ในช่วงนี้คอหนังสงครามและหนังปฏิบัติการทางทหารน่าจะได้ไปชมหนังเรื่อง Outpost กันแล้ว นำแสดงโดย Orlando Bloom และ Scott Eastwood ดัดแปลงจากหนังสือ “The Outpost: An Untold Story of American Valor” ของนักข่าว CNN สร้างจากเหตุการณ์จริงของเหตุการณ์เมื่อ เช้าตรู่วันที่ 3 ตุลาคม 2009 กองกำลังตาลีบัน 300 คนเข้าโจมตีทหารอเมริกันกลุ่มหนึ่งจากรอบด้านที่หุบเขาคัมเดชอยู่ใกล้พรมแดนอัฟกานิสถาน-ปากีสถาน ฝ่ายตรงข้ามสามารถซุ่มโจมตีได้จากที่สูง แต่ก็นับว่าโชคดีที่สมรรถนะอาวุธของฝั่งตาลีบันนั้นยังเปรียบกันไม่ได้ ถึงอย่างนั้นทหารอเมริกัน 57 คนก็บาดเจ็บกว่าครึ่ง และเสียชีวิตไป 8 ราย (อ่านรีวิวเรื่องนี้ของ WTF)

หนังเรื่องนี้ได้รับการพูดถึงว่าเป็นหนังสงครามสุดมัน สร้างได้สมจริงจนควรเข้าไปชมในโรงภาพยนตร์ แต่นอกจากหนังเรื่องนี้แล้ว ตลอด 20 ปีที่ผ่านมาฮอลลีวูดก็ได้ส่งหนังปฏิบัติการทางทหารหลายเรื่องที่ดูสนุก สมจริง และเข้าไปอยู่ในใจคอหนังมาหลายเรื่อง บางเรื่องก็ถึงขนาดคว้ารางวัลออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมหรือได้เข้าชิง เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นหนังที่สร้างจากเรื่องจริงและยิ่งสร้างด้วยทีมสร้างมากฝีมือ ก็จะเป็นที่ถูกใจคณะกรรมการรางวัลนอกเหนือจากคนดูด้วย What the Fact ขอรวบรวม “15 หนังปฏิบัติการทางทหารจากเรื่องจริง “โคตรมันสุด” ในรอบ 20 ปี” มาให้ไปตามเก็บให้ครบ (หลายเรื่องมีแล้วบน Netflix)

ชวนอ่าน “10 อันดับ “หนังสงคราม” ทำเงินสูงที่สุดในโลก

12 STRONG (2018)ดูได้บน Netflix

สร้างจากเรื่องจริงของหน่วยทหารสหรัฐฯ ชุดแรกที่ถูกส่งเข้าไปรบกับกลุ่มทหารตาลีบันในอัฟกานิสถานหลังเหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 หนังดัดแปลงจากหนังสือสารคดี “Horse Soldiers: The Extraordinary Story of a Band of US Soldiers Who Rode to Victory in Afghanistan” ของนักข่าวนิวยอร์กไทม์ Doug Stanton และดัดแปลงเป็นบทหนังโดย Ted Tally จาก The Silence of the Lamb (1992) และ Peter Craig จาก The Town ภายใต้การกำกับครั้งแรกของ Nicolai Fuglsig ช่างภาพข่าวที่เคยไปทำงานท่ามกลางสงครามโคโซโวมาแล้ว

12 Strong เล่าเรื่องราวของทหารกล้า 12 นายของหน่วย ODA 595 ที่อาสาเป็นแนวหน้าหน่วยแรกไปโจมตีกลับกลุ่มตาลีบันหลังเหตุการณ์วินาศกรรมช็อกโลก Chris Hemsworth รับบทเป็นกัปตัน Mitch Nelson หัวหน้าหน่วย Green Beret ที่ได้รับมอบหมายภารกิจให้นำทีมไปสนับสนุนกับกองทหารพันธมิตรท้องถิ่นในประเทศอัฟกานิสถานที่นำโดยนายพล Dostum (Navid Negahban) ผู้เป็นปรปักษ์กับพวกตาลีบันอีกที ทั้งหมดต้องเข้ายึดเมืองมาซาร์ อี ชารีฟ ที่เคยเป็นที่มั่นของกลุ่มพันธมิตรในอัฟกานิสถานคืนจากตาลีบัน เพื่อไม่ให้กลุ่มผู้ก่อการร้ายแผ่ขยายอำนาจและจะทำให้มีการโจมตีสหรัฐฯ ในครั้งต่อไป โอกาสรอดของพวกเขาคือ ต้องโค่นกองทัพศัตรูที่จำนวนมากกว่าหลายเท่าในสัดส่วน 40 ต่อ 1

หน่วยทหาร ODA 595 เข้ามาประจำการที่ป้อมอลาโม ได้ทำความรู้จักกับนายพล Dostum ผู้นำหน่วยทหารพันธมิตร หน่วย ODA 595 รับฟังแผนการคร่าว ๆ แล้วเดินทางคืบหน้าตามติดนายพลและคณะไปทีละหมู่บ้านจนรุกคืบไปใกล้ มาซาร์ อี ชารีฟ จนกระทั่งหน่วย ODA 595 และกองทหารของ Dostum มาถึงช่องแคบเทียนกี ประตูด่านสุดท้ายก่อนจะถึงเมืองมาซาร์ อี ชารีฟ และต้องประทะกับทัพของทัพพันธมิตรของตาลีบันสุดโหดที่มีรถยิงจรวดเป็นอาวุธหนักและดูจะได้เปรียบต่อฝ่ายทหารอเมริกันที่มีแค่อาวุธเบาและพาหนะเป็นม้าเท่านั้น

หน่วยทหาร ODA 595 ตัวจริงถ่ายกับอนุสาวรีย์ของพวกเขาในนิวยอร์ก

ODA595 ทั้งหน่วยต้องผ่านประสบการณ์เลวร้ายในระยะเวลาเกือบ 2 เดือน และต้องทนปวดร่างกับการนั่งบนหลังม้าเป็นเวลานาน ๆ ถึงแม้วันนั้นปฏิบัติการของพวกเขาจะเป็นภารกิจลับ แต่มาถึงวันนี้พวกเขาก็ได้รับการสดุดีสรรเสริญเกียรติในฐานะผู้กล้าที่สร้างชัยชนะและความอัปยศให้กับกลุ่มตาลีบันมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ทางการได้เปิดเผยวีรกรรมของพวกเขาในปี 2012 ด้วยการสร้างอนุสาวรีย์เป็นหุ่นทหารม้า ตั้งไว้บริเวณลิเบอร์ตี้ปาร์คหรือกราวด์ซีโรที่ตึกแฝดเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ถล่มลงมานั่นเอง (อ่านรีวิวเรื่องนี้ของ WTF)

  • สมรภูมิรบ/ปีที่เกิดเหตุการณ์: ประเทศอัฟกานิสถาน ปี 2001
  • นักแสดง: Chris Hemsworth, Michael Shannon, William Fichtner, Michael Peña, Elsa Pataky
  • ผู้กำกับ: Nicolai Fuglsig
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 35 / 67 ล้านเหรียญฯ

THE WALL (2017)

หนังทุนต่ำที่มีตัวละครหลักอยู่แค่ 2-3 ตัว บอกเล่าเรื่องราวของสองทหารคู่หูที่ออกไปปฏิบัติหน้าที่ซุ่มยิงในสงครามอิรักกลางทะเลทราย แล้วดันกลายเป็นเหยื่อเสียเองเมื่อถูกพลซุ่มยิงของข้าศึกฝ่ายตรงข้ามเล่นงาน ทหารหนึ่งในสองถูกยิงล้มและขยับตัวไม่ได้ ส่วนอีกนายมีเพียงกระสุนไม่กี่นัดกับกำแพงที่ทำท่าจะล้มพังมาช่วยเป็นกำบังให้ ทั้งคู่ต้องหาวิธีเอาตัวรอดจากข้าศึกโดยใช้ไหวพริบและการร่วมมือกัน

แม้จะเป็นหนังทุนต่ำก็จริง แต่ก็ได้ Aaron Taylor-Johnson จาก Godzilla (2014) และ Tenet (2020) รวมถึงนักมวยปล้ำชื่อดัง John Cena ที่ได้นำแสดงในแฟรนไชส์ฮิต Fast 9 มาแสดงด้วย ส่วนผู้กำกับก็มากฝีมือและกำกับหนังฮิตมาหลายเรื่องอย่าง Doug Liman จาก Edge of Tomorrow (2014), Mr. & Mrs. Smith (2005), The Bourne Identity (2002) หนังไม่ได้เป็นเหตุการณ์จริงของบุคคลหรือก็คือทหารในเรื่อง แต่เป็นการจำลองจากสงครามอิรักที่เกิดขึ้นจริงระหว่างปี 2003-2011 ที่สหรัฐฯ บุกโค่นเผด็จการ Saddam Hussein โดยอ้างว่าประเทศอิรักมีอาวุธชีวภาพร้ายแรงซ่อนอยู่ แต่สุดท้ายก็ไม่เคยมีใครหาเจอ

  • สมรภูมิรบ/ปีที่เกิดเหตุการณ์: ประเทศอิรัก ปี 2003-2011
  • นักแสดง: Aaron Taylor-Johnson, John Cena
  • ผู้กำกับ: Doug Liman (Edge of Tomorrow, Mr. & Mrs. Smith, The Bourne Identity)
  • รายรับรวมทั่วโลก: 4 ล้านเหรียญฯ

13 HOURS: THE SECRET SOLDIERS OF BENGGHAZI (2016)

หนังเล่าถึงเหตุการณ์โจมตีสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐในเมืองเบงกาซี ประเทศลิเบีย เมื่อปี 2012 อันเป็นเหตุให้ Christopher Stevens เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำลิเบีย ตัวแทนคณะทูตชาวอเมริกัน และทหารอเมริกันต้องเสียชีวิตรวมแล้ว 4 ศพในที่เกิดเหตุ ผู้ก่อการคือกองกำลังอาสาสมัครติดอาวุธอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการประท้วงต่อต้านภาพยนตร์เรื่อง Innocence of Muslims ที่มีการออกฉายในลิเบียเวลานั้น หนังมีประเด็นละเอียดอ่อนและถูกเข้าใจว่ามีเจตนาฉายเพื่อดูหมิ่นศาสนาอิสลาม

เหตุการณ์นี้ถือเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงมากที่มีเจ้าหน้าที่ทางการทูตของสหรัฐฯ ถูกสังหาร (คนแรกในรอบ 30 ปี) โดยหนังดัดแปลงจากหนังสือที่บอกเล่าเหตุการณ์นี้ของ Mitchell Zuckoff โฟกัสไปที่เรื่องราวของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 6 นายที่พยายามต่อสู้และตอบโต้การโจมตีของผู้ก่อการร้ายทุกวิถีทาง เพื่อรักษาชีวิตเจ้าหน้าที่ที่ประจำอยู่ที่นั่น แต่ทำสำเร็จได้เพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น

เมื่อหนังออกฉายก็เกิดดราม่าขึ้นอีกระลอก ประชาชนในเบงกาซีของประเทศลิเบียต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องนี้ในโซเชียลมีเดียอย่างหนัก โดยมองว่า มีเนื้อหาดูถูกชาวเมืองและพูดถึงการโจมตีชาวอเมริกันอย่างรุ่นแรงเกินจริง จน Michael Bay ผู้กำกับต้องออกมาแย้งว่า หนังเรื่องนี้พยายามสร้างให้ตรงกับความเป็นจริงมากที่สุดแล้ว (แม้จะยังเป็นปริศนาว่า ทูตสหรัฐฯ ตายเพราะสำลักควันไฟภายในสถานทูตหรือตายด้วยเหตุอื่น เพราะมีภาพปรากฏว่าชาวเมืองได้พยายามนำร่างของทูตไปส่งโรงพยาบาล และมีการตั้งข้อสันนิษฐานอีกแนวทางหนึ่งว่า ท่านทูตถูกสังหารในรถที่พาขับหนีออกมาจากสถานทูตแล้วต่างหาก แต่ในหนังไม่ได้นำเสนอแบบนั้น)

กระแสวิจารณ์ภาพยนต์เรื่องนี้ มีขึ้นในช่วงที่ Hilary Clinton อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ได้เข้าให้ปากคำต่อคณะกรรมการวิสามัญของสภาคองเกรส สหรัฐฯ ที่พรรครีพับลิกัน (ฝั่งตรงข้ามกับ Clinton จากพรรคเดโมแครตที่ครองเสียงข้างมากและสอบสวนเธออย่างก้าวร้าว) โดยบอกว่า เธอแสดงความรับผิดชอบอย่างดีที่สุดต่อโศกนาฎกรรมที่ทำให้ชาวอเมริกันเสียชีวิต 4 คน รวมทั้งเอกอัครราชทูต และปฏิเสธว่า ไม่เคยบอกปัดคำร้องขอยกระดับรักษาความปลอดภัยของสถานกงสุลในเบงกาซีที่ถูกกลุ่มหัวรุนแรงบุกโจมตีด้วย

  • สมรภูมิรบ/ปีที่เกิดเหตุการณ์: ประเทศลิเบีย ปี 2012
  • นักแสดง: John Krasinski, Pablo Schreiber, Toby Stephens, James Badge Dale, Max Martini
  • ผู้กำกับ: Michael Bay (Pearl Harbor, Armageddon, The Rock)
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 50 / 69 ล้านเหรียญฯ
  • บทบาทบนเวทีออสการ์: เข้าชิงออสการ์ 1 สาขา (ผสมเสียงยอดเยี่ยม)

AMERICAN SNIPER (2015)ดูได้บน Netflix

Chris Kyle ทหารหน่วยซีลประจำกองทัพเรือสหรัฐเป็นพลแม่นปืนเพื่อพิทักษ์พี่น้องทหารที่รับเคียงบ่าเคียงไหล่ในสงครามประเทศอิรัก เขาเป็นพลแม่นปืนที่อันตรายที่สุดในประวัติศาสตร์ทางทหารของสหรัฐฯ จนได้รับสมญาว่าเป็นตำนาน เมื่อชื่อเสียงของเขาดังขึ้นก็ทำให้เขากลายเป็นเป้าหมายของข้าศึก มีการตั้งค่าหัวเงินรางวัลหากสังหารเขาได้ ขณะเดียวกัน Chris ก็ต้องทำหน้าที่ของพ่อและสามีที่ดีไปพร้อมกันด้วยสำหรับลูกเมียที่อยู่แนวหลังในสหรัฐฯ แม้ว่าจะมีทั้งอันตรายในแนวหน้าและปัญหาชีวิตในแนวหลัง เขาก็ยังมาปฏิบัติหน้าที่รับใช้ชาติถึง 4 รอบด้วยกัน ให้สมกับคติของหน่วยที่ว่าจะไม่ทิ้งกัน

หนังดัดแปลงจากชีวิตจริงของ Chris Kyle ซึ่งเขียนชีวประวัติตัวเองเป็นหนังสือในชื่อเดียวกับหนัง ตีพิมพ์ในปี 2012 ก่อนที่เขาจะถูกสังหารที่สนามยิงปืนในรัฐเท็กซัสเมื่อปี 2013 จากนาวิกโยธินรุ่นน้องที่เขาพาไปสนามยิงปืนซึ่งพบว่ามีอาการป่วยทางจิตจากการเข้าร่วมสงครามอย่างยาวนาน Clint Eastwood ผู้กำกับมือเก๋ามารับผิดชอบเรื่องนี้หลังจาก Steven Spielberg ถอนตัวออกไป และ Bradley Cooper นักแสดงนำที่รับบทเป็น Chris Kyle ได้คุยกับตัวจริงแค่ครั้งเดียวทางโทรศัพท์ นาน 2 นาทีก่อนที่สองสัปดาห์ต่อมา Chris จะเสียชีวิต หลังจากนั้น Bradley ก็ใช้เวลาเตรียมตัวอย่างหนักถึง 8 เดือน เพื่อเตรียมรับบทให้เหมือน Chris มากที่สุด รวมถึงเพิ่มน้ำหนัก 18 กิโลกรัมด้วย

  • สมรภูมิรบ/ปีที่เกิดเหตุการณ์: ประเทศอิรัก ปี 2003-2011
  • นักแสดง: Bradley Cooper, Kyle Gallner, Keir O’Donnell, Sienna Miller, Jonathan Groff
  • ผู้กำกับ: Clint Eastwood (Sully, Invictus, Flags of Our Fathers, Million Dollar Baby)
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 58 / 547 ล้านเหรียญฯ
  • บทบาทบนเวทีออสการ์:
    • ชนะ 1 สาขารางวัล (ตัดต่อเสียงยอดเยี่ยม)
    • เข้าชิง 5 สาขารางวัล (ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (Bradley Cooper), บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม, ตัดต่อยอดเยี่ยม, ผสมเสียงยอดเยี่ยม)

EYE IN THE SKY (2015)

Eye in the Sky ภาพยนตร์สะท้อนความจริงของสงครามยุคใหม่ที่ต่อสู้ด้วยกันด้วยอากาศไร้คนขับอย่าง โดรน ได้ดารานักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์อย่าง Helen Mirren จาก The Queen (2006) มานำแสดง สมทบด้วย Alan Rickman จากแฟรนไชส์ Harry Potter, Aaron Paul จากซีรีส์ Breaking Bad, และ Barkhad Abdi จาก Captain Phillips (2011) หนังโจรสลัดโซมาเลียที่สร้างจากเรื่องจริงอีกเรื่อง ในเรื่องนี้ Mirren รับบทเป็นผู้พัน Katherine Powell ทหารอังกฤษระดับบังคับบัญชาที่ต้องตัดสินใจใช้โดรนระบุตำแหน่งผู้ก่อการร้ายและโจมตีเป้าหมายในกรุงไนโรบี ประเทศเคนยา (เป็นเหตุการณ์สมมติ แต่อ้างอิงจากวิทยาการที่สหรัฐฯ นำมาใช้แล้วจริง ๆ)

การตัดสินใจโจมตีที่ดูเหมือนจะทำได้ง่ายเพียงแค่กดปุ่ม แต่ในความเป็นจริงนั้นเต็มไปด้วยความยากลำบากทางจริยธรรม ซึ่ง Eye in the Sky ถ่ายทอดประเด็นดังกล่าวได้อย่างละเอียดอ่อน แรกเริ่มเดิมทีปฏิบัติการของผู้พันมีจุดมุ่งหมายเพื่อตามจับกุมสองผู้ต้องหาก่อการร้ายคนสำคัญในกลุ่มอัล-ชาบับ รายหนึ่งเป็นชายหนุ่มชาวโซมาเลีย ส่วนอีกรายเป็นภรรยาของเขา ทั้งคู่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดฆ่าตัวตายในห้างสรรพสินค้ากลางกรุงไนโรบี ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายสิบคน หน่วยข่าวกรองของอังกฤษสืบทราบว่าจะมีการนัดพบลับ ๆ ของกลุ่มอัล-ชาบับ ซึ่งสองสามีภรรยาจะส่งมอบ 2 สมาชิกใหม่ คนหนึ่งเป็นชาวอเมริกัน อีกคนเป็นชาวอังกฤษไปเข้ากลุ่ม

เมื่อถึงเวลาผู้ก่อการร้ายทั้งคู่อยู่ท่ามกลางกลุ่มกองกำลังติดอาวุธ การบุกล้อมจับจะนำไปสู่การยิงปะทะและสูญเสียชีวิต ดังนั้นผู้พัน Powell กับนายพล Frank Benson (Alan Rickman) จึงเห็นชอบให้ใช้ขีปนาวุธยิงถล่ม แต่ที่ประชุมของรัฐบาลอังกฤษไม่เห็นด้วย พวกเขายืนกรานให้ดำเนินการตามภารกิจดั้งเดิม นั่นคือจับเป็นเท่านั้น สถานการณ์กลับพลิกผันในชั่วพริบตา เมื่อภารกิจต่อมาของผู้ก่อการร้าย กล้องโดรนเผยให้เห็นเหตุการณ์ภายในบ้านว่าคนกลุ่มนี้กำลังวางแผนจะก่อเหตุด้วยระเบิดฆ่าตัวตาย ซึ่งหากทำสำเร็จประชาชนผู้บริสุทธิ์จำนวนมากจะต้องตาย การยึดมั่นในหลักการที่ว่า รัฐบาลอังกฤษจะไม่ใช้โดรนแทรกแซงโจมตีในประเทศที่สงบสุข เริ่มสั่นคลอนจากข้อเท็จจริงว่าหากคนร้ายแยกขึ้นรถ 2 คัน โดรนซึ่งมีอยู่มีลำเดียวจำเป็นต้องเลือกตามรถแค่คันเดียว และหากเลือกผิดก็อาจทำให้การก่อวินาศกรรมครั้งสำคัญประสบผลสำเร็จ

(อ่านต่อหน้าถัดไป)

LONE SURVIVOR (2014)

หนังดัดแปลงจากหนังสือ “Lone Survivor: The Eyewitness Account of Operation Redwing and the Lost Heroes of SEAL Team 10” โดยจ่าเอก Marcus Luttrell ผู้รอดชีวิตจากปฏิบัตการครั้งนี้และลาออกจากราชการแล้ว เขียนร่วมกับ Patrick Robinson เล่าถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ปี 2005 ทีมลาดตระเวนและสังเกตการณ์ได้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์เพื่อแฝงตัวเข้าไปในดินแดนภูเขาของจังหวัดคูนาร์ บริเวณเทือกเขาฮินดูกูชใกล้กับชายแดนประเทศปากีสถาน ภารกิจของพวกเขาภายใต้ชื่อรหัสปฏิบัติการ “ปีกแดง” (Operation Red Wings) คือการชี้เป้า Ahmad Shah ผู้นำตาลีบันคนสำคัญที่เชื่อกันว่าซ่อนตัวอยู่ในภูเขาบริเวณนี้  นี่คือส่วนหนึ่งของชีวิตทหารทั้ง 5 นายที่จะได้เห็นในหนังเรื่องนี้

Mark Wahlberg รับบทเป็น จ่าเอก Marcus Luttrell

นาวาตรี Erik Kristensen (Eric Bana จาก Black Hawk Down (2001)) ผู้บัญชาการของปฏิบัติการปีกแดงรู้ดีว่า เมื่อสัปดาห์ก่อน Shah เพิ่งสังหารทหารเรือสหรัฐฯ ไปแล้ว 20 นายและผู้นำตาลีบันคนนี้ไม่ลังเลที่จะสังหารทหารอเมริกันทุกที่และทุกเมื่อ เมื่อทีมลาดตระเวนสี่นายของ Kristensen ขาดการติดต่อไป เขาก็ทำทุกอย่างเพื่อพาตัวทีมทหารของเขากลับคืนสู่ฐานให้ได้ ส่วนทหารภาคสนาม ร้อยโท Michael Murphy (Taylor Kitsch จาก Battleship (2012)) หัวหน้าในปฏิบัติการปีกแดง การปฏิบัติหน้าที่ของเขาทำให้ Murphy เป็นบุคคลแรกในสมรภูมิอัฟกานิสถานที่ได้รับเหรียญ Medal of Honor ซึ่งเป็นเกียรติยศขั้นสูงสุดทางทหาร  

ทีมทหารหน่วยซีลสามารถแฝงตัวเข้าไปพื้นที่ได้สำเร็จ แต่แล้วคนเลี้ยงแพะ 3 คนที่ไล่ต้อนฝูงแพะก็บังเอิญเจอสถานที่ซ่อนตัวของพวกเขาเข้า แม้กฎของทหารอย่างพวกเขาระบุให้พวกเขาปล่อยตัวพลเมืองที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสู้รบ แต่หากทำเช่นนั้น พวกเขาก็รู้ว่าหลังจากนั้นเพียงไม่นาน พวกตาลีบันย่อมจะรู้ถึงการซ่อนตัวของพวกเขา พวกเขาจึงมีทางเลือกเพียงแค่ 3 ทางคือ สังหารคนทั้ง 3 คนนั้น หรือมัดตัวปล่อยไว้บนภูเขาซึ่งพวกเขาจะตายอย่างแน่นอนจากอากาศหนาว หรือปล่อยพวกเขาไป ท้ายที่สุด ชาวบ้านทั้ง 3 ก็ได้รับการปล่อยตัว และหน่วยซีลก็เริ่มต้นปีนเขาอย่างยากลำบากไปสู่บริเวณที่พวกเขาจะสื่อสารไปยังหน่วยเหนือเพื่อให้มารับตัวพวกเขาให้ทันการก่อนพวกตาลีบันจะเข้าถึงตัว

ตัวจริงของทหารนาวีซีลของปฏิบัติการปีกแดง (Operation Red Wings)

น่าเศร้าที่หน่วยซีลหลายคนต้องสังเวยชีวิตที่ภูเขาลูกนั้นรวมทั้งทหารอีกกลุ่มที่ตั้งใจจะมาช่วยเหลือพวกเขา เมื่อเฮลิคอปเตอร์ชีนุคไนท์ สตอล์คเกอร์ MH-47D ที่เดินทางมารับตัวทั้ง 4 คนถูกกองกำลังตาลีบันใช้ปืนยิงจรวดยิงร่วงลงมา และทุกคนบนเครื่องก็เสียชีวิตทั้งหมด รวมแล้วมีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการพิเศษทั้งสิ้น 16 นาย โดยเป็นทหารหน่วยซีล 8 นาย นับวันที่มีการสูญเสียหน่วยซีลภายในเหตุการณ์เดียวมากคนที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 (จนกระทั่ง 6 สิงหาคม ปี 2011 ทำลายสถิติ เมื่อเฮลิคอปเตอร์ชีนุคโบอิ้ง CH-47 ของสหรัฐฯ ถูกยิงร่วงในอัฟกานิสถาน ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารชาวอเมริกัน 30 นายเสียชีวิต)

  • สมรภูมิรบ/ปีที่เกิดเหตุการณ์: ประเทศอัฟกานิสถาน ปี 2005
  • นักแสดง: Mark Wahlberg, Eric Bana, Taylor Kitsch, Emile Hirsch, Ben Foster, Alexander Ludwig
  • ผู้กำกับ: Peter Berg ((Hancock, Battleship, The Kingdom)
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 40 / 154 ล้านเหรียญฯ
  • บทบาทบนเวทีออสการ์: เข้าชิง 2 สาขารางวัล (ผสมเสียงยอดเยี่ยม และตัดต่อเสียงยอดเยี่ยม)

ZERO DARK THIRTY (2012)

Zero Dark Thirty หมายถึง ประโยคคำสั่งทางการทหารที่หมายถึงช่วงเวลา 30 นาทีหลังเที่ยงคืน เหล่านาวิกโยธินสหรัฐฯ จะเข้าไปสังหาร Osama bin Laden ผู้นำขบวนการก่อการร้ายที่อยู่เบื้องหลังการก่อวินาศกรรม 9/11 ที่ตึกแฝดเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ เหตุการณ์จริงเมื่อ 2 พฤษภาคม 2011 แต่โดยเนื้อแท้ของเรื่องแล้วเป็นหนังเล่าถึงการทำงานของ Maya (Jessica Chastain) เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนของ CIA ที่ใช้เวลาหลายต่อหลายปี ลงไปทำงานจริงในปฏิบัติการไล่ล่า bin Laden ซึ่งแน่นอนว่าพลาดมากกว่าสำเร็จ ตัวละครเจ้าหน้าที่ข่าวกรองนี้และอีกหลายตัวนั้นถูกแต่งขึ้นมาโดยใช้บุคคลิกของคนที่มีตัวตนจริงของวงในที่อยู่ในปฏิบัติการที่ไม่อาจเปิดเผยตัวตนได้

หนังมีฉากซ้อมและทรมานนักโทษของทหารสหรัฐฯ ซึ่งเป็นที่เลื่องลือการตามข่าวว่า มีฐานลับสำหรับการทรมานนักโทษก่อการร้ายโดยเฉพาะ ซึ่งสหรัฐฯ ก็อ้างความมั่นคงและผลลัพธ์ที่ต้องเค้นให้ได้จากปากผู้ต้องหาเป็นสำคัญ หนังยังตั้งคำถามโดยอ้อมถึงความชอบธรรมในวิธีการตั้งตนเป็นเพชฌฆาต เข้าสังหาร bin Laden และเหล่าผู้ก่อการร้ายของกองกำลังสหรัฐฯ Zero Dark Thirty สร้างได้อย่างสมจริง และเสียดสีอย่างตลกร้าย โดยเฉพาะในฉากจบของเรื่องที่ Maya ไม่ได้รู้สึกยินดีไปกับการตายของ bin Laden ทั้งที่เธอควรจะดีใจเพราะทำงานสำเร็จเสียที

หนังเป็นผลงานกำกับของหนึ่งในผู้กำกับหญิงแกร่งและเป็นผู้หญิงคนเดียวจนถึงตอนนี้ที่ได้รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์อย่าง Kathryn Bigelow (ได้จาก The Hurt Locker (2008) เฉือนอดีตสามี James Cameron จาก Avatar (2009)) ในเรื่องนี้หนังดูง่ายขึ้นกว่าตอน The Hurt Locker เพราะหนังมีโทนของความเป็นหนังจารกรรมมากขึ้นกว่าหนังสนามรบ รวมถึงหนังยังสร้างได้อย่างรวดเร็วทันต่อเหตุการณ์เพราะเหตุการณ์จริงเพิ่งผ่านไปได้แค่ปีเดียวเท่านั้น

ภาพจริงของโต๊ะบัญชาการปฏิบัติการสังหาร Osama bin Laden นำโดย Barack Obama

ชวนดู “รวมหนังที่ต้องเลือกระหว่างสิทธิส่วนบุคคลกับความมั่นคงของชาติ

  • สมรภูมิรบ/ปีที่เกิดเหตุการณ์: ประเทศปากีสถาน ปี 2011
  • นักแสดง: Chris Pratt, Jessica Chastain, Joel Edgerton, Edgar Ramírez, Jeremy Strong, Mark Strong
  • ผู้กำกับ: Kathryn Bigelow (The Hurt Locker, K-19: The Widowmaker, Point Break)
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 40 / 133 ล้านเหรียญฯ
  • บทบาทบนเวทีออสการ์:
    • ชนะ 1 สาขารางวัล (ตัดต่อเสียงยอดเยี่ยม)
    • เข้าชิง 4 สาขารางวัล (ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (Jessica Chastain), บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม, ลำดับภาพยอดเยี่ยม)

ACT OF VALOR (2012)

เมื่อหน่วยซีลได้รับคำสั่งให้ ไปทำภารกิจช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ซีไอเอที่ถูกจับเป็นตัวประกัน และได้รับเบาะแสสำคัญของแผนการณ์ก่อการร้ายที่จะโจมตีสหรัฐฯ พวกเขาจึงออกเดินทางไปทั่วโลกเพื่อหยุดยั้งแผนการร้าย พวกเขาต้องชั่งน้ำหนักความสำคัญของการรับใช้ชาติ กับความสัมพันธ์ของลูกทีมทุกคนในหน่วย และชีวิตครอบครัวที่รอพวกเขาอยู่ที่บ้าน เมื่อใดก็ตามที่ทำภารกิจเสร็จสิ้นไปหนึ่ง ก็จะมีข้อมูลใหม่ ๆ เข้ามาเพื่อแจ้งให้ทราบว่าแผนการณ์ชั่วร้ายยังไม่หมด ทำให้พวกเขาต้องออกปฏิบัติการจากเชชเนียจนถึงฟิลิปปินส์ จากยูเครนไปจนถึงโซมาเลีย แจนถึงรังของพวกวายร้ายในบริเวณพื้นที่ชายแดนระหว่างสหรัฐฯ-เม็กซิโก

ภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากหนังสั้นความยาว 7 นาทีที่เป็นเนื้อหาเดียวกันซึ่งถูกสร้างให้กับกองทัพเรือของสหรัฐฯ ช่วงปี 2007 เรื่องราวเกี่ยวกับหน่วยลำเลียงพิเศษของหน่วยนาวิกโยธิน (จึงขอนับว่า ถ่ายทำจากของจริงและเป็นภาพจริงด้วย) หนังได้รับการสนับสนุนการถ่ายทำจากกองทัพเรืออย่างเต็มที่โดยเฉพาะการใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ของจริงเช่น การใช้กระสุนจริงตลอดทั้งเรื่อง ใช้นาวีซีลตัวจริงมาร่วมแสดง หรือกระทั่งเรือดำน้ำ SSGN ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานนิวเคลียร์ซึ่งไม่เคยมีหนังเรื่องไหนเคยได้ใช้ถ่ายทำ โดยตอนที่ถ่ายทำฉากเรือดำน้ำโผล่พ้นผิวน้ำ กองทัพจำกัดเวลาให้ทีมงานถ่ายทำได้แค่ 45 นาทีด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง ทำให้สองผู้กำกับต้องแบ่งทีมงานออกเป็นสองกอง กองหนึ่งซ่อนตัวอยู่บนเรือ และกองที่ 2 เก็บภาพมุมสูงจากบนเฮลิคอปเตอร์

  • สมรภูมิรบ/ปีที่เกิดเหตุการณ์: ประเทศเชชเนีย, ฟิลิปปินส์, ยูเครน, โซมาเลีย, สหรัฐฯ และเม็กซิโก (เหตุการณ์สมมติแต่อาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหมดรวมถึงหน่วยซีลเป็นของจริงตัวจริง)
  • นักแสดง: Jason Cottle, Alex Veadov, Gonzalo Menendez, Dimiter D. Marinov, Emilio Rivera, Ailsa Marshall
  • ผู้กำกับ: Mike McCoy & Scott Waugh
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 12 / 82 ล้านเหรียญฯ

GREEN ZONE (2010)ดูได้บน Netflix

ดัดแปลงจากหนังสือขายดี “Imperial Life in the Emerald City” ของ Rajiv Chandrasekaran เรื่องราวของ Miller นายทหารหัวหน้าหน่วยตรวจสอบอาวุธ ที่ได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญตรวจหาคลังอาวุธขนาดใหญ่ที่เชื่อว่าซุกซ่อนอยู่ใต้ทะเลทรายในอิรัก แต่ระหว่างปฏิบัติการนั้น เขากลับพบเรื่องราวบางอย่างที่แอบแฝงอยู่ในการทำงานของหน่วยงานอื่น ภายใต้สถานการณ์ที่บีบคั้นซึ่งดูเหมือนถูกจัดฉากให้นำไปสู่สงครามครั้งใหญ่ในอิรัก เขาจึงต้องสืบสวนหาความจริงของปฏิบัติการของสหรัฐฯ ที่บุกเข้าเมืองแบกแดด
ในปี 2003

Miller และทีมผู้ตรวจการของกองทัพ ต้องเดินทางสำรวจจุดแล้วจุดเล่าเพื่อค้นหาอาวุธเคมีร้ายแรง แต่พวกเขากลับสะดุดพบความลับที่ทำให้ เป้าหมายของภารกิจของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปในทันที เขาตามล่าหาข่าวลับเพื่อค้นหาคำตอบที่จะเฉลยแผนลวงที่จะก่อและขยายสงครามให้รุนแรงมากขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลาง

หนังเป็นผลงานกำกับของ Paul Greengrass ที่โคจรมาประกับกับ Matt Demon นักแสดงคู่บุญของเขาจากหนังสายลับ Bourne ตั้งแต่ภาค 2 จนถึงภาค 5 (ไม่นับภาค 4 ของ Jeremy Renner ที่ต้องนับเป็นภาคแยก) เลยทำให้เหมือนได้เห็นสายลับ Bourne มาอยู่ในหนังสงครามการเมือง ซึ่งจะว่าไปแล้วหนังไม่ได้มีฉากรบหรือฉากแอ็กชันที่หวือหวา แต่เป็นหนังเปิดโปงความลับอันชั่วร้ายของสหรัฐฯ เองที่หาเหตุก่อสงครามเพื่อเข้าไปแทรกแซงการเมืองของอิรัก โค่นล้มผู้นำเผด็จการ Saddam Hussein

โดยยัดข้อหาว่าอิรักมีอาวุธชีวภาพร้ายแรง (เช่นเดียวกับที่หนังเรื่องนี้หยิบประเด็นมาเล่า) 7 ปีให้หลังปฏิบัติการนี้ตอนที่หนังออกฉายและเป็นปีสุดท้ายก่อนสหรัฐฯ จะถอนทหารกลับประเทศและปล่อยให้อิรักดูและตัวเองแบบเละเทะต่อไป ผู้คนทั้งโลกก็ได้รู้ความจริงว่า สหรัฐฯ หาอาวุธร้ายแรงนั้นไม่เจอ หนังประสบความล้มเหลวทางรายได้โดยเฉพาะในบ้านเกิด ก็ใครจะอยากยอมรับความผิดของประเทศตัวเองกันล่ะ?

  • สมรภูมิรบ/ปีที่เกิดเหตุการณ์: ประเทศอิรัก ปี 2003
  • นักแสดง: Matt Damon, Jason Isaacs, Brendan Gleeson, Greg Kinnear, Amy Ryan
  • ผู้กำกับ: Paul Greengrass (The Bourne Ultimatum, Captain Phillips, United 93)
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 100 / 154 ล้านเหรียญฯ

THE HURT LOCKER (2008)

The Hurt Locker (เป็นคำอุปมาอุปไมยถึงการออกไปกู้ระเบิดของเหล่าทหารอิรัก) ว่าด้วยเรื่องราวของทีมกู้ระเบิดของกองทัพสหรัฐฯ ที่ปฏิบัติภารกิจในประเทศอัฟกานิสถาน ประเทศที่กระสุนปืนและระเบิดหาได้จากทุกหัวระแหง ทุกนาทีของชีวิตของประชาชนแขวนอยู่บนเส้นด้าย ประมาณหนึ่งเดือนก่อนปลดประจำการ มือกู้ระเบิดของหน่วยทหารเกิดเสียชีวิตลงระหว่างทำภารกิจ จ่าสิบเอก William James (Jeremy Renner) จึงถูกส่งตัวมาทำหน้าที่แทน เขามีฝีมือการปลดชนวนระเบิดที่ไม่เป็นรองใคร

แต่ที่มีมากกว่านักเก็บกู้ระเบิดคนอื่น ๆ ก็คือ ความกล้าและความบ้าดีเดือด งานนี้ต้องใช้สมาธิ ความสุขุม รอบคอบ เนื่องจากงานของพวกเขาได้กุมชะตาชีวิตของใครหลายคนเอาไว้ในมือ แน่นอนรวมทั้งชีวิตตัวเองด้วย การทำงานในแบบของ James ที่เสี่ยงตายกู้ระเบิดโดยอาศัยดวงเข้าช่วย จึงถูกลูกน้อง 2 คนในทีมต่อต้าน พวกเขาต้องการจะกลับบ้านแบบมีชีวิตกับเวลาที่เหลืออยู่อีกไม่นาน ยิ่งนานวันก็ยิ่งสติแตกกันมากขึ้นว่า ทีมกู้ระเบิดจะเอาตัวรอดจากไฟแห่งสงครามครั้งนี้ได้อย่างไร

เบื้องหลังของหนังนั้น เดิมทีผู้กำกับ Kathryn Bigelow ตั้งใจจะถ่ายทำที่ฐานทัพของสหรัฐฯ ในประเทศคูเวต แต่สุดท้ายหนังไม่ได้รับอนุญาต จึงไปถ่ายทำที่กรุงอัมมาน ประเทศจอร์แดนใกล้ ๆ กับประเทศอิรักแทน ซึ่งในเวลาที่ไปถ่ายทำนั้นตรงกับช่วงศีลอดของชาวมุสลิมในพื้นที่ตะวันออกกลางพอดี ทีมงานที่ไม่ได้นับถือศาสนอิสลามจึงจำเป็นต้องทานอาหารและน้ำในที่ลับ เนื่องจากการทำแบบนั้นในที่แจ้งอาจเสี่ยงต่อการถูกเข้าใจเป็นการลบหลู่ศาสนาอิสลาม

หนังเรื่องนี้เข้าฉายในวงกว้างปี 2009 (จึงไปรับรางวัลออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในปี 2010) แต่เริ่มเดินสายงานเทศกาลมาก่อนแล้วตั้งแต่ปี 2008 ในทีแรก Bigelow ไม่มั่นใจว่าจะกำกับภาพยนตร์สงครามที่เหมาะกับผู้กำกับผู้ชายมากกว่าดีหรือไม่ แต่เมื่อส่งบทไปขอคำปรึกษาจากอดีตสามีที่เป็นผู้กำกับระดับโลกอย่าง James Cameron เขาก็สนับสนุนให้เธอกำกับทันที นอกจากนี้หนังยังเป็นเรื่องแจ้งเกิดของ Jeremy Renner ที่เล่นหนังมานานแต่ไม่ดังเสียที เขาต้องสวมชุดกู้ระเบิดจริง ๆ ตลอดการถ่ายทำในทะเลทราย

Kathryn Bigelow กำกับ The Hurt Locker
Kathryn Bigelow กำกับ The Hurt Locker
  • สมรภูมิรบ/ปีที่เกิดเหตุการณ์: ประเทศอิรัก ปี 2003 เป็นต้นมาจนถึงเวลาถ่ายทำสงครามอิรักก็ยังไม่จบ
  • นักแสดง: Jeremy Renner, Ralph Fiennes, Evangeline Lilly, Guy Pearce, Anthony Mackie
  • ผู้กำกับ: Kathryn Bigelow (Zero Dark Thirty, K-19: The Widowmaker, Point Break)
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 15 / 49 ล้านเหรียญฯ
  • บทบาทบนเวทีออสการ์:
    • ชนะ 6 สาขารางวัล (ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม, บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม, ผสมเสียงยอดเยี่ยม, ตัดต่อเสียงยอดเยี่ยม)
    • เข้าชิง 3 สาขารางวัล (นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (Jeremy Renner), ถ่ายภาพยอดเยี่ยม, เพลงประกอบยอดเยี่ยม)

(อ่านต่อหน้าถัดไป)

THE KINGDOM (2007)

หนังเล่าเรื่องของทีม FBI 4 คนที่เดินทางไปยังประเทศซาอุดิอาระเบียเพื่อสืบสวนเหตุก่อการร้ายอุกอาจที่มียอดผู้เสียชีวิตนับร้อย โดยเหยื่อเป็นครอบครัวชาวอเมริกันที่อาศัยอยู่ในชุมชนของบริษัทน้ำมันที่พวกเขาเป็นลูกจ้าง หนังพาคนดูไปสำรวจกระบวนการต่าง ๆ ของระบบที่ FBI ไม่ได้สามารถสืบสวนได้ทันที แต่ยังมีการทับซ้อนซึ่งอำนาจในการทำการสืบสวนภายใต้คดีนี้มากมาย ตั้งแต่ความขัดแย้งระหว่าง FBI กับกระทรวงการต่างประเทศ, ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และซาอุดิอาระเบีย, กฎเกณฑ์มากมายที่ทางการซาอุดิอาระเบียเข้ามาควบคุมเจ้าหน้าที่อเมริกันอย่างใกล้ชิดจนทำงานแทบไม่ได้, ความไม่ลงรอยกันเองระหว่างหน่วยทหารและหน่วยงานรัฐต่าง ๆ ในท้องที่เอง

ผู้กำกับ Peter Berg ที่เชี่ยวชาญการทำหนังที่จากเรื่องจริง ทั้ง Patriots Day (2016), Deepwater Horizon (2016) และ Lone Survivor (2013) ที่ก็อยู่ในลิสต์ของบทความนี้ด้วย เขาเกิดแนวคิดจะสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ตั้งแต่ปี 1995 เมื่อเขาได้เห็นข่าวผู้ก่อการร้ายกลุ่ม “โคบาร์ ทาวเวอร์ส” ที่ลงมือก่อเหตุระเบิดรถขนน้ำมันในเมืองโคบาร์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย เหตุการณ์ครั้งนั้นมีชาวอเมริกันเสียชีวิตถึง 19 คนและชาวซาอุดิอาระเบียอีก 1 คน ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บก็มากถึง 372 คนเลยทีเดียว

เบื้องหลังการถ่ายทำนั้น ทีมงานยกกองไปถ่ายทำที่เมืองอาบูดาบีของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์นาน 8 วัน ทีมที่ปรึกษาของภาพยนตร์ต้องทำคู่มือแนะนำการปฏิบัติตัวให้นักแสดงและทีมงานความยาว 17 หน้า เพื่อให้ทุกคนระมัดระวังการแสดงท่าที่บางอย่างที่อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นการดูหมิ่นคนพื้นที่ เช่น การใช้มือซ้ายหรือการยกฝ่าเท้าหรือรองเท้าขึ้นมา นอกจากนั้นหนังถ่ายทำกันที่เมืองฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนาในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเมืองที่ร้อนมากถึง 46 องศาเซลเซียสจนทำให้ Jennifer Garner นางเอกของเรื่องล้มป่วยถึง 2 ครั้ง

  • สมรภูมิรบ/ปีที่เกิดเหตุการณ์: อ้างอิงจากเหตุการณ์ในประเทศซาอุดิอาระเบีย ปี 1995
  • นักแสดง: Jamie Foxx, Jason Bateman, Jennifer Garner, Kyle Chandler, Danny Huston, Chris Cooper, Richard Jenkins
  • ผู้กำกับ: Peter Berg (Lone Survivor, Hancock, Battleship)
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 70 / 87 ล้านเหรียญฯ

JARHEAD (2005)

ตัวหนังเล่าเรื่องของ Anthony Swofford (Jake Gyllenhaal) (เจ้าของหนังสือที่หนังดัดแปลงมา) ทหารเกณฑ์วัย 20 ปีที่ไม่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ จึงต้องมาสมัครเป็นทหาร โดยเขาถูกส่งตัวไปยังทะเลทรายประเทศซาอุดิอาระเบีย เพื่อร่วมรบในสงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งแรก (รบกับประเทศอิรัก) หนังจะพูดถึงชีวิตทหารการใช้ชีวิตในค่ายทหารตั้งเเต่ฝึกจนส่งไปประจำการเเละการต่อสู้กับความน่าเบื่อในการรอให้สงครามเกิดขึ้น ระหว่างนั้นทหารวัยรุ่นก็เลยต้องเล่นอเมริกันฟุตบอลแบบต้องสวมหน้ากากกันแก๊สพิษ รอจดหมายและหนังสือโป๊ เล่นพนันดัดแมงป่อง และเมาหัวราน้ำ ส่วนคำว่า Jarhead นั้นเป็นศัพท์แสลงเรียกเราทหารซึ่งเเปลเป็นไทยได้ประมาณว่า “ไอ้หัวเกรียน”

หนังดัดแปลงจากหนังสือนิยายของ Anthony Swofford ที่ติดอันดับหนังสือขายดีของ The New York Times นานถึง 9 สับดาห์และได้รับการพูดถึงว่าเป็นหนังสือเล่าความทรงจำถึงสงครามอ่าวเปอร์เซียในประเทศอิรัก ปี 1991 ได้อย่างดี ส่วนผู้กำกับของหนังอย่าง Sam Mendes เจ้าของรางวัลออสการ์จาก American Beauty (1999) ก็เป็นคนสร้างหนังที่เน้นความสมจริงมาตลอด เขาได้กำกับหนังสงครามอีกครั้งใน 1917 (2019) แต่เป็นเรื่องของสงครามโลกครั้งที่ 2 และเข้าก็ได้เข้าชิงออสการ์อีกครั้ง ส่วนมือเขียนบทของเรื่องคือ William Broyles Jr. ที่เคยเข้าชิงออสการ์จาการเขียนบท Apollo 13 (1995) และยังเขียนบท Flags of Our Fathers (2006) อีกเรื่องด้วย

  • สมรภูมิรบ/ปีที่เกิดเหตุการณ์: ประเทศซาอุดิอาระเบียและประเทศอิรัก ปี 1991
  • นักแสดง: Jake Gyllenhaal, Jamie Foxx, John Krasinski, Peter Sarsgaard, Chris Cooper
  • ผู้กำกับ: Sam Mendes (1917, 007 Skyfall, American Beauty)
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 72 / 97 ล้านเหรียญฯ

TEARS OF THE SUN (2003)

หน่วยซีลของสหรัฐฯ ได้รับภารกิจให้นำตัว Dr. Lena Fiore Kendricks หมอที่ได้เข้าไปร่วมกับคณะเผยแพร่ศาสนาคริสต์และรักษาผู้คนที่อยู่ในชนบทประเทศไนจีเรีย คนเหล่านี้เป็นชาวบ้านและอยู่ห่างไกลความเจริญแถมยังต้องเผชิญกับภาวะสงครามจากกลุ่มกองกำลังปฏิวัติซึ่งเข้ามารุกรานชาวบ้าน เมื่อกองกำลังปฏิวัติได้เข้าปกครองและฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวบ้านจึงทำให้ Dr. Lena ไม่ปลอดภัย สหรัฐฯ จึงได้ส่งทีมซีลทีมนี้เข้ามาช่วย

Bruce Willis รับบทเป็น เรือโท A.K. Waters หัวหน้าทีมหน่วยซีล เมื่อทีมของ Waters มาถึงก็ได้พบกับ Dr. Lena เธอกลับปฏิเสธที่จะได้รับความช่วยเหลือ เพราะอยากอยู่กับชาวบ้านกลุ่มนี้ ทำให้ทหารซีลที่ต้องการทำภารกิจของตนให้สำเร็จ ต้องหาอุบายเพื่อจะเอาตัวเธอกลับไปให้ได้ จึงตัดสินใจพาชาวบ้านกลุ่มที่หมอ Lena ดูแลอยู่ไปด้วยโดยบอกว่าจะพากลับไปยังจุดนัดพบเฮลิคอปเตอร์ เมื่อมาถึงทุกคนจึงได้รู้ว่ามีเฮลิคอปเตอร์บรรทุกคนได้เพียงลำเดียวเท่านั้น Dr.Lena จึงจำใจขึ้นไป ระหว่างเฮลิคอปเตอร์บินอยู่นั้นนักบินก็ได้ชี้ให้ทหารซีลเห็นว่าที่อยู่อาศัยเดิมของชาวบ้านกลุ่มนี้ได้ถูกกองกำลังปฏิวัติทำลายและฆ่าผู้คนล้มตายจำนวนมาก ทหารหน่วยซีลจึงตัดสินใจทำนอกเหนือคำสั่งกลับไปช่วยชาวบ้าน

หนังได้รับแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์จริงของหน่วยทหารของประเทศแคนาดาชื่อ JTF2 (Joint Task Force Two (JTF2) ที่เขาไปปฏิบัติภารกิจในประเทศโคลอมเบีย อดีตทีมคอมแมนโดของหน่วยทหารหน่วยนี้ได้เขียนโครงเรื่องคราว ๆ เอาไว้และต่อมาโครงเรื่องได้ถูกนำไปเสนอกับทีมสร้างหนังเรื่อง Executive Decision (1996)

หนังจึงได้เริ่มเดินหน้า ซึ่งเดิมที่มีแผนจะไปถ่ายที่ทวีปแอฟริกาแต่ต้องเปลี่ยนแผนมาเป็นรัฐฮาวาย เพราะหลังเหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายน 2001 การเดินทางของทีมงานกองใหญ่ไปไกล ๆ นั้นมีข้อจำกัดเยอะมากขึ้น นอกจากนั้นทีมสร้างยังต้องจ้างนักแสดงเชื้อชาติแอฟริกาจำนวนมากมาเล่นเป็นชาวบ้านซึ่งแทบจะจ้างมาหมดฮอลลีวูดเลยทีเดียว ส่วนทีมนักแสดงนำนั้นก็ต้องเข้าฝึกเป็นเวลา 2 สัปดาห์กับทีมซีลตัวจริงเพื่อให้แสดงออกมาสมจริงที่สุด

  • สมรภูมิรบ/ปีที่เกิดเหตุการณ์: ประเทศโคลอมเบีย ปลายยุค 1990s
  • นักแสดง: Bruce Willis, Monica Bellucci, Cole Hauser, Tom Skerritt, Peter Mensah
  • ผู้กำกับ: Antoine Fuqua (The Equalizer 1-2, Olympus Has Fallen, Shooter)
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 75 / 86 ล้านเหรียญฯ

BLACK HAWK DOWN (2001)

Black Hawk Down คือภาพยนตร์ที่ว่าด้วยเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์รบแบบ “แบล็คฮอว์ก”  ที่ทันสมัยที่สุดของอเมริกันในเวลานั้น ดันถูกยิงตกถึง 2 ลำด้วยฝีมือของนักรบพื้นเมืองและด้วยอาวุธยิงทำลายอากาศยานที่ธรรมดามาก ชนวนของสงครามในดินแดนนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 1992 ที่ประเทศโซมาเลีย ทวีปแอฟริกาตะวันออก ซึ่งภายในประเทศเกิดสงครามระหว่างชนเผ่าที่มีความแตกต่างกันทางด้านศาสนา ประชาชนต้องล้มตายลงเพราะสงครามนี้อีกร่วม 300,000 คน Mohamed Farrah Aidid คือผู้นำฝ่ายมุสลิมที่ตั้งตัวเป็นใหญ่อยู่ที่เมืองโมกาดิชู

Aidid ถูกประณามจากนานาชาติอย่างมาก แต่ก็ไม่ยอมลงจากอำนาจ แต่ยอมรับเพียงแค่การช่วยเหลือทางด้านอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรคเท่านั้น อย่างไรก็ตามสิ่งของต่าง ๆ ที่นานาชาติยื่นมือเข้าช่วยเหลือกลับไม่ถึงมือของประชาชน เพราะกองกำลังติดอาวุธของ Aidid ได้ใช้กำลังเข้าแย่งชิงมาสู่มือของพวกพ้องตัวเอง  เพื่อตัดกำลังของชนเผ่าอื่นที่มีความแตกต่างกันทางศาสนา สหรัฐอเมริกาจึงเป็นโต้โผใหญ่ในการตอบโต้ โดยสหรัฐฯ ได้ส่งนาวิกโยธิน 20,000 นายเข้าไปคุ้มครองการให้ความช่วยเหลือของนานาชาติ เพื่อให้สิ่งของบรรเทาทุกข์ต่าง ๆ ถึงมือประชาชนชาวโซมาเลียทุกคน

เหตุการณ์ในหนังเริ่มต้นเมื่อวันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม 1993 เฮลิคอปเตอร์แบล็คฮอว์ก รหัส  Super Six Four ได้ออกบินปฏิบัติภารกิจคุ้มกันการส่งเสบียงของหน่วยบรรเทาทุกข์ และได้เห็นการสังหารหมู่จากฝีมือของกองกำลัง Aidid  Super Six Four จึงขออนุญาตต่อหน่วยเหนือเพื่อเข้าทำการช่วยเหลือ แต่เนื่องจากกฎการปะทะได้กำหนดไว้แล้ว ทำให้ Supper Six Four ไม่สามารถใช้ปืนยิงช่วยเหลือได้ และพวกเขาต้องจำใจถอนกำลังออกมา

ภารกิจต่อมาเฮลิคอปเตอร์แบล็คฮอว์ก รหัส  Super Six One ถูกยิงด้วยจรวด RPG ตก นักบินทั้ง 2 นายตายคาที่ พลรบ 2 นายที่อยู่บนเครื่องด้วยกันบาดเจ็บสาหัสหนึ่งและบาดเจ็บอีกหนึ่ง นายพล Garrison (Sam Shepard) สั่งการให้ทีมรถลาดตระเวนคอนวอยของ McKnight (Tom Sizemore) ย้อนกลับไปรับผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต พร้อมกับที่สั่งให้ Star Four One ซึ่งเป็นชื่อเรียกของเฮลิคอปเตอร์คุ้มกันแบบ Littlebird เข้าไปคุ้มกันผู้บาดเจ็บที่ซากเครื่อง Super Six One โดยทางภาคพื้นดิน

ผู้กอง Steele (Jason Isaacs) หัวหน้าทีมเรนเจอร์ก็วิทยุสั่งจ่า Eversmann (Josh Hartnett) ซึ่งเป็นหน่วยคุ้มกันภาคพื้นดินที่อยู่ใกล้จุดตกมากที่สุด แบ่งกำลังเข้าไปช่วยเหลือด้วยเช่นกัน นอกจากนั้น Super Six Four ที่กำลังจะเข้าไปช่วยเหลือก็ถูกยิงตกเป็นลำที่ 2 หน่วยเหนือจึงต้องส่งกำลังเสริมเข้าสู่สนามรบอย่างแทบจะเป็นภารกิจฆ่าตัวตาย เข้าไปช่วยเหลือทหารจากเฮลิคอปเตอร์ตกที่ยังรอดชีวิตอยู่

ผมอยากให้มันตรงตามความเป็นจริงที่สุด แค่วิ่งข้ามถนนต้องรู้สึกให้ได้ว่ามันโกลาหล อย่างทหารคนนึงที่นิ้วโป้งหลุด หรืออีกคนที่โดนระเบิดใส่จนตัวขาด 2 ท่อน หรือมือข้างนึงที่ร่วงอยู่บนพื้นแล้วมีใครคนนึงเก็บมาเพียงเพราะมีนาฬิกาของกองทัพคาดอยู่” Ridley Scott ผู้กำกับที่ได้เข้าชิงออสการ์จากเรื่องนี้ด้วยเล่าเอาไว้

Ridley Scott ในกองถ่าย Black Hawk Down (2001)

การถ่ายทำเกิดขึ้นในกรุงราบัต ประเทศโมร็อกโกซึ่งเต็มไปด้วยทีมรักษาความปลอดภัยเข้มงวด นักแสดงชายมากมายต่างได้รับการเกณฑ์เข้ามาจนเรียกได้ว่านี่คือหนังที่อุดมไปด้วยดาวรุ่งดวงใหม่ Ridley เผยว่า .
เดิมทีในต้นฉบับหนังสือของ Mark Bowden มีตัวละครเป็นร้อยตัว จนสุดท้ายต้องตัดให้เหลือแค่ 37 คน “ผมโทรไปชวนนักแสดงดัง ๆ หลายคนมาเล่น และต้องถามว่า “มาไหม แต่บทคุณจะไม่เด่นหรอกนะ แต่ผมรับปากได้ว่านี่จะเป็นประสบการณ์ที่สุดยอด”

  • สมรภูมิรบ/ปีที่เกิดเหตุการณ์: ประเทศโซมาเลีย ปี 1993
  • นักแสดง: Ewan McGregor, Eric Bana, Orlando Bloom, Nikolaj Coster-Waldau, William Fichtner, Jason Isaacs, Tom Sizemore, Sam Shepard, Tom Hardy
  • ผู้กำกับ: Ridley Scott (The Martian, Alien, G.I. Jane)
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 92 / 172 ล้านเหรียญฯ
  • บทบาทบนเวทีออสการ์:
    • ชนะ 2 สาขารางวัล (ตัดต่อเสียงยอดเยี่ยม และผสมเสียงยอดเยี่ยม)
    • เข้าชิง 2 สาขารางวัล (ผู้กำกับยอดเยี่ยม และถ่ายภาพยอดเยี่ยม)

BEHIND ENEMY LINES (2001)ดูได้บน Netflix

ภารกิจของ Burnett (รับบทโดย Owen Wilson ซึ่งน้อยครั้งมากที่จะเห็นเขาในหนังแอ็กชันและไม่ใช่หนังตลก) ทหารพลร่มหรือนักรบพิเศษซึ่งเป็นนักบินของกองทัพเรือ เมื่อเครื่องบินของเขาถูกข้าศึกยิงตก ขณะปฏิบัติภารกิจสอดแนมถ่ายภาพทางอากาศในบอสเนีย (เคยเป็นส่วนหนึ่งของประเทศยูโกสลาเวีย ปัจจุบันคือประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา) ทำให้เขาต้องสละเครื่องโดยการดีดตัวออกมาพร้อมกับเพื่อนนักบิน

เมื่อเพื่อนนักบินถูกฝ่ายข้าศึกจับตัวและถูกฆ่า ในขณะที่ Burnett ติดต่อขอความช่วยเหลือจากผู้บังคับบัญชาพลเรือเอก Reigart (Gene Hackman) ให้ส่งความช่วยเหลือมาโดยเร็วที่สุด ขณะที่ Reigart เองก็ถูกมัดมือชกจากหน่วยเหนือไม่ให้เข้าไปช่วยนักบินของเขา แต่ในที่สุดเขาจะก็ตัดสินใจช่วยเหลือลูกน้องและเพื่อรักษาหลักฐานภาพถ่ายที่พวกเขาถ่ายเอาไว้ให้ได้กลับมาอย่างปลอดภัย ส่วน Burnett ต้องใช้ทักษะและความสามารถของหน่วยรบพิเศษในการเล็ดลอดหลบหนีจากดินแดนของศัตรู Burnett ต้องใช้เครื่องมือในการติดต่อสื่อสารอย่างยากลำบาก และต้องซ่อนตัวในกองซากศพจากทหารในสงครามเพื่อเอาตัวรอด

หนังสร้างจากเรื่องจริงของทหารชื่อว่า Scott Francis O’Grady ซึ่งเป็นคนนิวยอร์กและพ่อของเขาก็เป็นทหารเรือเช่นเดียวกัน เขาจึงอยากเป็นทหารตามพ่อ เหตุการณ์จริงเกิดขึ้นในปี 1992 เมื่อชาวเซิร์บต้องการจะปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระ สหประชาชาติได้กำหนดข้อตกลงร่วมกันในเวลานั้นให้เขตบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาเป็นเขตห้ามอากาศยานใด ๆ บินผ่านได้ แต่เหตุการณ์ก็เป็นอย่างในหนังเล่า องค์การนาโตที่นำทีมโดยสหรัฐฯ บินถ่ายภาพทางอากาศเหนือบริเวณนั้น และชาวเซิร์บก็ยิงเครื่องบินของ O’Grady ตกเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ปี 1995 สหรัฐฯ ก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในการช่วยเหลือนักบินของตัวเอง เพราะเท่ากับจะเป็นการผิดข้อตกลงระหว่างประเทศที่ตั้งไว้โดยสหประชาชาติทันที

อย่างไรก็ตามเมื่อหนังออกฉายในปี 2001 O’Grady ก็ได้ทำการฟ้องบริษัทหนังและทีมสร้างหนังด้วยเหตุที่ว่า หนังไม่ได้เคารพต่อตัวเขาและความเป็นจริงที่เกิดขึ้น อย่างเช่น เขาได้รับอิสรภาพอย่างง่ายดายซึ่งของจริงไม่ได้ง่ายแบบนั้น นอกจากนี้หนังยังเซ็ตตัวละคร Burnett ที่ก็หมายถึงตัวเขานั้นให้เป็นคนอวดดี รวมถึงหลาย ๆ อย่างในหนังก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริงและทำให้ตัวละครนี้เป็นฮีโรมากไป ในช่วงเวลานั้นที่ O’Grady ได้เปลี่ยนมาทำอาชีพเป็นครูสอนหนังสือจึงรู้สึกไม่อยากให้เด็ก ๆ เข้าใจผิดเกี่ยวกับตัวเขา

  • สมรภูมิรบ/ปีที่เกิดเหตุการณ์: ดินแดนบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา ปี 1995
  • นักแสดง: Owen Wilson, Gene Hackman, Gabriel Macht, Charles Malik Whitfield, David Keith
  • ผู้กำกับ: John Moore (A Good Day to Die Hard, Max Payne, The Omen)
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 40 / 91 ล้านเหรียญฯ

อ้างอิง

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส