเรือดำน้ำในบทบาท 007 มามากต่อมาก) ผู้การเรือดำน้ำรัสเซียที่ต้องการแปรพักตร์ ขโมยเรือดำน้ำที่ดีที่สุดในเวลานั้นมาให้สหรัฐฯ และหวังจะขอลี้ภัยตัวเขาและเหล่าทหารเป็นข้อแลกเปลี่ยน

Sean Bean ใน Patriot Games (1992)

ถัดมาอีก 2 ปี กับอีก 2 ภาคที่หนังได้นักแสดงที่ดังกว่ามาแทน Alec Baldwin นั่นคือ Harrison Ford ในภาค Patriot Games ที่ Jack Ryan ไปขัดขวางการลอบสังหารราชวงศ์อังกฤษ แต่ผลลัพธ์กลับร้ายแรงกว่าที่คาด เมื่อกลุ่มผู้ก่อการร้ายกลับมาเล่นงานเขาและครอบครัวแทน โทษฐานที่ไปขัดขวางแผนการร้ายสำเร็จ ตัวร้ายรับบทโดย นักแสดงที่เล่นเรื่องไหนเป็นต้องตายเสมออย่าง Sean Bean

  • นักแสดง: Harrison Ford, Sean Bean, Samuel L. Jackson, Richard Harris, Anne Archer, James Earl Jones
  • ผู้กำกับ: Phillip Noyce (Clear and Present Danger, Salt, The Quiet American)
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 45 / 178 ล้านเหรียญฯ
  • Rotten Tomatoes Score/iMBD Rating: 73% / 6.9/10

CLEAR AND PRESENT DANGER (1994)

Harrison Ford ยังคงกลับมารับบทเป็น Jack Ryan ต่อในภาคต่อมาของเรื่องราว (ซึ่งทำให้นี่เป็น 1 ใน 3 บทบาทที่เขากลับมาเล่นในบทนำ ตามหลัง Han Solo ใน Star Wars และ Indiana Jones) ในภาคนี้ Ryan ต้องรักษาการตำแหน่งผู้นำ CIA และตกไปเป็นเบี้ยภายใต้สถานการณ์สมคบคิด เบื้องหลังการเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำของเพื่อนสนิทประธานาธิบดี และทหารอีกกลุ่มหนึ่งที่ถูกส่งไปทำภารกิจลับและถูกฆ่าตัดตอนในที่สุด ในภาคนี้หนังยังได้เข้าชิง 2 รางวัลออสการ์นั่นคือ ผสมเสียงยอดเยี่ยมและเอฟเฟกต์ยอดเยี่ยมด้วย

เกร็ดหลังจากภาคนี้ก็คือ จนกระทั่งภาคหลังสหัสวรรษ The Sum of All Fears (2002) ได้ Ben Affleck ที่กำลังดังในขณะนั้นมารับบท Jack Ryan โดยมีครูหัวหน้างานจารกรรมในบท William Carbot รับบทโดย Morgan Freeman หนังเล่าเรื่องช่วงแรก ๆ ของ Ryan ที่เข้าไปทำหน้าที่นักวิเคราะห์ที่ CIA และต้องหยุดยั้งการลอบสังหารประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากฝีมือของกลุ่มก่อการร้าย Neo Nazis ผู้สร้างสถานการณ์ให้สหรัฐฯ และรัสเซียก่อสงครามโลกครั้งที่ 3 ซึ่งก็เพราะความสามารถของ Ryan และสายลับสองหน้ารุ่นเก๋าที่แฝงตัวอยู่ทั้ง 2 ฝั่ง ทำให้ประธานาธิบดีรอดชีวิต แม้ว่าคนนับพันต้องตายแต่โลกรอดพ้นจากสภาวะสงครามมาได้

  • นักแสดง: Harrison Ford, Willem Dafoe, Anne Archer, Joaquim de Almeida, Henry Czerny, Benjamin Bratt
  • ผู้กำกับ: Phillip Noyce (Patriot Games, Salt, The Quiet American)
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 62 / 215 ล้านเหรียญฯ
  • Rotten Tomatoes Score/iMBD Rating: 79% / 6.9/10

JACK RYAN: SHADOW RECRUIT (2014)

ในปี 2014 มีความพยายามที่จะรีเซ็ตด้วยการรีเมกโลกภาพยนตร์ของ Jack Ryan ขึ้นมาอีกครั้ง โดยการย้อนกลับไปเล่าครั้งแรกในการฝึกและออกปฏิบัติการของเขา (ทำนองเดียวกับภาค The Sum of All Fears) โดยเป็นการเขียนเรื่องใหม่ไม่อิงกับนิยายและทำให้หนังออกมาดูเป็นหนังสายลับมากขึ้น Chris Pine มารับบทเป็นนักวิเคราะห์หน้าหล่อ และหนังยังมี Kevin Costner มารับบทเป็น Thomas Harper อาจารย์ของ Ryan ซึ่งเดิมที่นั้นจะแตกภาคแยกให้ Harper ไปเป็นอาจารย์ของ John Clark สายลับอีกคนที่ Tom Hardy จะมารับบท แต่ด้วยเพราะหนังไม่ประสบความสำเร็จทั้งรายได้และคำวิจารณ์ โครงการภาคต่อและภาคแยกจึงยุติไป ในภาคนี้ยังมี Keira Knightly มารับบทเป็น Cathy Muller คนรักของ Ryan และ Kenneth Branagh ผู้กำกับของเรื่องก็มารับบทเป็นตัวร้าย

Kenneth Branagh ในบทตัวร้าย ซึ่งก็ตามมาเป็นตัวร้ายที่โหดกว่าเดิมเยอะในหนังสายลับย้อนด้านของเวลาใน Tenet (2020)

ปี 2018 เรื่องราว Jack Ryan ถูกนำมาปัดฝุ่นอีกครั้งเป็นฉบับซีรีส์ทางช่อง Amazon Prime โดยรอบนี้ประสบความสำเร็จจนสร้างมาถึง 3 ซีซันแล้ว ซีรีส์มี John Krasinski (แสดงและกำกับเองในหนัง A Quite Place (2018) นอกจากนั้นยังมีภาพยนตร์ที่มาจากตัวละครในจักรวาลนี้อีกอย่างบท John Clark เป็นสายลับอีกคนที่ Michael B. Jordan มารับหน้าที่อำนวยการสร้างเองและรับบทเองใน Without Remorse เข้าาย 26 กุมภาพันธ์ ปีหน้า

  • นักแสดง: Chris Pine, Keira Knightley, Kevin Costner, Kenneth Branagh, Elena Velikanova
  • ผู้กำกับ: Kenneth Branagh (Thor, Murder on the Orient Express, Cinderella )
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 60 / 135 ล้านเหรียญฯ
  • Rotten Tomatoes Score/iMBD Rating: 54% / 6.2/10

(อ่านต่อหน้าถัดไป)

6 UNDERGROUND (2019)

เจ้าพ่อหนังบู๊ระเบิดภูเขาเผากระท่อมอย่าง Michael Bay มาร่วมงานกับ Netflix  กับหนังประเภทสายลับ (ซึ่งหนังแนวนี้ที่ใกล้เคียงกันของ Bay ก็อย่าง Bad Boys สองภาคแรก (1995-2003) หนังเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับทีมนักท้ามฤตยู 6 คน ที่แกล้งตายเพื่อตั้งทีมปราบอาชญากรวายร้ายของโลก นำทีมนักแสดงด้วย Ryan Reynolds โดยหนังยังคงสไตล์ระเบิดภูเขาเผากระท่อม เต็มไปด้วยฉากตึกสูง (มีคนไถลตัว-ตกลงมา) เครื่องบินรบ รถคันสวย ตามสไตล์ป๋า Bay หลายช็อตก็อดนึกถึง Transformers ไม่ได้เลย (อ่านรีวิวฉบับเต็มเรื่องนี้ของ WTF)

หนังใช้ทุนสร้าง 125 ล้านเหรียญฯ กลายเป็นหนังฮิตของ Netflix ในรอบปีที่ผ่านมา ติดอันดับ 4 ของหนังที่เป็นออริจินัล สร้างและให้ชมภาพสตรีมเจ้านี้ ที่มียอดรับชมทั่วโลก 83 ล้านวิว (เป็นรองแค่ Extraction (2020), Bird Box (2018) และ Spenser Confidential (2020)) สำหรับคอหนังแอ็กชันสไตล์มัน ๆ ที่อยากดูอะไรเพลิน ๆ แบบไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่ได้ชมนักแสดงฟอร์มดี ในหนังบันเทิงพอปคอร์น 6 Underground ก็น่าจะเป็นคำตอบนั้น

  • นักแสดง: Ryan Reynolds, Mélanie Laurent, Dave Franco, Manuel Garcia-Rulfo, Corey Hawkins, Ben Hardy, Adria Arjona
  • ผู้กำกับ: Michael Bay (Transformers 1-5 / Armageddon / The Rock / Bad Boys 1-2)
  • ทุนสร้าง: 125 ล้านเหรียญฯ
  • Rotten Tomatoes Score/iMBD Rating: 35% / 6.1/10

A-TEAM (2010)

เรื่องราวของหน่วยพิฆาตแดนตายที่มีผู้ชาย 4 คนมาพร้อมความสามารถที่สูงเกินขีดจำกัด ทั้งหัวหน้าจอมวางแผนอย่าง Hannibal ที่มีกลวิธีที่สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้เสมอ Face มือขวาคนสนิทแสนฉลาด สามารถแก้ไขได้ทุกสถานการณ์ Murdock นักขับเฮลิคอปเตอร์มือโปรที่ไม่เคยเกรงกลัวอะไร และ B.A. Baracus ที่แข็งแกร่งที่สุดและเป็นนักขับรถที่เก่งที่สุดในทีม พวกเขาเป็นที่ยอมรับของกองทัพในเรื่องของฝีมือที่เก่งกาจและความสามารถอันล้นเหลือ จนกระทั่งพวกเขาถูกมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจลับที่มาพร้อมกับความอันตรายและสุดท้ายก็โดนหักหลังจากกองทัพเข้าจนได้ พวกนั้นตั้งใจปล่อยให้พวกเขาตายเป็นศพเน่าเปื่อยอยู่ในคุกบนฐานความผิดที่พวกเขาไม่ได้ก่อขึ้น แต่ความสามารถระดับนี้ก็ต้องแหกห้องขังออกมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองจนได้

ดัดแปลงจากซีรีส์ฮิต The A-Team ที่สร้างออกมาถึง 5 ซีซัน ตั้งแต่ปี 1983-1987 การันตีความฮิต แต่พอถูกนำมาดัดแปลงโดยผู้กำกับสายบู๊ดิบเถื่อนอย่าง Joe Carnahan ที่มีผลงานกำกับอย่าง The Grey (2011) และ Narc (2002) แต่หนังกลับไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่หวัง (ที่น่าแปลกก็คือหนังที่เข้าฉายช่วงเทศกาลซัมเมอร์ปี 2010 ต่างพากันล้มเหลวทางรายได้กันหมด จนโดนแซวว่าเพราะฉายชนช่วงฟุตบอลโลก!) แต่ตัวหนังเองก็ดูสนุกแบบเพลิน ๆ สมกับเป็นหนังพอปคอร์นและถูกเอามาวนฉายทางโทรทัศน์อยู่บ่อย ๆ

  • นักแสดง: Liam Neeson, Bradley Cooper, Patrick Wilson, Jessica Biel, Sharlto Copley, Quinton ‘Rampage’ Jackson
  • ผู้กำกับ: Joe Carnahan (The Grey, Smokin’ Aces, Narc)
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 110 / 177 ล้านเหรียญฯ
  • Rotten Tomatoes Score/iMBD Rating: 48% / 6.7/10

CHARLIE’S ANGELS (2019)

หลังประดิษฐกรรมด้านพลังงานทดแทนกำลังจะถูกเปลี่ยนเป็นอาวุธมหาประลัย Elena Houghlin สาวเนิร์ดนักประดิษฐ์จึงขอความช่วยเหลือจากองค์กรต่อต้านอาชญากรรมระดับโลกที่มีเหล่านางฟ้ามหากาฬนาม Charlie’s Angels จนเธอได้พบกับ Sabina Wilson นางฟ้าเด็กแนวสุดเท่ และ Jane Kano อดีตสายลับ MI6 ทั้ง 3 ทำงานภายใต้การดูแลของ Boz อดีตนางฟ้าชาร์ลีที่ผันตัวมาเป็นหัวหน้าทีม แต่งานนี้ดันมีเกลือเป็นหนอนจากภายใน และการซื้อขายอาวุธมหาประลัยก็กำลังใกล้เข้ามาทุกที พวกเธอจำต้องผนึกกำลังขยับปีกนางฟ้าออกบู๊เพื่อความสงบสุขของโลก (อ่านรีวิวฉบับเต็มเรื่องนี้ของ WTF)

หนังสตูดิโอที่ทำรายได้น้อยที่สุดของปี 2019 กับความพยายามรีบูตอีกแฟรนไชส์ของ Sony ที่กลายเป็นความล้มเหลวอย่างมากกับการนำนางฟ้าชาร์ลีมาเล่าใหม่ ผ่านการแสดงของ Kristen Stewart จากแฟรนไชส์หนังแวมไพร์ Twilight (2008-2012) ร่วมกับนักแสดงอีก 2 คนอย่าง Naomi Scott จาก Aladdin (2019) และ Ella Balinska หนังไม่มีพลังดารามาเรียกคนดูเข้าโรง ฝากความหวังไว้ที่ผลงานกำกับของ Elizabeth Banks นักแสดงสาวสวยที่หันมาเอาดีด้านงานกำกับ เธอเคยพาหนังนักร้องพลังหญิง Pitch Perfect 2 (2015) ประสบความสำเร็จมากมาแล้ว จึงยิ่งทำให้ Sony มั่นใจใช้บริการเธอในที่นี้ สุดท้ายก็ต้องผิดหวัง หนังเข้าและออกโรงไปอย่างเงียบ ๆ แต่สำหรับชาว Netflix จะหยิบมาดูเพลิน ๆ ก็คงพอได้อยู่

  • นักแสดง: Kristen Stewart, Naomi Scott, Ella Balinska, Elizabeth Banks, Patrick Stewart, Djimon Hounsou, Sam Claflin
  • ผู้กำกับ: Elizabeth Banks (Pitch Perfect 2, Movie 43)
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 48 / 53 ล้านเหรียญฯ
  • Rotten Tomatoes Score/iMBD Rating: 52% / 4.7/10

RED 2 (2013)

ช่วงต้นทศวรรษที่ 2010s เหมือนจะเป็นช่วงเวลาของหนังฉลองแซยิด (หรืออายุมากกว่าแซยิด) ของนักแสดงสายบู๊ที่เคยโด่งดังจากยุค 80s-90s ขณะที่ Sylvester Stallone นำทีมนักแสดงสายบู๊รุ่นเก๋าไปรวมทีมในหนังประจัญบาน Expendables (2010-2014) ส่วน Bruce Willis (ที่มาร่วมแจมในภาค 2 แต่ไม่รู้ไปมีเรื่องกันอีท่าไหน ป๋า Stallone เลยออกอาการไม่กินเส้นป๋า Bruce จนบอกว่าจะไม่ชวนกลับมาเล่นหนัง Expendables อีก) ก็ไปรวมทีมนักแสดงวัยเกษียณในปี 2010 เดียวกัน แต่เป็นทางฝั่งนักแสดงระดับออสการ์ ทั้ง John Malkovich, Anthony Hopkins, Helen Mirren และมากฝีมืออย่าง Brian Cox, Catherine Zeta-Jones มารวมตัวกันในหนังสายลับมือเก๋าที่วางมือไปแล้วแต่ก็ต้องกลับมาร่วมภารกิจสุดกวนกันอีกครั้งใน Red ภาคแรกประสบความสำเร็จระดับปานกลางจนมีภาค 2 ตามออกมาในปี 2013

เรื่องราวของแก๊งสายลับนักฆ่ารุ่นเก่าแต่ยังเก๋าจากภาคแรก นำทีมโดย Frank อดีต CIA ต้องกลับมาหนีตายจากการถูกตามฆ่า และพวกเขาก็ต้องพลิกสถานการณ์กลับมาสืบหาผู้ร้ายผู้บงการใหญ่กันอีกในดินแดนยุโรป เพื่อตามหาอุปกรณ์จุดระเบิดนิวเคลียร์เคลื่อนที่ที่หายไปหลังจากถูกใส่ร้ายว่าเขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ทีมวัยเก๋าต้องรับมือกับทั้งนักฆ่า ผู้ก่อการร้าย และสายลับของรัฐบาลต่าง ๆ อย่างชุลมุน

  • นักแสดง: Bruce Willis, John Malkovich, Anthony Hopkins, Helen Mirren, Brian Cox, Catherine Zeta-Jones, David Thewlis, Mary-Louise Parker, Byung-hun Lee
  • ผู้กำกับ: Dean Parisot (Fun with Dick and Jane, Bill & Ted Face the Music, Galaxy Quest)
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 84 / 148 ล้านเหรียญฯ
  • Rotten Tomatoes Score/iMBD Rating: 7/10

SPY (2015)

ในบรรดาหนังสายลับประเภทตลกทั้งหมดนั้น มีแค่เรื่องเดียวที่บทนำตกเป็นของนักแสดงนำหญิงนั่นก็คือเรื่อง Spy (2015) ที่ผู้โชคดีได้มารับบทนำบทนี้ กลายเป็นสายลับหญิงตุ้ยนุ้ยสุดฮาก็คือ Melissa McCarthy ที่แจ้งเกิดจากหนัง Bridemaids (2011) และมีทศวรรษ 2010s เป็น 10 ปีที่ดีของเธอในการรับบทนำในหนังฮิตหลาย ๆ เรื่อง อย่างเช่น The Heat (2013) ที่ก็เป็นผลงานของผู้กำกับ Paul Feig คนเดียวกัน ก่อนที่ทุกวันนี้จะเริ่มเสื่อมความนิยมลงไป (รวมถึงหนังตลกแนวที่เธอเล่นก็เช่นกัน) ในเรื่องนี้เธอได้ประกบกันสองหนุ่มสุดฮอตอย่าง Jude Law และ Jason Statham ที่เล่นหนังสายลับมาหลายเรื่อง แถมยังมาดเหมาะจะเป็น James Bond เสียด้วย

McCarthy รับบทเป็น Susan Cooper เจ้าหน้าที่ฝ่ายวิเคราะห์ของซีไอเอที่คอยช่วยเหล่าสายลับจากโต๊ะทำงานด้วยการคอยดูแลต้นทางและส่งข้อมูลให้ทางไมโครโฟน ซึ่งเธอก็ฝันอยากจะได้เข้าร่วมภารกิจเสี่ยงตายจริง ๆ แบบสายลับคนอื่นเขาบ้าง แล้วเธอก็ได้สิทธิ์นั้นตามที่ขอ เมื่อนางร้ายของเรื่องอย่าง Rayna Boyanov แม่ค้าอาวุธสงครามระดับโลกได้ข้อมูลสายลับภาคสนามทุกคนของ CIA ไป ทำให้ CIA ต้องส่ง Cooper ปลอมตัวออกไปทำหน้าที่แทน เพราะไม่มีใครมีข้อมูลว่าเธอเป็นสายลับ ภารกิจโหด มัน ฮา ของการลงภาคสนามปฏิบัติการจริงครั้งแรกของเธอจึงบังเกิด

  • นักแสดง: Melissa McCarthy, Jude Law, Jason Statham, Rose Byrne, Morena Baccarin
  • ผู้กำกับ: Paul Fieg (Bridesmaids, The Heat, Ghostbusters)
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 65 / 235 ล้านเหรียญฯ
  • Rotten Tomatoes Score/iMBD Rating: 7/10

(อ่านต่อหน้าถัดไป)

GET SMART (2008)

มาต่อกันที่หนังตลกที่มีเนื้อหาคล้ายกันกับ Spy นั่นคือการที่บทนำเป็นตัวละครสายลับที่ไม่น่าจะเป็นสายลับมากที่สุด (ความฮาจึงเริ่มต้นขึ้นจากตรงนั้นแหละ) เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของ Maxwell Smart มีภารกิจต้องสกัดกั้นแผนการณ์ครองโลกล่าสุดขององค์กรอาชญากรรมที่รู้จักกันในชื่อ KAOS หลังสำนักงานใหญ่ของสายลับสหรัฐฯ ถูกโจมตีและเหล่าสายลับตกอยู่ในอันตราย หัวหน้าหน่วยไม่มีทางเลือกจึงต้องเลื่อนตำแหน่งให้กับนักวิเคราะห์ผู้กระตือรือล้น อย่าง Smart ซึ่งฝันมาตลอดถึงการทำงานภาคสนามร่วมสายลับ 23 ผู้บึกบึน แต่เขากลับต้องมาประกบกับสายลับ 99 ผู้น่ารักแต่สายโหดแทน เพราะเธอและเขาเป็นไม่กี่คนที่ยังไม่ถูกเปิดเผยเอกลักษณ์

ดัดแปลงจากซีรีส์สายลับสุดฮิตจากปี 1965 ที่เคยเข้ามาฉายทางโทรทัศน์ในประเทศไทยกับชื่อเรื่องว่า “ยอดนักสืบเฉลยศักดิ์” ผู้มีดีกรีเป็นถึงสายลับมือพระกาฬกับความฮาที่เปรียบดังต้นฉบับมุขเด็ดที่ยังมีให้เห็นถึงทุกวันนี้ ในฉบับนั้น เนื้อเรื่องหลักก็คือการเผชิญหน้ากันระหว่าง Maxwell กับเหล่าตัวโกงที่ถูกส่งมาจาก Kaos ความยาวตอนละประมาณ 25 นาทีแต่ก็ประสบความสำเร็จ มีออกมาทั้งหมด 5 Season รวม 138 ตอน ส่วนฉบับนี้ก็เป็นการรวมดาวนักแสดง เริ่มจาก Steve Carell ที่ดังมาจากหนังตลกเรื่องก่อนหน้าอย่าง Evan Almighty (2007) Anne Hatthaway ที่โด่งดังมากขึ้นเรื่อย ๆ จาก The Devil Wears Prada (2006) แถมยังมี Dwayne Johnson ตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นตัวละครประกอบตัวที่ 3 ของเรื่องอยู่เลย สมทบด้วยนักแสดงรุ่นเก๋า Alan Arkin และ Terence Stamp มาสมทบด้วย หนังฮิตในช่วงเวลานั้นแต่ก็ฮิตแล้วฮิตเลยไม่ได้มีแผนจะมีภาคต่อ

  • นักแสดง: Steve Carell, Anne Hathaway, Dwayne Johnson, Alan Arkin, Terence Stamp
  • ผู้กำกับ: Peter Segal (The Longest Yard, Anger Management, 50 First Dates)
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 80 / 230 ล้านเหรียญฯ
  • Rotten Tomatoes Score/iMBD Rating: 6.5/10

JOHNNY ENGLISH (2003) & JOHNNY ENGLISH REBORN (2011)

ถ้าหนังสายลับอังกฤษมี James Bond ในฝั่งสายลับฉบับบู๊ ในฝั่งสายลับฉบับฮาก็ต้องมี Johnny English หรือชื่อไทยว่า “พยัคฆ์ร้ายศูนย์ศูนย์ก๊าก” ที่ได้ Rowan Atkinson เจ้าของบท Mr. Bean ในหนังและซีรีส์ซึ่งกลายเป็นบทบาทฮิตติดตัวของเขาไปแล้ว หนังมีทั้งหมดออกมา 3 ภาคทุก ๆ เกือบ 10 ปี ภาคแรกปี 2003 ภาค 2 ชื่อภาค Johnny English Reborn ปี 2011 และภาคล่าสุด Johnny English Strikes Again ปี 2018 ซึ่งแฟน ๆ หนังแนวนี้ก็โปรดอย่าถามเอาเหตุผลหรือความสมจริงใด ๆ เพราะหนังจะแฟนตาซีหลุดโลกของสายลับไปหลายขุม แต่ให้ดูเอาความบันเทิงด้วยการเอา Mr. Bean มาสวมบทสายลับนั่นเอง

Johnny English สายลับหมายเลขหนึ่งของหน่วยสืบราชการลับอังกฤษ (ในโลกที่ไม่มี James Bond) ความจริงแล้ว Englisgh เป็นคนทำเอกสารของหน่วย MI7 ต่อมาสายลับรหัส 001 เกิดตาย (โดยบังเอิญเพราะ English นั่นแหละ) ที่งานศพสายลับทุกคนมารวมตัวกัน คนร้ายลอบวางระเบิดที่งานทำให้สาบลับของ MI7 ตายเกลี้ยง English ที่เหลืออยู่เป็นคนสุดท้าย เจ้านายจึงมอบหมายให้เขารับงานต่อจาก 001 เมื่อมีคนจะขโมยเครื่องราชาภิเษกที่จะจัดแสดงโดย Pascal Sauvage เชื้อพระวงศ์ชาวฝรั่งเศสแถมยังเป็นเจ้าของคุกหลายแห่ง English ไปที่งานเจอกับเจ้าหน้าที่ Lorna Campbell จากฝรั่งเศสที่แฝงตัวมาสืบเรื่อง Pascal ต่อมาเครื่องราชาภิเษกเกิดหายไป และ Pascal ก็ดูจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายไปครั้งนี้ ทำให้ English และ Campbell ต้องร่วมมือกันเปิดโปงและกู้สมบัติของชาติไว้ให้ได้

ส่วนภาค 2 เรื่องเริ่มต้นเมื่อ 5 ปีก่อน English เกิดไปทำภารกิจพลาดที่โมซัมบิคทำให้ประธานาธิบดีของประเทศนั้นถูกลอบสังหาร หลังจากถูกปลด English หลบฝึกวิชาที่ทิเบต ต่อมาทางหน่วย MI7 ก็มีภารกิจใหม่ให้ เจ้านายคนใหม่ แนะนำให้ English รู้จักกับ Kate Sumner นักวิเคราะห์พฤติกรรมมนุษย์คนสวย (Rosamund Pike ซึ่งเคยแสดงเป็นสาว Bond ในตอน Die Another Day (2002)) การกลับมาในภารกิจนี้ทำให้ English เริ่มปะติดปะต่อได้ว่า แท้จริงแล้วการลอบสังหารประธานาธิบดีโมซัมบิคนั้น เขาถูกจัดฉากและการตายนั้นไม่ได้เกิดจากความผิดพลาดของเขา เขาจึงต้องกู้ชื่อเสียงกลับมาพร้อมกับยับยั้งเหตุร้ายจากแผนการสมคบคิดครั้งสำคัญ

  • นักแสดง: Rowan Atkinson, John Malkovich, Natalie Imbruglia, Ben Miller, Greg Wise, Gillian Anderson, Rosamund Pike, Dominic West, Daniel Kaluuya
  • ผู้กำกับ: Peter Howitt (Laws of Attraction) / Oliver Parker (An Ideal Husband)
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: ภาค 1 – 40 / 160 ล้านเหรียญฯ / ภาค 2 45 / 160 ล้านเหรียญฯ
  • Rotten Tomatoes Score/iMBD Rating: ภาค 1 – 6.2/10 / ภาค 2 – 6.3 /10

THE NAKED GUN 1 (1988) & 2 (1991)

แต่ก่อนที่โลกจะรู้จักสายลับสุดฮาอย่าง Johnny English และอีกมากมายที่เป็นหนังสายลับที่ไม่เน้นความสมจริงเอาเสียเลย ยุค 80s ต่อ 90s ก็ยังมีหนังสายลับอย่าง The Naked Gun ที่นำแสดงโดย Leslie Nielsen ผู้ล่วงลับ ซึ่งก็มีหนังแฟรนไชส์นักสืบชุดนี้กับหนังอย่าง Airplane! (1980) ที่เป็นผลงานของผู้กำกับเจ้าเดียวกันคือ David Zucker (เป็นเจ้าของผลงานอย่าง Scary Movie ภาค 3-4 (2003-2006) ด้วย) โดย Nielson รับบทเป็นสายลับตำรวจจอมเบ๊อะสุดซุ่มซ่าม Frank Drebin

ในภาค 1 The Naked Gun: From the Files of Police Squad! (1988) เขาได้รับหน้าที่สำคัญในการหยุดยั้งแผนการลอบปลงพระชนม์พระราชินีอลิซาเบ็ธที่ 2 แห่งอังกฤษ เป็นหนังที่ต่อยอดมาจากซีรีส์ตลก Police Squad! ปี 1982 ส่วนภาค 2 The Naked Gun 2½: The Smell of Fear (1991) Drebin ไปเป็นแขกของประธานาธิบดี George Bush ณ ทำเนียบขาวที่สหรัฐฯ เขาไปรับรางวัลกำจัดพ่อค้ายาได้ครบ 1,000 ราย และได้ไปเจอกับ Dr. Meinheimer ผู้ผลักดันนโยบายพลังงานทางเลือก แต่ฝั่ง Quentin Hapsburg วายร้ายของอุตสาหกรรมสร้างมลภาวะก็พากันกลัวทางเลือกของประธานาธิบดี Bush เลยจัดการลักพาตัว Dr. Meinheimer และเอาตัวปลอมมาสวมรอยแทน Drebin จึงต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือ Dr. Meinheimer จาก Hapsburg ที่ดันมาหมายปองเมียของ Drebin อีกด้วย หนังมีทั้งหมด 3 ภาค โดยภาคสุดท้ายชื่อ Naked Gun 33 1/3: The Final Insult (1994) (ไม่มีบน Netflix ตอนนี้)

  • นักแสดง: Leslie Nielsen, Priscilla Presley, O.J. Simpson, Ricardo Montalban, George Kennedy, Richard Griffiths
  • ผู้กำกับ: David Zucker (Airplane!, Top Secret!, Scary Move 3&4)
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: ภาค 1 – 12 / 78 ล้านเหรียญฯ / ภาค 2 – 23 / 86 ล้านเหรียญฯ
  • Rotten Tomatoes Score/iMBD Rating: ภาค 1 – 7/6/10 / ภาค 2 – 6.9/10

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส