7th Sense แรงบันดาลใจจาก Idol Girl Group แดนปลาดิบ ปรับสีเติมกลิ่นให้เข้ากับคนไทยมากขึ้น เริ่มนับหนึ่งด้วยใจ ขับเคลื่อนไปด้วยคนในวงการเพลง + ผู้เชียวชาญด้านการวางแผนธุรกิจ มาทำความรู้จักกับพวกเค้ากันครับ

รวม : เลดี้ เฟิร์สเลยครับ
เอย : ก็สวัสดีนะคะ ชื่อ ธัญฤทัย จตุรธำรง ชื่อเล่นชื่อเอยค่ะ ก็นอกจากทำ 7th Sense แล้วนะคะ ก็ ตอนนี้ก็ทำงานอยู่ที่โรงเรียน Crème Academy เป็นโรงเรียนทางด้านสื่อ พัฒนาสื่อ สร้างสรรค์ค่ะ ก็เป็น academic coordinator ก็เป็นฝ่ายวิชาการของที่นี่ค่ะ

หน้าไม่เหมือนวิชาการเท่าไหร่
รวม : หัวเราะ
เอย : ทำไมหรอคะ

หน้าดูบันเทิง
เอย : ใช่ เป็นสื่อบันเทิงไงคะ สื่อสร้างสรรค์ สื่อบันเทิง ก็เลย academic ก็เลยเป็นแบบเนี่ย มันจะได้ครีเอทีฟกันหน่อย ก็รับฟรีแลนซ์บ้าง เป็นนักร้อง วงสวนพลู พาร์คค่ะ ก็เดี๋ยวจะมีไปแข่ง

คือเป็นนักร้อง
เอย : ด้วยค่ะ ทางด้านดนตรี

เคยมีวง มีอะไรไหม
เอย : อยู่วงคอรัสค่ะ สวนพลู คอรัสนี่เป็นวงประสานเสียงของ อ.ดุษฎี พนมยงค์ ลูกสาวของท่านปรีดีย์ พนมยงค์ ส่วนใหญ่ก็ทำตรงนี้ซะส่วนใหญ่ แล้วก็เป็นอุปกรณ์ด้านการเรียนอะไรอย่างนี้ ทั่วไปธรรมดา

เคยร้องเพลงประกอบละคร หรืออะไรยังไงไหมครับ
เอย : อ๋อ ถ้าอย่างนั้นเป็น … เมื่อนานมาแล้วค่ะ เป็นฝ่ายประกวดมากกว่าค่ะ เป็นประกวดแต่งเพลง ค่ะ ตั้งแต่มัธยมได้ถ้วยพระราชทานมาจากสมเด็จพระเทพฯ 2 รางวัล แต่นานมากมาแล้ว

 

4 ผู้บริหาร 7th Sense

(จากซ้าย เอย ธัญฤทัย จตุรธำรง / พิม พิมพ์พร ขยันเขียน / เอก เอกณรินทร์ ไวยะกรรณ์  / จ๊อบ พัชระเมศฐ์ สงวนสันติกุล )

ส่วนใหญ่เรามักจะเห็นกันเป็นการทั่วไปว่า สัมภาษณ์เมมเบอร์กัน ไม่ได้คุยกับผู้บริหารถึงที่มาความไปกันสักเท่าไหร่ เพราะด้วยเนื้อแท้ของทุกความสำเร็จนั้น มักจะก่อเกิดจากพลังงานสะสมภายในที่รอวันจะฉายแสง จากผู้ก่อการนี่แหละครับ เพราะงั้น แรงบันดาลใจ พลังขับเคลื่อนที่ถูกส่งผ่านจากพวกคุณ คือขุมกำลังส่งต่อไปยังน้องๆ

เอย : แต่แรงบันดาลใจจริงๆ ก็คือ ที่ไปจบมาปริญญาโทอะค่ะ เกี่ยวกับ music industry ที่ลิเวอร์พูลแล้วพอมาอยู่ตรงนี้ เป็นพื้นทีที่เราได้จับของจริงละ เราได้เอาความรู้ที่เราลองไปเรียนมาเนี่ยมาทำจริงๆ

ในเชิง Business เลยใช่ไหม
เอย : ทั้งเชิง Business เชิงวิชาการ เชิงทุกอย่างเลยค่ะ ที่มันลงสนามจริงแล้ว

เกี่ยวกับ MUSIC
เอย : เกี่ยวกับ music industry เลยค่ะ อุตสาหกรรมดนตรี ว่าจะขายยังไง หรือผลิต พัฒนาศิลปินอย่างไร มีแนวทางอย่างไรดี จะตีตลาดยังไง จัดเต็มมาก

 

ดีกรี สวยเก่งเบอร์นี้ ชักเริ่มจะน่าสนใจกันแล้วใช่ไหมหละครับ ไว้มีเวลามานั่งคุยกันแบบส่วนตัวกับครูเอยแบบเจาะลึกกันอีกรอบก็น่าจะเป็นประโยชน์ดี

เชิญท่านต่อไปครับ
พิม : สวัสดีค่ะ ชื่อพิมนะคะ พิมพ์พร ขยันเขียนค่ะ ตอนนี้ก็ทำเป็นผู้จัดการศิลปิน นักแสดงค่ะ ก็มีแบบว่าทั้งเล่นของช่อง 3 ของช่อง 7 แล้วก็ของแกรมมี่ ของฟรีแลนซ์อะไรอย่างนี้ด้วยค่ะ

ดูแลศิลปิน
พิม : ใช่ค่ะ ดูแลศิลปิน นักแสดง

มีใครที่เรารู้จักบ้างไหมครับ
พิม : อืม จะเป็นดาราวัยรุ่นอะไรอย่างนี้ค่ะ ถ้ามีน้องที่เล่นช่อง 7 ชื่อมิ้นท์ บารมิตาค่ะ ก็จะมีเล่นเป็นนางเอกแล้วก็มีนางรองบ้าง

คืออาชีพของคุณเลยใช่ไหม ก็คือเป็นคนดูแลศิลปิน
พิม : ใช่ค่ะ พิมก็ทำเอง พิมเป็นฟรีแลนซ์ของพิมเองตั้งแต่แรกก็คือแบบ พิมเริ่มตั้งแต่แบบว่า หาเด็กมา แล้วก็เหมือนปั้นเด็ก แล้วก็เทรนเด็ก แล้วก็ค่อยไปแบบเสนอ

พี่พจน์นี่ พี่พจน์เวอร์ชั่นผู้หญิง
พิม : แล้วก็ค่อยๆ เริ่มมา โอกาสก็ได้รับมาเรื่อยๆ จนเด็กได้เข้าไปเล่นละคร เล่นซีรี่ส์ เล่นเอ็มวี ก็คือแบบถ้าเกิดว่า ส่วนใหญ่ เจ้าของงาน ลูกค้า เค้านึกว่าถ้าน่ารัก ใสใส สดใส จะนึกถึงพิม จะเน้นแบบว่าเด็กน่ารัก ธรรมชาติ สดใส แบบว่ามีพลังบวก อะไรประมาณนี้อะค่ะ

แต่ก็คือยังไม่มีประเภทที่แบบ ดังพุ่งออกมาเลย
พิม : อ๋อ ก็จะมีแบบที่ เกิร์ลกรุ๊ปบ้างนิดหน่อยอะค่ะ ที่แบบ วง soundcream

อ้าวหรอ วง soundcream
พิม : ใช่ค่ะ ประมาณนี้ แล้วก็จะมีแบบพวกนางเอกเอ็มวี แบบเอ็มวีของหลายๆ เพลงเลยค่ะ ของบอย พีชเมคเกอร์ ของ ETC อะค่ะ เล่นหนังเล่นซีรี่ส์อะค่ะ เป็นวัยรุ่นจะไม่ได้เป็นเบอร์ใหญ่อะไรขนาดนั้น

เป็นสายดูแลศิลปิน
พิม : ใช่ค่ะ แล้วก็มีแบบว่าเปิดสตูดิโอให้เช่าถ่ายภาพอะไรอย่างนี้อะค่ะ ก็คือมีเอาไว้ใช้ของตัวเองด้วย แล้วแหมือนแบบอยากจัดบ้านด้วย ก็เหมือนอารมณ์แบบว่าอยากแต่งบ้านด้วย แต่งเฟอร์นิเจอร์ด้วย แล้วคนเข้ามาใช้บริการสตูฯเรา เราก็แบบอุ้ยแบบของน่ารัก มุ้งมิ้งอะไรอย่างนี้ ก็เหมือนทำตามตัวเองชอบอะไรอย่างนี้ค่ะ
พิม : แล้วที่เข้ามา โปรเจคนี้ได้ก็เหมือน พิมก็เป็นคนที่แบบชอบดู เรียลลิตี้ต่างๆ ตั้งแต่สมัย AF นู้นนี้ THE STAR อะไรอย่างนี้ค่ะ แล้วก็ตามพวกไอดอลวงต่างๆ ด้วย แล้วก็เหมือนอินกับเรื่องพวกอย่างนี้อยู่แล้ว แล้วพอว่ามีโปรเจคอย่างนี้เข้ามาคุย แล้วดูน่าสนใจคือแบบแต่ก่อนเราอยู่บ้าน เราดู AF ผ่านทาง TV ใช่ไหมคะ แต่อันนี้วันที่เข้ามาคุยกับทุกคนแบบว่าเหมือนเราได้เข้ามาอยู่ ในบ้าน AF อย่างนี้มันก็ยิ่งทำให้เราแบบอิน แบบว่าเราชอบในการที่แบบปั้นเด็กเห็นเด็กพัฒนาอะไรอย่างนี้อะค่ะ แล้วมันจะแบบเอ้ย มีความสุข มันอยู่ตรงนี้มันก็เลยแบบ มี PASSION ทำงาน ไม่เหนื่อยแล้วก็เวลาเห็นน้องดีขึ้นๆ อะไรอย่างนี้ แบบจากคนที่อาจจะแบบบางทีหลงทางไปทางนู้นแล้วเราก็แบบชี้จุดพาน้องมาดีขึ้นอะไรอย่างนี้เราก็แบบมีความสุขอีก อินไปด้วยอะไรอย่างนี้ค่ะ

จริงๆ แล้ว ทุกคนเป็นเพื่อนกันอยู่ก่อนไหม หรือว่าเป็นเพื่อนต่อเพื่อน
พิม : ไม่เลยค่ะ

คนละทิศคนละทาง
เอย : เพื่อนของเพื่อน
พิม : แต่พิมก็แบบพึ่งมาเจอทุกคนวันนั้นวันแรกอะไรอย่างนี้ แล้วก็มาลองคุยมาดูโปรไฟล์แต่ละคน ดูทัศนคติแต่ละคน มันมีทางไปในทางเดียวกันอย่างนี้ค่ะ ทุกคนแบบทำเพื่อเด็กอะไรอย่างนี้ เหมือนครูเอย ครูเอก ครูจ๊อบก็แบบว่าตามล่าหาความฝันเหมือนกันแล้วเขาก็เออดูมี Passion เราเป็นคนมี Passion สูงมากเราเลือกทำงานกับคนที่แบบมี Passion สูงแล้วแบบมีพลังบวกแล้วมันจะไปได้ดีกว่าอะไรอย่างนี้อะค่ะ งั้นมาลองทำด้วยกันแต่ละคนก็มีความถนัดคนละทาง มาช่วยกัน

 

ต่อไป พี่เอก
เอก : สวัสดีครับ ผมชื่อเอกครับ เอกณรินทร์ ไวยะกรรณ์ ก็ก่อนหน้าก็เป็นอาจารย์สอนดนตรี ก็เป็นวิทยากรให้ตามมหาลัยเกี่ยวกับเรื่องของดนตรี ดนตรีสร้างสรรค์ ทางด้านไวโอลินโดยเฉพาะเพราะผมจบดนตรีมา จบทางด้านไวโอลินแล้วก็ทำหน้าที่เป็นทั้ง songwriter, music director, music score ให้กับไม่ว่าจะเป็นหนังสั้น หนังอะไรต่างๆ นานาของบริษัทนะครับ เพราะยังมีบริษัท บริษัทนึงของพี่แจ๊ค ชื่อ M Media ครับที่ผมทำงานร่วมด้วย แล้วก็มีแอบมีแจมๆ แสดงนิดๆ หน่อยๆ อะไรอย่างนี้

ผลงานสร้างชื่อ
เอก : อืม ยังไม่สร้างครับตอนนี้ 7th Sense ผลงานจริงๆ หลักๆ ก็ มันก็จะมีหนังเรื่องแทร็คที่ 9 ที่ทำให้ในหลวงอะครับที่พี่จั๊ก ชวินเป็นคนร้อง ใช่ แล้วผมก็เป็นคนเขียนเนื้อร้อง ทำนองทำดนตรีให้ แล้วก็มีร่วมเป็นศิลปินให้เขาเรียกเป็นแบ็คอัพ ร่วมกับทีมของพี่จั๊ก ชวิน ทีมนายละมุนฮะ ช่วงก่อนที่ๆ … ก็คือเราเป็นอีกศิลปิน คือผมก็เป็นศิลปินด้วยอีกกลุ่มหนึ่งชื่อวง ALL TOO ซึ่ง ALL TOO นี่จะเล่นสไตส์แบบยิปซีก็ไม่ใช่แต่เหมือนสไตส์ฟิวชั่นที่เล่น แอคคอเดียน กับไวโอลินที่เป็นเพื่อนสนิทผมที่เป็นพี่ชายของน้องเอย
พิม : แอคคอเดียนมือเทพ

ขึ้นเพลงอะไรมา เล่นได้หมด
เอก : ใช่ๆ ครับ
เอก : คือตัวเรา 2 คนเนี่ยรู้สึกแบบมีงานแสดงตลอดทุกเดือน เดือนละ 2-3 ครั้ง แล้วก็มีโชว์แถวร้านฝรั่ง

คือไปง่าย ไปกัน 2 คน
เอก : ใช่ครับ 2 คนคือไม่ต้องแบ่งตังค์ใครแล้ว อันนี้คือสิ่งที่ดีที่สุด ด้านนี้เขาก็มาเป็นนักร้องร่วมด้วย
เอย : เป็นสายแจ๊ส
เอก : มีอีกคนนึง แล้วก็ทำโปรเจคของตัวเองด้วย แล้วก็ของนี่ด้วย เพราะว่าแต่งเพลงให้ศิลปินคนอื่นที่กำลังจะเตรียมมีผลงานเช่นกัน

เป็น Producer ด้วย
เอก : ใช่ครับ

Exclusive บุกบ้าน 7th Sense ดูน้องๆ ซ้อมร้อง สด (มีคลิป)

พี่จ๊อบ
เอย : อันนี้ยาว

เดี๋ยวปล่อยให้เขาพูดอะไรของเขามา
จ๊อบ : จ๊อบครับจ๊อบ ชื่อจริงชื่อ พัชระเมศฐ์ สงวนสันติกุลครับผม ตอนนี้ทุกคนก็น่าจะเรียกกัน จ๊อบซังไปแล้วมั่งครับ
เอก : ไม่เอาสิ อย่าพูดอย่างนั้น
จ๊อบ : โจบิ ต้องเป็น โจบิซัง ใช่ ใช่ เขาให้ฉายามาว่าเป็นโจบิซัง ก็ส่วนตัวของผมเองเนี่ยจริงๆ ก็มีบริษัทของตัวเองเกี่ยวกับเรื่องของ Business consult ครับ จบวิศวะการบินแล้วก็โทบริหาร แล้วก็มีพวก certificate จากต่างประเทศเป็นเรื่อง management , HRM อะไรพวกนั้น ครับผม แล้วก็รับเป็นวิทยากรบรรยายตามมหาวิทยาลัย แล้วก็งานต่างๆ

ก็คือเรื่อง Mamagement เรื่อง..
จ๊อบ : เรื่องเกี่ยวกับธุรกิจทั้งนั้นเลยครับ ก็พูด motivation การให้กำลังใจคน ปลุกพลังในตัวคุณขึ้นมาอะไรอย่างนี้ครับ

พอรู้อย่างนี้ปุ๊บผมไม่แปลกใจเลยสิ่งที่ผมเห็นเมื่อวันอาทิตย์ (งานพบปะแฟนคลับของวง)
จ๊อบ : อ่า ประมาณนั้น ก็คือๆ อันนี้เป็นธุรกิจหลัก อีกส่วนนึงก็คือทำพวกอีเว้น ออแกไนซ์เซอร์ แล้วก็เข้ามาใน 7th Sense ได้ยังไง เพราะการเชิญชวนกันเข้ามาแล้วก็มาพบกันอย่างที่พิมเล่าไปเนี่ยครับ

เพื่อนต่อเพื่อน เพื่อนต่อเพื่อนอีกที
จ๊อบ : ใช่ครับ ถือว่าเป็นเรื่องดี พรหมลิขิต ผมลิขิตให้มาเอง ก็คือรับหน้าที่เป็น Music Director แล้วก็ดูแลในเรื่องของอาจจะต้องใช้คำว่าวางพวก PLAN ต่างๆ แล้วก็ให้ทุกคน ผู้บริหารอื่นๆ ช่วยกันเคาะว่าเอาไม่เอา อะไรประมาณนี้ คือก่อนที่จะมาเป็น Music Director เนี่ยผมทำงานกับบริษัทที่ชื่อว่า jam factory อยู่ที่ประเทศเกาหลีเขาเป็น music publishing ที่เขียนเพลงให้กับ EXO ให้กับพวก girls generation อะไรต่างๆ เพราะงั้นคือเรื่องสายดนตรีผมจะอิงทางนู้นซะส่วนใหญ่ แต่ว่าก็คือใส่ความเป็นไทย แล้วก็ใส่ความเป็นญี่ปุ่นเข้าไป 7th Sense ออกมาเป็น กิมมิกซ์ของวง

ทีนี้เดี๋ยวจะกลับมาทางนี้ พอดี คุณแดเนียลอยู่ด้วย ผมก็จะถามว่า คุณแดเนียลมันเหมือนปาร์ตี้นึงแล้วทีนี้คุณแดเนียลมาตอนไหน
เอก : จริงๆ แล้ว คุณแดเนียลมาตั้งแต่เริ่มเลยครับ
เอย : มาตั้งแต่เริ่มเลยค่ะ

 

คุณแดเนียล แนะนำตัวนิดนึงครับผม
แดเนียล : ครับ อ่าผมชื่อ แดเนียล ชูนะครับเป็น MD ของสถาบัน Crème Academy นะครับ ถามว่าเข้ามาร่วมกับ 7th Sense ยังไง คือตั้งแต่ต้นที่เห็นทีมงานเข้ามาเสนอ ผมก็ชอบ ผมก็มีการจัด artist development แบบนี้มาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันดีเจ ผมก็เป็นผู้ตั้ง all free man DJ มาตั้งแต่ 2004 ก่อนหน้านั้น คือผู้หญิงที่เป็นดีเจน้อยมาก ผมก็จัดเลย เดินตามห้างใครอยากเป็นดีเจ ผมก็มาพัฒนา มาสอนแล้วก็ปั้นให้ออกไปเข้าอุตสาหกรรม
จ๊อบ : มันเหมือน ถ้าเกิดว่าให้ผมอธิบายความคือมันเหมือนกับฝันที่เราค้างไว้แล้วน้องๆ เนี่ย มาเติมฝันเขาเรา
แดเนียล : ใช่ๆ อันนี้คือ 1 ของเรา มาพูดถึง 2 คือเพราะว่าเราอยากให้อุตสาหกรรมสามารถมีหลากหลาย แล้วก็สามารถโอเค คุณอยากเข้าอุตสาหกรรมนี้ถามว่าเข้ายากไหม ยากมากเพราะว่าต้องมีสายกว่าจะเข้าได้ มีงานได้ เราต้องฝากน้องเข้าไป ก็โอเคไหนๆ เราได้โอกาสแล้ว ก็โอเคช่วยน้องที่อยากเข้ามา ก็โอเคช่วยปั้นแต่ละคน ช่วยเข้า ส่งเข้าอุตสาหกรรม แล้วเวลามา 7th Sense ก็น่าสนใจนะเพราะช่วงนี้ก็ยังไม่มีโปรเจคอะไรที่ทำ ผมก็โอเครับ ผมก็เห็นด้วยว่าควรมีเกิร์ลกรุ๊ปที่ตามแนวทางที่เราอธิบายเมื่อกี้

ก่อนที่จะเจอกัน โปรเจคมันเริ่มจากคนใด ท่านใด มันต้องสักคนเป็นผู้ก่อการ
จ๊อบ : ผู้ก่อการร้าย (หัวเราะ)

จะปฏิวัติมันต้องมีสักคนที่ทุบโต๊ะแล้วบอกว่าผมจำเป็นต้อง…
จ๊อบ : เรื่องนี้ต้องให้เอกเล่าครับ
เอก : คือจริงๆ แล้ว 7th Sense ถ้าจะให้ผมพูดอะนะครับเกิดขึ้นโดยจากหัวพวกเราทุกคน คือชื่อวงมาที่หลัง

ชื่อมันน่าจะมาทีหลัง โปรเจคน่าจะมาก่อน อะไรดลใจ หรือคิดว่าคุณอยากจะทำ
เอก : มันเริ่มมาจาก ผมกับพี่คนหนึ่งที่เมื่อก่อนก็เคยทำงานร่วมกัน เขาอยากจะแบบ มีวงผู้หญิงแล้วเขาก็มาปรึกษาว่า เออ จะทำยังไงอยากได้เพลงแนวนี้ๆ อ่าเขียนให้ได้ไหมผมก็บอก เห้ยโอเคผมทำได้ คุณอยากได้แนวไหน บอกผมมา ผมเขียนให้ได้หมด หมอลำ ลูกทุ่ง สตริง ลิเก…
ขอให้บอก
เอก : ไม่ได้นะครับ

จั่วมาเหมือนมันจะได้หมดไง (หัวเราะ)
เอก : ทำได้หมด ยกเว้นลิเกครับ ก็คือจริงๆ แล้วเราทำเพลงได้ทุกสไตส์ อาจจะแบบพอเริ่มลงตัวในแนวคิดแนวทางที่จะทำหลังจากนั้น เขาก็บอกว่า เออเนี่ย มีคนนึงที่อยากเข้ามาจอยงานด้วยที่จะติดต่อให้ ก็คือจ๊อบตอนแรกก็คือเราตำแหน่งเดียวกัน คือผมเป็นทั้ง songwriter, music director ที่นี้มาเจอกันปุ๊บเขาก็มีตำแหน่งเดียวกัน ก็เลยมาคุยกัน เอางี้ผมแต่งอย่างเดียวแล้วคุณไปทำดนตรี ใช่ แล้วในขณะเดียวกัน ผมก็เสนอน้องเอยมาว่า เอยเนี่ยเป็นน้องของเพื่อนที่สนิทผมซึ่งเขาก็มีความสามารถในการสอน ต้องเอาเข้ามาพัฒนาเด็ก ซึ่งเอยก็ได้ ชักชวนกันมาจนวันนี้ สะพานสื่อรักซึ่งกันและกัน ซึ่งกรณีเดียวกัน พี่คนนั้นก็เชิญคุณพิมมาเจอกัน แล้วที่นี้ด้วยความที่เรามาเจอพบกันทั้งหมดและไอเดียเราโดยส่วนใหญ่แล้ว
จ๊อบ : มันมีน้องโน่ด้วยอีกคนนึง
เอก : อ่า น้องโน่ ใช่ๆ

โน่ นี่ใคร
เอก : โน่เนี่ยเป็นคนติดต่อให้ผมไปเจอกับคนนั้น ซึ่งเขาไม่รู้จะไปทางทิศไหน เลยให้โน่ติดต่อมาทางผม ซึ่งโน่น่ะ กับผมรู้จักกันอยู่แล้ว
จ๊อบ : โน่ก็เป็นหนึ่งในทีมผู้บริหาร

ก็คือมีหุ้นส่วนร่วมกันอยู่ 6 ชีวิต อันนี้ร่วมตังต์ด้วยไหมครับ หรือยังไง
รวม : ใช่ค่ะ ทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกัน
พิม : แล้วตอนแรกก็ โปรเจคเรายังเหมือนยังเป็นเด็ก ยังไม่ได้มาทางไอดอลขณะนี้ แต่พอดีว่าพิมอินทางไอดอล แล้วพิมก็เลยมาเสนอมาปรับมาคุยกัน

มีวงไหนที่เป็นแบบ AKB48
พิม : จริงๆ แล้วพิมชอบ BNK48 ด้วยแหละค่ะ
เอก : แนวทางในการบริหารวงไอดอลครับ ส่วนใหญ่แล้วพิมเนี่ยจะเป็นคนที่แบบใส่ เป็นคนฉีดสปีชีส์เข้าไป ประเด็นที่ผมปั้นบ่อย พวกเกิร์ลกรุ๊ป แต่พอไอดอลเนี่ย ไอดอล สคูลเนี่ยจะเป็นพิมเขาเขาจะเป็นคนที่แบบ…

มันจะมีความแตกต่างกันระหว่าง เกิร์ลกรุ๊ปกับบอยแบนด์
พิม : เกิร์ลกรุ๊ปเขาจะต้องมีความพร้อม ความเป๊ะในการปล่อยอย่างนี้ค่ะ แต่ถ้าไอดอลเขาจะเลือกคนที่แบบว่ามีใจ มีความฝัน แต่ว่าอาจจะยังไม่ได้เก่งทั้งรอบด้านแล้วค่อยมาพัฒนาอะไรอย่างนี้ แล้วซึ่งมันก็อินพอดีกับตัวที่พิมชอบพวก AF พวก THE STAR คนที่แบบไม่ค่อยเก่งมา แล้วพอเขาเก่งขึ้นเรื่อยๆ เออมันมีความผูกพัน ใช่ แล้วเออพิมก็แบบตามดูอะไรอย่างนี้ ตอนแรกพิมก็ไม่ได้รู้จัก AKB48 พิมก็รู้จัก BNK48 ตอนแรกก็เอ๊ะ วงอะไร อะไรอย่างนี้ แล้วพอเข้าไปดู อุ้ย เขาซ้อมหนักกันขนาดนี้ แล้วเขาเก่งขึ้นนู้นนี้ ร้องไห้นู้นนี้คือแบบอินกับเขาหมด คือแป๊บเดียวจำได้ทุกคน จำได้ทุกเรื่องราวอะไรอย่างนี้อะค่ะ คือประเทศไทย มันมีเด็กที่มันมีฝันอีกเยอะเลยนะ บางคนก็อาจจะอายุเกินนั้นด้วยอะไรอย่างนี้ ถ้าเราเป็นผู้ใหญ่แล้วเรามาคุย แล้วเรามีแรงสนับสนุนได้ เราก็แบบช่วยปั้นฝันให้เด็กอีกกลุ่มนึงดีไหมคะ

ทีนี้ไอ้เหตุการณ์ที่ว่ามาป๊ะกันแหมตั้งแต่เมื่อไหร่ ก่อนที่จะเป็นรูปเป็นร่าง มีออดิชั่น
พิม : ช่วงมี.ค. เองนะคะ ประมาณปลาย ก.พ. มี.ค.
เอก : เจอกันเริ่มจากผมได้ไหม ตอนต้นปี มันคือเริ่มคุยวางแผนกันก่อน แบบไม่ได้เจอหน้าก่อน ประมาณปลายปีกับอีกคนนึง

ตอนนั้นคือช่วงที่ BNK48 เกือบจะพีคที่สุด
เอก : ใช่ครับ

 

ถ้า ธ.ค. กำลังมาแต่ ม.ค. เนี่ยคือช่วงเก็บเกี่ยวแล้ว ก.พ. เนี่ยดังสุดๆ ของ BNK48 ละ
พิม : ก็คือฝั่งของครูเอก เขาจะเริ่มคุยกันมาก่อนอย่างที่พิมบอกที่ครูเอกเล่าตอนแรกแล้วค่อยๆ พัฒนาเข้ามา ปรับๆ ระบบมา
เอก : ด้วยความที่ พอตัวผมเองทำอย่างนั้นมันไม่แตกต่างจากเด็ก COVER ลง youtube ธรรมดา ผมก็เลยแบบ เออพอมาเจอทุกคน เลยบอกว่า เรามีออดิชั่นไหม เราทำแบบนี้ไหม คราวนี้เขาถนัดทางบอยแบนด์ เกิร์ลกรุ๊ป ถนัดทางไอดอลก็เลย ผสมกันเลย พอมันผสมกันก็เลยออกมาเป็นแบบนี้ เราได้คอนเซ็ป จนร่วมกันตั้งชื่อจนเกิดป็น 7th Sense
พิม : ตอนแรกมันเล็กๆ ค่อยๆ ขยายใหญ่

ชื่อโปรเจคทีแรกก่อน 7th Sense นั้นคือ
จ๊อบ : 7th Sense เป็นชื่อแรกแล้วเคาะชื่อนี้เลยครับ

ไม่มีแบบมา 5 ชื่อ 10 ชื่อแล้วมา
เอย : ไม่มี

มันมาจากใครคำนี้
พิม : มันมาจากเด็ก เขาเสนอกันมาค่ะ ช่วยกันคิดว่า มันจะเป็นคำอะไรดีที่เราเข้ามาช่วงแรกอะค่ะ

หมายความว่าเราออยังไงช่วงแรกๆ
พิม : ช่วงแรกเหมือนออกับเด็กที่เรารู้จักกันก่อน แล้วเข้ามาเทสกันค่ะ พอเราได้กลุ่มตั้งต้น กลุ่มนึงก่อนตอนแรก

กี่คนครับ
พิม : ตอนแรกยังแค่ 6-7 คนเลย แล้วเราก็ออเข้ามาเพิ่มที่ละนิดอะค่ะ

ก็คือเป็นการ ออภายใน
พิม : ค่ะ แล้วพอมาเป็น 10 คนแรกแล้วเราก็ทำ พัฒนาขึ้นระดับนึง นิดนึงแล้วเราก็ปล่อยเพลง All Version แล้วเราก็รับสมัคร ออดิชั่นเพิ่มมา จนมารวมเป็นกลุ่มเป็นก้อน ตอนนี้ 20 คนค่ะ ก็คือเด็กที่มาครบกันน่ะ

ตอนเปิดให้ออดิชั่น มีเข้ามาเยอะไหมครับ
พิม : ก็ค่อนข้างพอสมควรค่ะ แต่เราก็คัดมาระดับนึง แล้วเราก็มาเทสแบบตัวจริง อย่างนี้ค่ะ

ตอนนั้นออยังไงอะครับ
พิม : ส่งคลิป
จ๊อบ : ส่งคลิปเข้ามาทาง official แล้วเราก็มานั่งดูกัน แล้วเราก็เออคนนี้น่าสนใจ คนนี้มี Passion แบบนี้ อะไรอย่างนี้ครับก็เรียกมาสัมภาษณ์ แนะนำตัว เรียกว่าเจอกันจริง ออดิชั่นแล้วแบบขอฟังเสียงหน่อย ขออุปนิสัย ดูลักษณะ มีวิธีการพูดจา ถามในเรื่องของ Passion ตัวเองให้เล่าให้เราได้รู้จักคุณได้มากที่สุดอะไรประมาณนั้น

แล้วอย่างนี้หลักเกณฑ์เป็นยังไง สมมุติผมก็ตั้งเป็นเด็กแบบไหน อาจจะต้องเพอร์เฟคไหม หรืออาจจะไม่เพอร์เฟค มีอะไรที่เราใช้เป็นตัววัด
เอย : ทัศนคติ
จ๊อบ : ผู้บริหารทุกคนมีแนวคิดเป็นของตัวเอง ถ้าอย่างผมเนี่ยครับ ผมจะดูในเรื่องของ Passion กับสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ผมค่อยถามเสมอเลยว่า คือคุณพร้อมที่จะสละเพื่อคนอื่นไหม พร้อมที่จะทิ้งความเห็นแก่ตัวไหม อันนี้คือคำถามของผม เพราะว่าเรามาอยู่กันใน ยูนิต เราต้องเป็น ยูนิตตี้เดียวกัน คุณไม่ใช่คนเด่นคนเดียว คุณต้องถอยให้เป็น และหลีดให้เป็น เป็นผู้นำและผู้ตามที่ดีอย่างนี้ครับ แต่ส่วนของน้องเอยน่าจะดูในเรื่อง performs
เอก : ก็ดูเรื่องของ Performance พื้นฐานของเขา ก็จริงๆ ไม่ได้เป็นคนเน้นเรื่องความสามารถมาตั้งแต่ต้น แต่จะดูว่าเด็กคนนี้มีโพเทนเชียลไหม มีใจไหมที่เขาอยากจะพัฒนา แล้วมีเซนส์ ขนาดไหน เรื่องเซนส์ เนี่ยเป็นรองมากกว่าทัศนคตินะค่ะ ในการที่เขาจะขับเคลื่อนตัวเองไปได้ขนาดไหนเพราะว่างานพวกนี้ มันต้องใช้เวลามาก ต้องทุ่มเทมากอย่างที่ครูจ๊อบได้บอกไป ว่าใจเขามาขนาดไหน แต่ว่าเราต้องยอมรับอย่างนึงว่าในบรรดาเด็กทุกคน เด็กมาสมัครเยอะอย่างนี้อะค่ะ สุดท้ายมันก็จะมีคนที่เขาจะมีมาตรฐานของเขาที่เราก็จะหยิบเขาขึ้นมา ในเชิงความสามารถทางการแสดง แล้วก็ทัศนคติ คือเราจะดู 2 อย่างให้บาลานซ์กันด้วย อะไรมากไปมันก็จะไม่ดีเหมือนกัน สำหรับเกิร์ลกรุ๊ป
จ๊อบ : สิ่งสำคัญที่เราตัดสินใจเลือกก็คือว่า เราจะดูคนที่สามารถพัฒนาได้ เพราะว่าบางคนอาจจะคิดว่าตัวเองเก่ง พอมันมาอยู่ในวง มันจะมีปัญหาที่ว่า ฉันไม่สามารถพัฒนาต่อได้ เราก็เลยแบบ ตรงนี้อาจจะมีปัญหาหน่อยแต่ช่วงนั้นเราก็เลยแบบคุยกันว่า ในเมื่อวงเราพร้อมที่ขายเด็กเพื่อพัฒนา เราก็ต้องเอาคนที่ยังไม่พร้อม แต่พร้อมที่จะพัฒนามาเข้าแทน
พิม : ถ้าในส่วนของพิม พิมก็จะมอง คือพิมทำงานกับเด็กผู้หญิงมาเยอะอะค่ะ พิมก็จะค่อนข้างแบบดูได้ น้องคนนี้แบบ นิสัยประมาณยังไง คนเห็นแล้ว รักไหมหรือน้องเขามีมุมไหนที่เราจะสามารถทำให้ผู้คนเป็นแฟนคลับ รักได้หรือน้องเขาแบบมีทัศนคติดีที่แบบจะไปให้กำลังใจคนไหม เพราะว่าหลักๆ ของการเป็นไอดอลคือมันจะต้องคิดดีก่อนมันถึงจะส่งพลังให้ทุกคนได้ค่ะ เราก็จะมองในมุมนี้ แล้วก็เลือกคาแร็คเตอร์ที่มันแตกต่างกัน เพราะว่ามันก็ดีต่อตัวน้องด้วย แล้วแฟนคลับก็สามารถแบบว่า ชอบได้หลายแบบ คือมีหลากหลายแบบหลายแนว ประมาณนี้ค่ะ

 

ทีนี้ โมเดลธุรกิจละ ไอ้ที่มันจะทำเงินให้เรา มันคืออะไร เพราะพวกคุณก็ลงทุนกันมาหลายเดือนแล้ว
จ๊อบ : ในส่วนของโมเดลธุรกิจใช่ไหมครับ ถ้ามองจริงๆ แล้วเนี่ย เราก็คือ music publishing คือค่ายเพลงนึง ซึ่งวิธีรับ Income เนี่ยคงเหมือนบริษัทอื่นๆ อย่างนึงของประเทศไทยเนี่ยเรื่องค่าลิขสิทธิ์ copy right เนี่ยยังไม่แข็งแรง จริงๆ เนี่ย อยากฝากลงข่าวด้วยให้ทุกคน remind เรื่องนี้ไว้ให้คิดถึงเรื่องนี้ เพราะมันจะเป็น Income ที่จะอยู่ตลอดชีวิต ครับในเรื่อง copy right แต่ว่าตรงส่วนนี้ก็ต้องยอมรับจริงๆว่ากำไรเนี่ยมันก็จะมา หนึ่งสปอนเซอร์ สองคือการออกอีเว้น การออกงาน สามดีอย่างนึงที่โมเดลของเราเนี่ยมันเป็นโมเดลของไอเดลซึ่งหมายความว่าเวลาเราออกพวก Product อะไรพวกนี้ ต่างๆ เราจะมีกลุ่มที่คอยสนับสนุน เก็บซื้อเป็นคอลเล็คชั่นไว้ เก็บอะไรไว้งี้ครับ อันนี้คือเป็น Call income

แล้วมีแผนที่จะออก product ก็เห็นพูดถึง Photo set กันอยู่ ตอนนี้เคาะหรือยังครับ
พิม : ใช่ค่ะ เร็วๆ นี้ค่ะ
จ๊อบ : เริ่มเคาะวันที่แล้วครับ ตอนนี้พิมเนี่ย เริ่มวางแผนในเรื่องของสไตล์ เป็นยังไง ชุดเป็นยังไงครับ เริ่มคุยกับสไตส์ลิสแล้ว

ผมว่ามันมีอยู่คำถามหนึ่งที่ต้องถูกถามแน่นอน ว่ามันเป็น copy หรือเปล่า
จ๊อบ : ต้องบอกอย่างนี้เลยครับ ว่า ธุรกิจเนี่ย อะไรดังมันหอมหวานเสมอคนก็อยากจะเข้าไป แต่ถามว่าเรา copy ไหม อย่าใช้คำว่า copy เราเป็น benchmark คือเราเป็น benchmark ของเขา เขามีข้อดียังไง แล้วข้อเสียอะไรที่เราต้องระวังแล้วป้องกันไม่ให้เกิด ถามว่า copy ไหม ถ้าทุกคนมองคำนี้ วง rock จะมีแค่วงเดียว วง jazz จะมีแค่วงเดียว ศิลปิน บลิสเทล คุณไม่สามารถเล่นตาม บลิสเทลได้อีกแล้ว ไมเคิล แจ็คสัน คุณก็ไม่สามารถไปราชา pop dance ได้ใครจะขึ้นมาเทียบกันก็อาจจะเป็น Bruno mars เขามี MJ หรือ ไมเคิล แจ็คสันเป็นไอดอลเพราะฉะนั้นคืออย่าใช้คำว่า copy เราใช้คำว่า benchmark แล้วเราดูว่า ประสบความสำเร็จยังไง เราลองทำดูบ้างสิ ให้เราประสบความสำเร็จแบบเขา

ผมเห็นว่าพยายามจะใช้ชื่อที่ไม่เหมือนกันอยู่ ใช่ไหมฮะ
พิม : บางส่วน
จ๊อบ : ใช่ เป็นบางส่วน เพราะว่าเรามีความตั้งใจและทุกคนคุยกันไว้ว่า เห้ยทำยังไง เราถึงจะขายวัฒนธรรมไทยของเราได้บ้าง ขายความเป็น Thai Pop ของเราได้บ้าง ไม่ได้บอกว่า J-pop ไม่ดี ไม่ได้บอกว่า K-pop ไม่ดี แล้วทำไม T-pop หรือว่า Thai Pop ของเรามันจะถึงมาตรฐานสแตนดาร์ตของเขาได้บ้าง ให้คนที่อยู่ต่างประเทศ ในคนที่อยู่อาเซียนเนี่ยรู้จัก Thai Pop บ้าง อย่างที่เราเห็นไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม พม่า กัมพูชา เขามีเพลงเจ๋งๆ ออกมา มีอะไรออกมาที่แบบโห เรายังโอโหอะครับ เราเลยรู้สึกว่า อ้าวแล้วทำไมเราทำไม่ได้ละ เราต้องลองทำดูสิ ต้องบอกว่าในยุค 90 เนี่ยมันดี มันดีมากๆ มันดีจนแบบ เพื่อนบ้านของเราในยุค 90 เนี่ยเพลงไทยเนี่ยคือเจ๋งจังเลย ไม่ต้องดูใครครับดูประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาว ทุกคนร้องเพลงพี่เบิร์ดได้แบบหนึ่งร้อยเปอร์เซ็น ร้องแบบพี่เบิร์ดได้อะ ร้องแบบคนรู้จักสิงโตไปนู้นนั้นนี้ คือทุกคนรู้จักพี่สิงโตหมด เรารู้สึกว่าเราเอายุคแบบนั้นกลับมา ก็เลยครูเอก ก็เป็นครูเพลงที่เขารู้จักการใช้คำสัมผัส ใช้นู้นนี้นั้นในเรื่องของการแต่งเพลง เขาเลยเอาคำแบบนี้กลับมาอะไรอย่างนี้อะครับ อย่างเอยเขาก็จะรู้มาตรฐานอยู่แล้ว พิมเขาจะรู้ว่าแบบทุกคนควรทำตัวยังไงให้ยูเป็นอาร์ทติสจริงๆ ให้ยูเป็นศิลปินแบบนั้นจริงๆ สร้าง passion ให้เด็กยังไง สร้างแรงบันดาลใจยังไง ใช่ครับ เพราะฉะนั้นเราเลยรู้สึกว่าแบบไอคำว่า T-pop ของเราเนี่ยแหละจะเป็นตัวละครหลักของเรา
พิม : เพราะเราก็ไม่เหมือนวงอื่น เพราะของเราเป็นเพลงไทยล้วนเลย
เอก : ใช่แล้วเป็นเพลงที่แต่งขึ้นใหม่ ไม่ได้ว่ายกเพลงของ อ่าใช้คำว่าแฟรนไชส์ก็แล้วกันเอามาแปลง
พิม : เอกลักษณ์ของเราเลยคือ T-pop ล้วน

ที่ชัดเจนที่สุดคือสไตล์เพลง
เอก : เพราะว่าอย่างที่บอกครับว่า เราหนึ่งเลยเราขอบคุณผู้สนับสนุนที่เป็นกลุ่มขออนุญาตเรียกว่ากลุ่มโอตะละกัน กลุ่มที่เป็นแฟนคลับตอนนี้ที่มีอยู่เนี่ย เขาเนี่ยเป็นกระบอกเสียงที่ดีมากในการออกไป แล้วเราทำไงละเมื่อเพลงของเรากลุ่มของเราเนี่ยออกไปสู่สาธารณะชนแล้วกลุ่มที่ไม่ใช่กลุ่มโอตะที่มีอยู่จำนวนหลักแสนเนี่ย เราจะ cast up ยังไงอีก สิบกว่าล้านคนในประเทศไทย ให้เขา ฟังเพลงแล้วแบบอยากร้องตาม เอาไป cover บ้างไปที่ไหนก็จะได้ยินเพลงแบบนี้อะไรอย่างนี้
จ๊อบ : เพราะเท่าเพลงของขวัญปะ
เอก : ขอบคุณครับ
พิม : พิมฟังครั้งแรก พิมก็จะน้ำตาไหล นึกถึงในเอ็มวีแล้วอะ
จ๊อบ : หมายความว่าเวลาเราฝึกซ้อมเด็กเนี่ยครับ เป็นมีการบิวอัพอารมณ์กันให้เข้าใจ ซึ่งวิธีการสอนของเราเนี่ยคือเพลงหนึ่งเพลง มันเท่ากับหนังสั้นหนึ่งเรื่อง คุณต้องคิดหนังตามให้ได้ เพราะเอกก็แต่งเพลงจากการที่เพลงเล่าเรื่องไงครับ คือทำให้รู้สึกว่าแบบเพลง เพลงนี้มันสื่อถึงอะไร มันมีที่มาที่ไปยังไง story ของเพลงนี้มันเป็นยังไง เพื่อที่เขาจะได้อิน เขาจะได้สื่อความหมายออกมาได้อย่างดี

 

ตกลงจะเป็น 3 รูป หรือ 5 รูป แรนด้อม
พิม : 3 รูป
เอก : พี่พิมเคาะแล้วครับๆ
พิม : แล้วมี SR อะไรอย่างนี้ด้วย

มีเซ็นลายเซ็นอะไรอย่างนี้ด้วยไหม
พิม : รอติดตาม จะเป็น Comp 3 เพราะว่าถ้าเป็นค่อม 5 คอม 6 เขาตังค์ไม่พอ
เอก : เขามาบอกเราว่าอย่าไปค่อม 5 -6 เลยนะเดี๋ยวกระเป๋าฉีก เราก็อ๋อๆได้ครับ

นอกจาก photo set จะมีอย่างอื่นอีกไหม
พิม : เดี๋ยวมีค่ะ จะต้องเทรนน้องให้พร้อมอีกสักพักนึงก่อนนะคะ ถึงจะค่อยปล่อยเพราะว่าจริงๆ แล้ว รวมทั้งหมดเนี่ยอะค่ะพึ่งจะประกาศรวมครบทั้งหมด 18 เมษานี้เองค่ะซึ่งตอนนี้ 2 เดือนเองที่เราเทรนขึ้นมา
เอย : 2 เดือนจากวันนั้น

18 เมษาคือเหมือนนับ 1 ของเด็กกลุ่มนี้ อย่างนี้คือเดบิวหรือยัง
พิม : ยังค่ะ คืออย่างที่พิมบอก ของเราเป็นคอนเซ็ปตั้งไข่ไปด้วยกัน แล้วเราแบบเปิดให้เห็นเลย คือไม่มีวงอื่นที่เขาเปิดให้เห็นขนาดนี้ คือเรารู้จักเมมเบอร์แล้วเราก็มีให้แบบ อย่างนี้เลย
เอย : เพราะว่าปกติแล้ว ศิลปินนะคะ เราจะเก็บตัวซ้อมกันเป็นปีเลย เพราะให้แบบว่ามันเพอร์เฟคที่สุดแล้วออกขายเหมือน เราก็ต้องยอมรับว่าวงการเนี่ยเราจะมองศิลปินเหมือนเป็นสินค้าเนอะ แต่เป็นสินค้าที่แบบเป็นมนุษย์ทั้งจุดขายอะไรเขาก็จะเก็บตัวทำแต่อันนี้อะค่ะ มันคือโปรเจคยังไม่มีความเป็นศิลปินแม้แต่ Mindset ของเขาเนี่ย เขาเข้ามาแล้วมันผ่านอะไรบ้าง แล้วพอแฟนคลับเข้าใจตรงนี้ ก็เลยคิดว่าหนึ่งนอกจากที่เขาจะได้รู้แล้ว มันก็จะทำให้เขาอิน อ่าให้เขารู้สึกว่าอยากเชียร์
พิม : ผูกพัน
เอย : ผูกพันกับน้องๆ ไป

แล้วเราเตรียมเด็กยังไงเพราะว่าเด็กก็จะต้องเซอร์วิสแฟนคลับถูกไหม ต้องโพสรูป ต้องคิดแคปชั่น ปัญหาโลกแตก รูปก็ต้องเตรียมมาเพื่อโพสอีก สองเรื่องนี้แบบสุดๆ
จ๊อบ : ต้องแบ่งเป็น 2 ลักษณะในการเตรียมเด็กหนึ่งคือในเรื่องของเพลงโชคดีที่เรามี Crème Academy  เอยเนี่ยเป็น artist development เอยก็จะเทรนเด็กได้ เขาก็จะเทรนในเรื่องของ ต้องบอกว่าทั้งสองท่านเลย เอยกับพิมเนี่ย เขาจะเตรียมในเรื่องของวิธีการคิด วิธีการพูด การพบปะสื่อ การพูดคุยตอบแฟนคลับ ในเรื่องของการที่พอไปออกสื่อแล้วจะต้องมาลงโพสในไอจีจะต้องเขียนในลักษณะแบบไหน มีคำพูดอะไรเป็นคีย์หลัก Hashtag ยังไง สองท่านเนี่ยครับที่จะเป็นคนเตรียมน้องๆ แล้วก็พูดถึงในเรื่องของเตรียมการพบปะสื่อเราก็จะมีลิสถามมา เขาก็จะทำกิจกรรม มีคอร์สลิสเลยคำถาม 50 คำถาม แบบนี้แบ่งกลุ่ม มีกลุ่มนักข่าวใจดี มีกลุ่มนักข่าวแบบว่า จะต้องรู้ความจริง อะไรแบบนี้ แกห้ามโลกสวยใส่ฉันอะไรประมาณนั้น
เอย : กิจกรรมก็จะให้น้อง เขาหัดเป็นนักข่าวกันเอง เป็นไอดอลกันเอง เพราะฉะนั้นน้องไอดอลทุกคนก็จะรู้ว่ามุมมองนักข่าว เขามองกันยังไง อันนี้ก๊อดซิปสิ น้องเขาก็จะรู้ว่าฉันต้องเขียนอะไร แล้วเวลาถามเพื่อน เพื่อนก็จะแบบทำไมใจร้ายจังเลย แต่เป็นเรื่องจริงค่ะ แล้วก็ทุกคำถามที่ออกมาจากน้องๆ เอง
เอก : แหม ตั้งกล้องทิ้งไว้จริงๆ
เอย : เราไม่ได้ทำอะไรเลย
จ๊อบ : มีน้องบางคนอะครับที่โดนยิงคำถามแล้ว เขาอินแล้วเขาร้องไห้คือเครียดโดนกดดัน คือเราให้ไปเจอสภาวะแบบนั้น
เอย : ช่วยกันคิดแล้วว่าถ้าน้องเจอแบบนี้จะตอบยังไง บางทีก็ต้องให้เขาพูดตามลองดู เพราะเขาไม่เคยเลย ก็ต้องค่อยๆ ดูเป็นทีละคน

ต้องถึงกับเรียงคำเขาเลยไหม
พิม : ไม่ขนาดเรียงคำค่ะ แค่แนะแนวทางให้ปรับเป็นตัวเอง เพราะว่าเราไม่สามารถบังคับให้เขาพูดเป็นคำๆ ได้ เพราะมันจะไม่เป็นธรรมชาติแล้วมันจะไม่ได้ออกมาจากน้องเอง พออะไรที่ไม่ได้ออกมาเองพอไปสัมภาษณ์แต่ละที่แล้วมันจะไม่เหมือนกัน เราก็จะสอนวิธีคิด วิธีรับมือ
จ๊อบ : ตั้ง Mindset ของเขาไว้ ตั้งวิธีคิดของเขาไว้

แล้วเตรียมรับมือโอตะแบบแรงๆ ยังไง
เอย : หัวร้อนใช่ไหมคะ

 

หัวร้อนก็เคยเจอ เหมือนวันนั้นผมก็ตกใจ จำชื่อไม่ได้เฮนแล้ว (โอชิเฮน แปลว่า การเปลี่ยนไปชอบเมมเบอร์คนอื่นมาจากตัวคันจิในภาษาญี่ปุ่นที่แปลว่าเปลี่ยนแปลง เรียกสั้นๆ ว่า “เฮน”) เอ้า เขาต้องจำพี่ได้ด้วยหรอ
เอย : อุ้ยๆ เป็นประเด็น
จ๊อบ : จริงๆ ต้องขอบคุณพี่คนนั้น ที่ทำให้เราได้วัดเด็กเหมือนกัน คุณรู้สึกยังไง

ถ้าเป็นผมๆ ไม่เห็นด้วยนะ
จ๊อบ : แต่ก็กลายเป็นว่าน้องเนี่ย บอกว่า ไม่เป็นไร หนูไม่โกรธ หนูโอเค หนูเข้าใจเพราะเราอธิบายเสมอครับว่ากลุ่มแฟนคลับไหนลักษณะเป็นแบบไหน แล้วเขาก็บอกว่า อ่อหนูเข้าใจ คือเขาสนใจเรา เขาก็อยากได้รับอะไรกลับไปเหมือนกัน ซึ่งวันนั้นน้องจำได้จริงๆ น้องหันไปถามว่าใช่ไหม เออใช่พี่คนนี้แหละ ใช่เลย เขาเลยหันมาตอบ คือเขาจำได้อยู่แล้วละ
พิม : ของเราไม่ใช่แค่ตั้งไข่เฉพาะเด็กๆ ผู้บริหารของเราก็เหมือนตั้งไข่ในสายงานนี้เหมือนกัน เราก็ค่อยๆ เรียนรู้กันไปเหมือนกันค่ะ ค่อยปรับพฤติกรรมไป ค่อยๆ ศึกษาพฤติกรรมไป เพราะว่ามันก็จะมีโอตะใจดีอะไรอย่างนี้ค่ะ แนะนำว่าถ้าพี่เจออย่างนี้พี่ควรทำแบบนี้นะ ควรปกป้องน้องแบบนี้ หรือแบบอันนี้พี่ต้องปล่อยไป เราก็ค่อยๆ เรียนรู้ไปอะค่ะ

ที่นี้เป้าประสงค์ หรือว่ามันต้องมี Timeline แหละเนอะในการทำธุรกิจ อาจจะมี timeline ว่าอีก 6 เดือนข้างหน้ามันจะอย่างนี้นะ จะต้องมีสักกี่เพลงนะ น้องๆ จะต้องพัฒนาไปถึงขนาดไหน หรืออีกปีนึงหรืออีก 2 ปีก็ได้ อย่าง BNK48 ต้องเรียกว่ามันเหมือนเป็น คุกกี้เสี่ยงทายมันเป็น Turning Point ถ้าไม่มีคุกกี้เสี่ยงทายป่านนี้อาจจะยังไม่ขนาดนี้ก็ได้ งั้นคุณวางไว้ยังไงถ้าเกิด Step ปกติที่ไม่มี Turning point ขนาดนั้น
จ๊อบ : ต้องเท้าความก่อนว่าจริงๆ แล้ว ธุรกิจบันเทิงเนี่ยเวลาออกอะไรไปอย่างหนึ่งเนี่ย มันเหมือนการพนัน ใช่หรือไม่ใช่ ถูกจริตคนส่วนใหญ่หรือเปล่า ชอบหรือไม่ชอบ เพราะฉะนั้นก็คือ timeline ของบริษัทเราเนี่ยมีจนถึงกลางปีหน้าแล้ว ถ้าในส่วนของปีนี้เนี่ย เราก็ดูไว้ว่า MV เนี่ย 4 เพลงที่จะออกโดยประมาณ ก็คือเพลงที่ได้เปิดตัวเซ็นเตอร์ไปแล้ว

กี่เพลง เปิดไปกี่เพลงแล้ว
จ๊อบ : ถ้ารวมเพลงประจำวง ใช่ก็คือทั้งหมด 4 เพลง แต่ความก็คือการให้สัมภาษณ์สื่อครั้งแรกเนี่ยครับ เราวางเป้าหมายไว้ว่าใน 1 ปี เราจะออก 7 เพลงซึ่งไม่ได้แปลว่าเราจะมีแค่ 7 เพลงนี้มันก็จะมีอะไรขึ้นมาเรื่อยๆ สำหรับ Member ที่พร้อม member ที่พัฒนาอะไรอย่างนี้ ในส่วนของเป้าหมายหลักเนี่ย คงคิดว่าเป็นมินิคอนเสิร์ตแหละ เพียงแต่มันต้องดูว่าแบบกระแสมาไหม น้องๆ พร้อมหรือยัง พร้อมที่จะขึ้นไปเอนเตอร์เทนได้แบบ… ไม่ใช่ขึ้นไปแล้วเก้ๆ กังๆ และขึ้นไปส่งพลังไม่ได้ มันไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ

คุณให้เวลาเท่าไหร่ มันต้องมีเวลาให้น้อง
จ๊อบ : คือที่มองไว้เนี่ยครับ ตั้งแต่วันที่เราเปลี่ยนคณะผู้บริหาร เปลี่ยนทีมใหม่ Set up ใหม่เนี่ย อีก 6-7 เดือน คือคุณต้องเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ เป็น Professional artist ที่ดี

นับจากตอนไหน ตอนนี้ใช่ไหม
จ๊อบ : ใช่ครับ จริงๆ ต้องนับตั้งแต่ตอนนี้

ก็อีก 6 เดือน
เอก : ต้นปีหน้า
จ๊อบ : ใช่ครับ อันนี้เป็น timeline ที่เราวางไว้แต่ในความเป็นจริงใครจะรู้

อาจจะก่อนก็ได้
จ๊อบ : คือใครจะรู้ พอต้นปีหน้าเนี่ย มันก็บังเอิญที่เป็นพฤศจิกา ธันวาที่แบบโหงาน งานอิเว้นในประเทศไทยมันเยอะมาก มันช่วงเทศกาลจ๋าเลย แล้วพอต้น ม.ค. เดี๋ยวก็วันเด็ก เดี๋ยวก็วันหยุด ซึ่งงานแสดง อีเว้นเยอะมาก ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าในความเป็นจริงแล้วเราจะได้สถานที่แสดงหรือเปล่า คนพร้อมที่จะใช้จ่ายไหม ยังไง ซึ่งเราก็ต้องมองจริงๆ ครับว่า ธุรกิจ เอนเตอร์เทนเม้นท์เนี่ยถ้าทำเอาสนุกอย่างเดียวแล้วไม่สนใจกำไร คุณจะทำเมื่อไหร่ก็ได้แต่ถ้าคุณต้องกังวลเรื่อง Financial ดูคอร์สของตัวเองด้วย ดูตลาดด้วยเนี่ย มันก็ต้องดูความเป็นจริงด้วยว่า มันถูกต้องหรือเปล่าในช่วง ทามมิ่งนั้น

ก็ดูอีกที ใช่ไหม
จ๊อบ : ใช่ครับ แต่ว่าใน timeline ของเราเนี่ย เรามีวางไว้แล้วทุกอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็นการออกช่วงจำหน่ายสินค้า ช่วงเวลาของการออกเพลง ช่วงเวลาของการถ่าย photo set ช่วงเวลาของการถ่าย MV ช่วงไหนจะปล่อยยังไง ระยะเวลาความห่าง ความถี่อะไรอย่างนี้ครับ

ทีนี้กลับมาน้องๆ บ้าง แล้วน้องๆ เนี่ย เรามีค่าใช้จ่ายให้ไหม แบบว่ามีเงินเดือนให้ไหม หรือว่าให้เป็นอีเว้นหรือให้เป็นค่าซ้อมหรือยังไง
จ๊อบ : ต้องบอกว่าเป็นนโยบายของ ผู้บริหารใหม่ทุกคน น้องให้เรามา เราก็ต้องตอบแทนน้องเช่นกัน ก็คือมีเงินเดือนให้ แล้วก็มีสวัสดิการ เวลาเราจัดอีเว้น เราต้องออกไปนอกสถานที่ แม้ว่าการไปพบปะสื่อข้างนอก เราก็มีกองสวัสดิการ ค่าเดินทาง ค่าอาหาร คือทุกคนได้รับตรงนั้น คือเราไม่ได้มองเขาเป็นสินค้า เราไม่ได้มองน้องว่าเป็นนายจ้าง ลูกจ้าง เรามองเขาเป็นลูกศิษย์เรา เรามองเขาคือคนในครอบครัวเดียวกัน เพราะฉะนั้นคือพ่อแม่เลี้ยงพวกเรายังไง เราเลี้ยงน้องๆ อย่างนั้นเช่นกันพ่อแม่ของน้องๆ ทรีตเขาแบบไหน รักเขาแบบไหนเรารักเขาแบบนั้น
พิม : พวกสินค้าต่างๆ เราก็มีเปอร์เซ็นให้ด้วยเหมือนกัน
จ๊อบ : ใช่ๆ แบ่งเปอร์เซ็นให้

เพลงมีให้ดาวน์โหลดหรือยัง
จ๊อบ : ตอนนี้เพลงยังไม่เสร็จแต่วางแผนไว้ว่า ดอกจัน ITUNES , JOOKS ตอนนี้กำลังเคาะอยู่ ก็จะเริ่มทำดีล

อันนี้แบ่งน้องไหม
จ๊อบ : มีครับ คือกิจกรรมอะไรต่างๆ ที่เกี่ยวกับรายได้ของบริษัท มีการแบ่งน้องๆ ด้วย อย่างที่เราบอกว่า เพราะว่าระบบ Copy right ในเมืองไทยเนี่ย มันไม่ได้แข็งแรงจริงๆ เราก็สร้าง Copy right ของเราเนี่ยแหละให้เด็กรู้ว่าเห้ยเนี่ยละ copy right จริงๆ นะ คุณมีสิทธิ์ที่จะได้ส่วนแบ่งตรงนี้ด้วย

แบ่งกันยังไงครับ อย่างเช่นเท่ากันทุกคน หรือคนที่เป็นเซ็นเตอร์ได้เยอะกว่า จะเท่ากันได้ยังไง
จ๊อบ : ต้องบอกก่อนว่าเงินเดือน เงินเดือนเท่ากัน แล้วก็เวลาออกอีเว้นก็คือหารเท่า คนไหนไปคนนั้นได้
พิม : เอ๊ะ เดี๋ยวนะ เราไม่ควรพูดว่าเงินเดือนเท่ากันไหมคะ
จ๊อบ : ก็เงินเดือนตั้งต้นไงแต่เราไม่ได้พลัสค่านู้นนี้นั้น

เงินเนี่ยคือ BASE เท่ากัน แต่ในอนาคตถ้ามีพรีเซนเตอร์ มีนู้นนี้นั้นก็มีเอ็กตร้าบวกให้อันนั้นมันปกติอยู่แล้ว
จ๊อบ : ให้มองเหมือนนักบินหรือแอร์ ว่าเราจะมี BASE ให้มี base salary แล้วก็จะมีค่านู้นค่านี้ เคลียคำนี้ว่ารายได้ส่วนอื่นๆ อะไรอย่างนี้ครับ ก็ดูตามเนื้องาน
เอย : ดูตามที่เขาทำงานมากหรือน้อย
เอก : base salary เท่ากัน แต่ในเรื่องของงานของอะไรอย่างนี้ก็ต้องบอกตรงๆ ว่า คือในธุรกิจ เรามองแบบไม่สวยงามแล้วกัน ลูกค้าเขาจะเข้ามา pick up คนไหนเราไม่มีวันรู้ได้เลย เพราะฉนั้นเราก็ดูตามความเป็นจริงดูตามเนื้องาน Access ว่าเขาขายได้จริงๆ โชคดีที่แต่ละคน มีความเป็นครูและความเป็นแม่
จ๊อบ : แล้วความเป็นพ่อ
พิม : มีความเป็นพี่สาว
จ๊อบ : อ่า โอเคๆ มีความเป็นพี่สาว มีความเป็นพี่ชาย

กฏเกณฑ์ที่ กฏเหล็กของเรามีอะไรบ้าง
พิม : ส่วนใหญ่แล้วก็ห้ามโดนตัว Member อะค่ะ มันก็เป็นเรื่องการให้เกียรติอยู่แล้ว เคารพสิทธิส่วนตัว แล้วก็ไม่ให้ตอบไดเร็กกับอินบ๊อกซ์ส่วนตัวอย่างนี้ค่ะ เพราะว่ามันก็เป็นการเซฟน้อง กับการที่จะมีกลุ่มคนนำไปอ้างในทางที่ไม่ดี แล้วก็ห้ามถ่ายรูปคู่อย่างนี้อะค่ะ แต่ว่าถ้าถ่ายรูป 3 คนขึ้นไปเวลาเจอกันข้างนอกอย่างนี้เราอนุญาต แต่ว่าถ้าน้องใส่ชุดออฟฟิตเชียลหรือว่าอยู่ในงานอีเว้นอย่างนี้เราต้องงด ต้องตามแล้วแต่เงื่อนไขของแต่ละงาน
เอก : หมายถึงว่าน้องอยู่บนรถไฟฟ้า มีกลุ่มคนขอถ่ายรูป
พิม : จริงๆ มันก็พอได้ค่ะ แต่ก็อาจจะต้องรบกวนแฟนคลับดูว่าน้องเหมาะสมที่จะถ่ายหรือเปล่า แต่ว่าแฟนคลับที่เป็นโอตะเขาจะค่อนข้างให้เกียรติอยู่แล้วอะค่ะ เขาจะค่อยข้างรู้และไม่เข้าไปยุ่งเวลาส่วนตัวของ Member แต่ละคน เราก็เซฟไว้ในกรณีที่แบบว่า มีผู้ใหญ่ คนทั่วไปเขาอยากจะถ่าย เราจะรบกวนให้เขาถ่ายเป็นกลุ่ม ถ้าน้องปฏิเสธเลยมันก็จะดูว่า เสียใจนิดนึง แต่เราต้องงดขอรูปคู่ไว้ เพราะมันจะมีกรณีที่ผ่านมามันจะคนที่เขาเอารูปไอดอลไปอ้าง มันจะเกิดผลเสียกับน้อง

แล้วจะมีเซกิหรือเปล่า
พิม : เซกิเราเปิดถ่ายไปแล้วครั้งนึงค่ะ

โพลาลอยใช่ไหม
พิม : อ่าเดี๋ยวมีกฏอีกอันนึง ห้ามรับของขวัญโดยตรงส่วนตัว ถ้ามีของขวัญให้มาฝากพวกทีมงานค่ะ ราคาก็ต้องไม่เกิน 1,000 บาท เพราะเราก็ไม่อยากให้แบบแฟนคลับมาเสียตังค์อย่างนี้ค่ะเพราะน้องเขาก็อยากการ์ดได้จดหมายอยากได้กำลังใจ อยากได้ของอะไรนิดหน่อยก็พอแล้วอะค่ะ

แต่ตอนนี้เรายังไม่มีเซ็นเตอร์ให้เขาไปส่งเนอะ ใช่ไหม ส่วนใหญ่เรามีปะ
พิม : เดี๋ยวเราจะประกาศขึ้นออฟฟิเชียล
จ๊อบ : มีแล้วครับ ตอนนี้เราเตรียมสถานที่ไว้ให้แล้วครับ

จะมีตู้ปลาไหมครับ
พิม : ยังค่ะ
จ๊อบ : อยู่ในช่วงคุย พิจารณา

น้องๆ มีแฟนได้ไหม
พิม : คือทางเราไม่ได้มีสัญญาห้ามอะไรอย่างนี้อะค่ะ แต่เราจะแนะนำและสอนมากกว่า ถ้าน้องเลือกที่จะมี น้องต้องรับผลอย่างนี้ๆ นะ อาจจะต้องมีผลกระทบแบบนี้แล้วน้องควรต้องประพฤติตัวยังไง

ก็เหมือนว่ามีก็ห้ามรู้และพูดอยู่ดี
พิม : ใช่ค่ะ แต่ว่าห้ามลงรูปคู่

เด็ดขาด
เอย : เด็ดขาด ก็จะมีการทำโทษ ถ้าเกิดมีการฝ่าฝืนกฏ

ที่นี้มันด้วยความที่มี 20 ใช่ไหมครับ มันก็มีโอกาสที่น้องบางคนถึงเวลาก็ไปอีก เรามีแผนที่จะรับรุ่น 2 ให้มันเป็น 20 ตลอดไหม หรือว่าจะรับเข้ามา
จ๊อบ : เราไม่ได้กำหนดว่ามันเป็นแค่ 20 หรือไร แต่เราเป็นรุ่นเติมเต็มขึ้นมา คือเรามองว่าเป็นการเติบโตขององค์กรนึง เราจะมีแค่ 20 นี้มันไม่ได้จะทำให้ค่ายเราอยู่ได้ตลอด10 กว่าปีแน่นอน มันไม่ใช่ประเด็นนั้น
พิม : แต่ว่าถ้าในช่วงนี้เราก็จะผลักดันน้องกลุ่มนี้ไปให้ได้ระดับนึงก่อนนะคะ อาจจะยังไม่ใช่แบบว่าเร็วๆ นี้เลยอะค่ะ เราก็รอ
เอก : คือต้องบอกว่า น้องตอนนี้ คือน้องที่จะเป็นคนเซตสแตนดาร์ดสำหรับรุ่นต่อไป เราคุยกับภายในว่านี้มันรุ่นเลเจนด์เลยนะ รุ่นในตำนานเลย แล้วเขาเนี่ยแหละจะเป็นไอดอลจริงๆ เขาเป็นคนที่เซตสแตนดาร์ดให้กับ 7th Sense จริงๆ

เรามองว่ามันยาวแค่ไหนอะ ที่ญี่ปุ่นก็ 10 ปีเนอะ
จ๊อบ : ก็เหมือนๆ กันครับ ก็ต้องบอกว่าด้วยความที่เราดำเนินธุรกิจอะครับเราก็มีแผนว่าอีก 10 ปีข้างหน้าเนี่ย บริษัทของเราจะต้องเติบโตแบบไหนยังไง เพราะว่าเราก็คงไม่เปิดขึ้นมาฉาบฉวย ขายความฝันแค่นี้นะจบ ทิ้งไป

อยู่ๆ นายทุนมาบอกว่า น่าสนใจ ซื้อต่อ
พิม : ถ้าเป็นพิม พิมไม่ทิ้งเด็กไปอะค่ะ
จ๊อบ : ไม่ทิ้งเลย
พิม : ยังไงก็จะอยู่อะ
จ๊อบ : ผมเองรู้สึกว่าถ้านายทุนเข้ามาซื้อผมก็ถามเขาว่าคุณรู้จักหรือเปล่า คุณรู้จักธุรกิจนี้ดีหรือเปล่า รู้จักน้องๆ เราดีหรือเปล่าถ้าเป็น Partner มาสนับสนุน ไม่ได้ปิดกั้น
พิม : ถ้ามาทางสนับสนุนอะไรอย่างนี้ดีกว่า ถ้ามาซื้อ มาเอาเด็กของเราไปเลย มันรู้สึกแบบว่ามันไม่ได้ มันไม่
จ๊อบ : นี้เขาหวงมากนะ บอกแล้วเขาไม่ใช่แค่พี่สาว เขาเป็นแม่ โอเคเขามองมุมมอง BUSINESS แล้วกัน ถ้ามาสนับสนุน สมมุติว่าเราได้เข้าตลาดหลักทรัพย์เหมือนกัน คุณจะซื้อเราจะถือหุ้นกี่เปอร์เซ็น มีการประชุมบอร์ด มีแนวทางการแจ้งผลในที่ประชุมทราบนั้นนู้นนี้นั้น เป็นสิ่งที่ดีเพราะนั้นเท่ากับว่าเรามีกำลังทุน เราจะขยายเป็น BUSINESS ต่อไป เราจะขายเป็น BUSINESS UNIT เพิ่มหรือเราจะขยาย BUSINESS LINE เพิ่มได้ เรามีอะไรที่เราสามารถสแตนดาร์ดที่มันสูงมากกว่านี้เข้าไปอีกไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการฝึกซ้อมเรื่องเพลงที่เราอาจจะ นักแต่งเพลงต่างประเทศเราซื้อเพลงเข้ามาเลยแล้วเราเอามาใส่เนื้อไทย อย่างที่บอกครับ ถ้า Financial สตรองเราจะพัฒนาให้มันไปขีดจำกัดให้มันสูงแค่ไหนก็ได้

ย้อนกลับเรื่องสินค้านิดนึง พอดีผมพึ่งนึกได้คุณก็ต้องทำเองหนะสิ
พิม : ใช่ค่ะ เราคุยๆ กันอยู่ เดี๋ยวต้องรอดูว่า ระบบจะออกมาเป็นในรูปแบบไหน

ลงทุนอีกนะ ไม่ถูกด้วยนะ
พิม : ใช่ค่ะ ก็ต้องรอดู

หา partner เพิ่มไหม
จ๊อบ : ก็อันนี้อยู่ในแผนของเราเองเหมือนกัน ตอนนี้เราหา Partner ที่อยู่ในส่วนของ E-payment บริษัทที่เขารับ E-commerce คือเราก็ดูช่องทางการจำหน่ายดูอะไร หลายๆ อย่าง
พิม : เราก็ดูอะไรหลายๆ อย่าง ย้อนกลับไปอย่างที่เราบอกคือตอนนี้เรายังไม่ได้เดบิวด้วยอะค่ะ มันก็จะมีแพลน

แล้วซิงเกิ้ลก็ยังออกไม่ได้
พิม : ใช่ค่ะ ก็จะเร็วๆ นี้

จริงๆ แล้วเดบิวนี่วางแพลนไว้อีกกี่เดือนนะครับ
จ๊อบ : ที่ผมมองไว้ก็ควรจะ 2-3 เดือน ถ้า 3 เดือนเนี่ยมันเริ่มจะแบบดีเลย์ช้าพอสมควรแล้ว เราตั้งเป้าไว้ว่า เราควรต้องทำ Goal ของเราให้ได้ ภายใน 2 เดือนนี้ น้องจะต้องมีที่เดบิว อาจจะทำขึ้นมาเองก็ได้ หรือโชคดีมีเวทีให้โอกาสน้องๆ ได้ไปเดบิวประมาณนั้น ใช่ครับ ก็อย่างวงไอดอล วงรุ่นพี่ที่ประสบความสำเร็จ เขาก็อาจจะเวทีนู้นเวทีนี้เป็นที่เดบิว แล้วก็มีบูธในการขายนั้นนี้ เราก็หวังว่า น้องๆ ของเราจะได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่หรือทีมงานที่มองเห็นศักยภาพของเราให้ได้ไปร่วมแจมในงานนั้น เราก็ยินดีครับ

ฝากอะไรนิดหนึ่งครับ
จ๊อบ : ที่เราให้ความสำคัญกับผู้หญิงเนี่ย เพราะว่า woman power woman right เนี่ยเรามองเห็นจริงๆ ว่าผู้หญิงมีความเป็นผู้นำสูงเหมือนกันนะ เพียงแต่เขาไม่ได้โอกาสได้แสดงความคิดเห็น แต่ต้องยอมรับจริงๆ ว่า ผมสตรองในเรื่อง BUSINESS แต่เรื่อง เซอร์วิส เรื่อง MIND เรื่อง SET เรื่องอะไรที่แบบอะลุ่มอล่วย คือเราเป็นประเภทสายพุ่งชน อันนี้เขาประนีประนอม บอกจ๊อบ ใจเย็น ให้พิมในเรื่องของน้องๆ และผลงานแล้วกัน
พิม : พิมอยากให้ทุกคนเปิดใจ รับฟังเพลง T-pop ที่ทุกคนคิดให้กลับมาให้วงการกลับมาคึกคักอีกครั้ง และก็น้องๆ ในกลุ่ม 7th Sense เนี่ย ทุกคนมีความฝันและความตั้งใจจริงแล้วผู้บริหารก็เห็นถึง passion ของน้องๆ และรักน้องๆ มากก็อยากให้ทุกคนได้สัมผัสได้รู้จักตัวตนแล้วก็รักน้องเหมือนที่พวกเรารักอะค่ะ
จ๊อบ : อยากให้ทุกคนเปิดใจ ไม่ว่าคุณจะเป็นกลุ่มนักฟังเพลง กลุ่มโอตะที่ชื่นชอบในตัวบุคคลของน้องๆ ก็อยากให้เข้ามาดูว่า T-pop idol ของเราเนี่ยที่เราพยายามสร้างตรงนี้ขึ้นมา ให้ทุกคนเปิดใจยอมรับดูให้ทุกคนมาลองดูผลงานของน้องๆ ของบริษัทเรา ของค่ายเราว่า เนี่ยเราบิวอัพขึ้นอย่างนี้ ถูกใจคุณไหม
เอย : ก็สำหรับน้องๆ กลุ่มนี้มีความตั้งใจมาก ต้องเรียกว่า น้องๆ มีความฝันประเภทนี้อยู่เขาจะมีความตั้งใจมากที่อยากจะเข้ามาและเป็นไอดอลเพราะฉะนั้นเขาจะเป็นกลุ่มที่สร้างแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆ คนได้ แต่ก่อนที่เราจะมีแรงบันดาลใจต้องขอกำลังใจจากแฟนคลับทุกๆ คนให้ช่วยกันติดตามก่อนค่ะ

7th Sense Girl Group
https://www.facebook.com/7thsensegirlgroup
https://www.instagram.com/7thsensegirlgroup/
https://www.youtube.com/channel/UCabtTY6ghtOyV-CRsQ4V8Vw