ตามที่เราได้พูดคุยกับผู้ก่อการวง 7th Sense ไปแล้วก่อนหน้านี้ แล้วก็มีความเคลื่อนไหวออกมาเป็นระยะๆ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทำ MV เพลง สัมผัสรัก ที่ใกล้จะออกในเร็ววันนี้แล้ว และการจำหน่าย Photo Set ชุด First Date มาวันนี้เรามาทำความรู้จักกับสาวๆ 7th Sense ทั้ง 7 จากทั้งหมด 20 คนกันครับ (โดยมีครูพิม ผู้จัดการวงนั่งล้อมวงคุยร่วมกันนะครับ) เริ่มต้นด้วยแนะนำตัวกันก่อน

 

วาวา : อายุ 21 ปี

เรียนอยู่ที่คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาวิชาเทคโนโลยีทางภาพและการพิมพ์ค่ะ

 

น้ำหวาน : อายุ 19 ปี

ปัจจุบันเรียนอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี เรียนเป็นภาควิชานานาชาติ BBA ค่ะ Major International Business

 

เวเฟอร์ : อายุ 22 ปี

เคยเรียนที่คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แล้วก็ลงเรียนอีกที่คือมหาวิทยาลัยรามคำแหงคณะสื่อสารมวลชน

 

แองจี้ : อายุ 24 ปี

จบรัฐศาสตร์จุฬาฯ ปัจจุบันทำ HR อยู่ค่ะ

 

แพรวเล็ก : อายุ 24 ปี

เป็น operation executive ค่ะ ให้กับบริษัทแห่งหนึ่ง จะเกี่ยวกับประสานงานให้กับลูกค้า

เทคแคร์ดูแลลูกค้าอะไรอย่างนี้ค่ะ โดยใช้ ภาษาอังกฤษกับญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่

 

ตัง ตัง : อายุ 24 ปี

นักแสดงอิสระ

ต้นมอส : อายุ 22 ปี

ครูสอนบัลเลต์

ทำไมถึงเลือกที่จะมาเป็นไอดอล

แพรวเล็ก : แพรวเล็กขอตอบนะคะ โดยส่วนตัวแล้วเนี่ยป็นคนที่ชอบร้องชอบเต้นมาตั้งแต่เด็กค่ะ พอขึ้นมามัธยมต้นก็ได้มีโอกาสไปสัมผัสวงการไอดอลของทางญี่ปุ่นค่ะ คือบางทีก็ไปดูคอนเสิร์ต ทั้งไทยและญี่ปุ่น พอเราลองศึกษาดูมันไม่ใช่แค่แบบคำว่าไอดอล มันไม่ใช่แค่ตัวอย่าง หรือเป็นแค่คอยให้กำลังใจ คนต่างๆ หรือว่าแฟนคลับเพียงเท่านั้น แต่มันมีอะไรมากกว่านั้นค่ะ มันเหมือนกับว่าเราเข้ามาเป็นส่วนนึงของวงนี้เพื่อที่จะศึกษา เป็นเด็กฝึกงานที่เราอยากจะเรียนรู้ชีวิตการเป็นศิลปินอะไรอย่างนี้ค่ะ มีทั้งร้องเพลง มีเต้น มีเล่นละครที่ทำให้เราสามารถฝึกในหลายๆ อย่างได้

ตัง ตัง : ที่มาวง 7th Sense นะคะ จริงๆ ก็น่าจะเหมือนๆ กันว่าเป็นความฝัน ตั้งแต่เด็กๆ แล้วที่ชอบร้องเพลงชอบเต้น อยู่ที่บ้าน อยู่ในห้องน้ำ อยู่บนรถก็จะร้องเพลงแหกปาก แต่อย่างของตัง ก็จะมีเรื่องการเรียนมาด้วยอะค่ะ ถ้าเรียนก็จะไม่สามารถมาตรงนี้ได้ แล้วยิ่งตอนป.โท ที่ตังต้องไปเรียนที่ประจีน มันก็เหมือนต้องทิ้งความฝันเอาไว้ก่อน แล้วพอตอนนี้เรียน จบป.โท แล้วกลับมาไทย ก็มีพี่ที่รู้จักแนะนำว่า มันมีวง 7th Sense กำลังหาสมาชิกอยู่ เราก็เห็นว่าเป็นโอกาสดี เพราะอายุเราก็ไม่เกิน ก็เลยลองดู ทำตามความฝันตัวเอง ก่อนที่จะไม่ได้ทำ

แองจี้ : ตอนแรกมีความฝันอยากเป็นนักร้องตั้งแต่เด็ก อยากร้องเพลงชอบการร้องเพลงที่สุดเลยเพราะรู้สึกเหมือนว่าอยากสื่อสารส่งความสุขไปถึงคนดูผ่านบทเพลง แล้วพอได้รับโอกาสได้เข้ามาออดิชั่นวงนี้ก็รู้สึกดีใจมากๆ เลย ได้ร้องเพลง ได้เข้ามาพัฒนาค่ะ แล้วพอไปออดิทอเรียม (ที่พบปะแฟนคลับ) แล้วได้เจอแฟนคลับ ได้ร้องเพลง แล้วเขาร่วมร้องไปกับเรา เข้ามาให้กำลังใจเราในเพจว่าเขาดีใจมากเลยที่เขาได้มาร้องเพลงกับเรา แองจี้ยิ้มให้เขา เราก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น แล้วเราเหมือนกับว่าได้ทำตามความฝันของเราด้วย และได้ส่งความสุขให้คนดูด้วย

น้ำหวาน : คือหนูไม่ได้ติดตามทางไอดอลญี่ปุ่นเหมือนพี่แพรวเล็กมาก่อน หนูเหมือนเพิ่งเข้ามาเรียนรู้ใหม่ การที่มียิงมิกซ์อะไร หนูพึ่งเรียนรู้ใหม่หมดเลย แต่ก็ชอบมากเลย รู้สึกว่ามันมันมาก แต่คือที่พี่แองจี้บอกว่า แฟนคลับเขาตื้นตันคือ หนูก็มีวันนึงเขาก็ Direct Message มาในเฟสบุ๊คของออฟฟิเชียล หนูตอบไม่ได้นะคะ แต่หนูก็เข้ามาไปอ่าน พอวันที่มีออดิทอเรียมวันอาทิตย์ เขาตื่นเช้ากว่าทุกวัน เพื่อมาดูพวกเรา เขาส่งให้หนูอะ แฟนคลับส่งมายาวมากหลายคนมากๆ หนูรู้สึกว่าเราสามารถเป็น Inspiration เหมือนอยากที่จะมีแรงบันดาลใจในการทำงานหรือทำอะไรอย่างนี้อะค่ะ เหมือนเป็นแรงผลักดันที่อยากทำต่อไปเรื่อยๆ

วาวา : วาเคยอ่านสัมภาษณ์ของดาราคนนึงเขาบอกแบบว่า สื่อสมัยนี้ สื่อออนไลน์มันสำคัญ มันจะดันให้สังคมไปทางไหนก็ได้เพราะตอนนี้ทุกคนเข้าถึงง่ายมาก ถ้าเราเป็นส่วนนึงที่ออกมาแสดงด้านดีๆ ให้สังคมเห็น ให้เขาเห็นความตั้งใจ เป็นแรงผลักดันทางด้านดีให้เขา น่าจะดีกว่าที่ไปโพสต์อะไรที่ทำให้สังคมไปในทางที่แย่ๆ ถ้าเราเป็นแรงบันดาลใจทางด้านนี้น่าจะดีกว่า

 

พ่อแม่คัดค้านไหมที่เราเข้ามาในวง 7th Sense

เวเฟอร์ : คือคุณพ่อคุณแม่ก็สนับสนุนค่ะ เวลาที่จะมาทุกวันคุณพ่อก็จะให้คุณแม่มาเป็นเพื่อน ท่านรู้สึกว่ามันเป็นความฝันของหนู หนูอยากทำอะไร เขาก็อยากทำให้มันสุด จนเท่าที่หนูต้องการ คือไม่มีการคัดค้านทั้งพี่น้องก็ไม่ได้คัดค้านว่าเรามาอยู่ตรงนี้นะ

เขาไม่กลัวเสียการเรียน

เวเฟอร์ : เขาก็พูดนะคะ ว่าให้เราต้องตั้งใจเรียน แล้วตอนที่หนูไปสอบทั้งๆ ที่อยู่วงนี้ หนูก็ได้เอมา หนูเลยรู้สึกว่าเราไม่จำเป็นต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่ง เราสามารถทั้งสองอย่างให้มันดีได้ค่ะ (ปรบมือรัวๆ)

 

แล้วเราแบ่งเวลายังไง เพราะเราต้องมาซ้อมทุกเย็นไหม

ครูพิม : เกือบทุกวัน

 

แล้วแบ่งเวลายังไง การบ้านก็ต้องทำ หนังสือก็ต้องอ่าน

เวเฟอร์ : ก็ถึงบ้านหนูก็อ่านแป๊บนึงอะค่ะ ก็คืออ่านให้รู้สึกว่าไม่ง่วง เราจำได้ จนกว่าจะพออะค่ะ จนกว่าหนูรู้สึกว่าเราควรจะพอแล้วนะ หนูรู้สึกว่าหนูเป็นคนอ่านหนังสือเข้าใจง่าย หนูก็เลยทำให้ตัวเองได้เอมาได้ง่ายๆ (ปรบมือรัวๆ)

น้ำหวาน : จริงๆ ของหนูไม่เหมือนเวเฟอร์เท่าไหร่ ตอนแรกเรียนธุรกิจมาใช่ไหมคะ แต่ก็เพิ่งมารู้ว่าเรามีความฝันตรงนี้มาตั้งแต่เด็กแล้วแต่เราเก็บมันไว้ในส่วนลึกของหัวใจแล้วไม่ทำมัน จนกระทั่งวันนึงเรามาค้นพบเจอ เราเริ่มอยากจะทำแต่ทีนี้พ่อแม่ไม่ได้อยากให้เราทำขนาดนั้น แบบว่าเรื่องหลายๆ อย่างใช่ไหม เรื่องความปลอดภัย ความมั่นคงหลายๆ อย่าง แล้วคุยกับพ่อแม่หลายรอบมากๆ จริงๆ (เสียงสะอื้น น้ำตาร่วง) เรารู้ว่าตรงนี้เราทำแล้วเรามีความสุขมากๆ ทุกครั้งที่ได้ทำค่ะ แล้วแบบว่าพ่อแม่เขาจริงๆ เป็นคนเหมือนกับ… พ่อแม่เขาเป็นคนที่ออกมาคนละสายกับด้านวงการบันเทิง เขาไม่ได้ห้ามขนาดนั้น แต่เขาก็พูดหลายรอบว่าไม่อยากให้ไป เหมือนกับอยากให้ทำงานที่มันมั่นคง แต่หนูก็คุยหลายรอบเรื่องของความปลอดภัยด้วย แบบเวลาหนูไปแคสงาน หนูก็แบบว่า หนูขอเถอะ ไปแคสก็รายงานพ่อแม่ตลอด บางทีเขาก็ไปรับไปส่งอะไรอย่างนี้ค่ะ คุยบอกกับเขาว่า หนูตั้งใจจริงๆ มันเป็นความฝันของหนู หนูขอลองทำเพื่อพิสูจน์ สำเร็จหรือไม่สำเร็จ ก็ขอลองเถอะ ชีวิตนี้ถ้าไม่ได้ทำหนูคงเสียดายก่อนตาย ก็มาทำ ตอนนี้พ่อแม่ก็โอเคแล้ว ถึงปากเขาจะบอกว่าไม่อยากให้มาทำเลย แต่ใจเขาไปรับไปส่งตลอด คอยพูดว่าเนี่ยหวานต้องพัฒนาตรงนี้นะ อยากให้ทำ อัพรูปคอยเช็ครูป เช็คยอดไลค์ เช็คอะไรให้หนูตลอดเลยอะ วันนี้ไลค์เพิ่มขึ้นแล้วเนี่ย

 

คิดว่าอะไรเป็นจุดที่ทำให้พ่อแม่ยอมรับในสิ่งที่เราเพียรสร้างเพียรขอเพียรพยายามทำ

น้ำหวาน : หนูว่าน่าจะเป็นที่แบบหนูทำมาตลอด คือตอนแรกๆ ที่หนูเข้ามาด้านนี้หนูก็ไม่รู้อะไรเลยอะ ไปแคสอย่างนี้ก็มีทั้งได้ไม่ได้ ไม่ได้เยอะมากเลย แต่หนูไม่เคยท้อ ถึงไม่ได้หนูจะเรียนรู้จากมัน แล้วหนูก็ไปใหม่ จนกระทั่งเอาให้ได้ แล้วเขาคงเห็นตรงนี้ของหนู

 

ก็คือไปแคสงานอย่างอื่นก่อนที่จะเข้ามาที่นี้

น้ำหวาน : ก่อนที่จะเข้ามาที่นี้

ครูพิม : น้องพยายามหาตัวเองแต่ยังไม่ค่อยเจอ จริงๆ น้องชอบทางด้านดนตรีมาอยู่แล้ว

น้ำหวาน : ใช่ๆ หนูก็เรียนเปียโนมาอยู่แล้ว

ครูพิม : เล่น อูคูเลเล่เป็นสายนี้มา เหมือนที่บ้านอาจจะตั้งความหวัง เพราะน้ำหวานเรียนเก่ง เขาก็ตั้งความหวังนิดนึง เขาก็กลัวว่าน้ำหวานอาจจะดรอปทางด้านนี้หรือเปล่า ทางเรียนดรอปลงหรือเปล่า แต่น้ำหวานก็พยายาม

พิสูจน์ว่าแบบมันไปด้วยกันได้ แล้วก็รับผิดชอบทั้งสองทาง

 

แต่ไม่ดรอปใช่ไหมการเรียน

น้ำหวาน : มันก็เพิ่งเข้ามา แต่หนูก็จะพยายามให้ให้มันอยู่ในมาตรฐานที่หนูโอเค หนูตั้งให้มันได้มากกว่า 3.6 เกียรตินิยมอันดับ 1 ก็โอเคแล้ว

วาวา : ถ้าพูดถึงเรื่อง Support จะคล้ายๆ พ่อน้ำหวาน เขาจะคอยเช็คเนี่ยยังขาดตรงนี้ ลองโพสต์รูปเยอะๆ แต่ว่าเขาจะมีความเข้าใจหนูทั้งพ่อทั้งแม่ เขาเชื่อในการตัดสินใจของหนูมากกว่า คือตอนที่หนูติดแล้ว จะเซ็นสัญญาหนูก็คิดแล้วว่าจะบอกกับเขายังไง จะคุยยังไง เขาจะให้ไหม เขาก็บอกแล้วแต่เลย แล้วแต่หนู เขาเชื่อว่าเราทำได้ เขาไม่เคยบังคับอะไรเลย แค่หนูชอบเขาเห็นว่าหนูตั้งใจ เขาเชื่ออะลองทำไม่ได้ห้าม

 

แล้วพี่ๆ หละครับ

ตัง ตัง : มันเหมือนของน้องๆ เลย คือเข้าใจค่ะ แต่เหมือนอย่างตัง ตัง ก็คืออย่างที่บอกว่าเรามีความฝันทางด้านนี้ตั้งแต่เด็กๆ แล้วก็เรียน ป.ตรี ได้มีโอกาสเริ่มไปแคสงาน อย่างที่เล่าให้ฟังก็คือตัง เรียน ICT COMPUTER แต่ก็ได้มีโอกาสไปแคสงานโฆษณาหรือว่าถ่ายละครก็มีความรู้สึกว่าอันนี้ชอบแล้ว ไม่ใช่คอมพิมเตอร์แล้ว แต่ก็โอเคเรียนให้จบเพื่อที่บ้านและเพื่อคุณแม่ พอจบ ป.ตรี เราก็มีโอกาสได้ทำพิธีกร และโฆษณาด้วย ตอนนั้นจบ ป.ตรี อาจารย์เขาก็มาทักว่าอาจารย์มีทุนไปต่อ ป.โท ที่จีนให้นะ แล้วก็ไปเล่าให้แม่ฟังให้ที่บ้านฟัง ซึ่งก็รู้เลยว่าคุณแม่กับที่บ้านเนี่ย อยากให้ไป เขาก็ยังคิดแบบต้องการให้เรามีงานที่มั่นคง มีการเรียนที่ดี แต่เราก็รู้แล้วว่าเราชอบอะไร แต่เราก็โอเค สมัครไปให้ พอสมัครแล้วปรากฏว่าได้ ก็เลยต้องไป ก็เลยคุยกับแม่ว่าได้ทุนแล้วแต่หนูไม่อยากไปเลย หนูได้ทำตรงนี้แล้ว หนูชอบ หนูไม่อยากไป แต่อาจารย์ก็บอกว่าไม่ได้แล้ว เขาให้เราแล้ว ถ้าเราไม่ไปก็เหมือนเสียความสัมพันธ์ที่ดีไป ก็เลยไปเรียนต่อ ป.โท 2 ปี พอกลับมาพูดตรงๆ เรื่องอายุมันก็เยอะระดับนึงแล้ว หนูเลยขอมาม่าว่าขอ 1 ปี เพื่อพิสูจน์ตัวเอง ว่าอยากทำตามความฝันตรงนี้ แต่ใจรู้เลยเพราะแม่ก็ถามบ่อยมากว่า ไม่ลองสมัครงานดูหรอ เพื่อนคนอื่นเขาก็ทำงานแล้วนะ ได้เงินเดือนทุกเดือน แต่ของเราไม่แน่นอนไม่มั่งคง แต่เขาก็ Support เขาก็รู้ว่าเราชอบตรงนี้ เขาให้เราทำ แต่เขาก็เป็นห่วงของเขาว่ามันจะไม่มั่นคงหรือเปล่า หนูเลยขอฮึดสุดท้าย

 

เหมือนว่า 1 ปี กับการพิสูจน์ตัวเองว่าเราจะไปได้ดีไหม ถ้าไปไม่ได้ก็จะยอม

ตัง ตัง : ใช่ค่ะ เหมือนอยากให้เวลาตัวเอง ขอโอกาสจากคุณแม่เพื่อพิสูจน์ตัวเอง ว่ามันไปได้ไหม เพราะหนูรู้สึกว่า ถ้า ณ จุดนี้ หนูไม่ได้ทำตรงนี้ หนูจะรู้สึกเสียใจไปตลอด เพราะว่าอายุมันอาจจะโตแล้ว มันจะไม่มีโอกาสได้มาทำตรงนี้อีกแล้วอะค่ะ

แพรวเล็กกับแองจี้พยักหน้าแรง 555

แองจี้ : จริงๆ ของแองจี้คล้ายทุกคนที่พูดมาเลย บ้านแองจี้ค่อนข้างเข้มงวดแบบคาดหวังสูงมากด้วยเพราะแองจี้เป็นพี่คนโตด้วย ตั้งแต่เด็ก ที่บ้านแองจี้เขาจะให้กฏ เขาขอแองจี้แค่เรื่องเรียน ต้องเรียนให้จบตรีและเรียนจุฬาเท่านั้น หรือว่าเขาก็อยากให้ทำงานประจำเหมือนที่บ้าน ตัง ตัง มีเงินเดือนเหมือนชีวิตคนอื่นเขา แต่เขาจะบอกแองจี้อยากจะทำอะไรเพิ่มก็ได้ แต่ต้องทำพื้นฐานที่เขากำหนดอยู่แล้วให้ได้ด้วย แองจี้ก็จะยิ่งชาเลนจ์ตัวเองมากขึ้นไปอีก แต่ว่าตอนแรกที่มาทำวงเหมือนกับว่าที่บ้านเขาก็ตามใจเราอยู่แล้ว เพราะเราไม่ได้เสียในสิ่งที่เขาขอ

เพราะเรายังทำงานประจำอยู่

แองจี้ : แล้วเราก็ทำครบ 1 ปีตามที่เขาคาดหวังเอาไว้แล้ว

 

ผ่านช่วงพิสูจน์มาแล้ว

แองจี้ : ใช่ค่ะ แล้วก็เหมือนกับว่าพี่ที่ทำงานก็ชอบมาก อยากให้มาทำวง คือตอนนี้ทุกคนก็ผลักดัน ทุกคนก็จะแฮปปี้

 

แต่การที่เรามาทำตรงนี้ ทั้งที่เรามีงานประจำอยู่ เราต้องแบ่งเวลาไหม ต้องมีการลางานบ้างหรือเปล่า

แองจี้ : ก็มีบ้างค่ะ เราก็จะมีรูปแบบการลาหลายรูปแบบ เราก็ต้องมีการบริหารจัดการ หาช่องทางในการลาเอาเอง เราก็ต้องมาตรฐานเหมือนกัน แต่ว่าคือแองจี้เป็นคนแอคทีฟมาก ชอบทำอะไรหลายอย่างในเวลาเดียวกัน คือรู้สึกว่าถ้าทำอย่างเดียวมันเงียบเหงาเกินไป

ครูพิม : ต้นมอสมีอะไรไหม
ต้นมอส : ที่บ้านไม่ได้มีปัญหาค่ะ เพราะว่าเหมือนกับแบบเป็นเด็กกิจกรรมมาตั้งแต่เด็กๆ เรียนเต้นมาตั้งแต่ 3 ขวบ ขอคุณแม่ พอเรียนจบปุ๊บ พอเริ่มสอนบัลเลต์ ตอนแรกก็บอกแม่ว่าจะมาเข้า 7th Sence นะ แม่ก็จะถามนิดนึง ก็ประมาณว่า แล้วจะแบ่งเวลาได้ไหม หรือว่าจะมั่นคงหรือเปล่า คุณแม่ไม่ได้มีปัญหา แต่ว่าจะเตือนตลอดว่าถ้าทำตรงนี้แล้วอย่าทิ้งการสอนบัลเลต์นะ หรือว่าทำบัลเลต์แล้ว สอนเหนื่อยวันนี้มาซ่อมไม่ไหว เราด้อยกว่าคนอื่นเป็นตัวถ่วงของวง เขาเรียกว่าอะไรนะ คือที่บ้านก็จะแบบค่อนข้างเคร่งเรื่องกฏระเบียบ แล้วก็การใช้ชีวิตคือเหมือนเวลาอยู่บ้านก็ต้องมีตารางอะค่ะว่า 7-8 โมง ตื่นนะ 8-9 โมงคุณอาบน้ำ คือต้องมีตาราง

แพรวเล็ก : สำหรับแพรวเล็กก็คล้ายๆ ทุกๆ คนเลย คือที่บ้านจะเคร่งมาก ยิ่งเรื่องเวลาคุณพ่อจะเข้มงวดมาก เราต้องมีความรับผิดชอบ ต้องตรงเวลาอยู่เสมอ คุณพ่อคุณแม่ก็สนับสนุนในสิ่งที่ทำค่ะ แต่จะมีเงื่อนไขตามมา ตั้งแต่มหาลัยแล้วหนูอยากไปเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่น คุณพ่อก็สนับสนุนแต่มีกฏขึ้นมาว่าอย่างน้อยต้องจบได้เกียรตินิยมนะ ต้องได้เอทุกตัวนะ ซึ่งเป็นสิ่งที่หนูอยากทำจริงๆ แล้วหนูก็แบบถ้าเรามีความตั้งใจทำไมจะทำไม่ได้ หนูก็เลยเรียนจบภายใน 3 ปีครึ่งได้เกียรตินิยมอันดับ 2 ไม่เอทุกตัว เป็นคนไม่เก่งบริหารค่ะแต่จะได้เอทุกตัวทางฝั่งญี่ปุ่นแทน ก็จะมีเงื่อนไขแบบนี้มาตลอด จนกระทั่งช่วงเวลาทำงาน ตอนแรกก็ทำงานประจำอยู่แล้วพอออดิชั่นผ่าน คุณพ่อแม่ก็สนับสนุน แต่ก็บอกว่าเราต้องรู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเองนะ คือไม่ใช่ว่าทำฝั่งนี้ดีแล้วฝั่งหนึ่งจะด้อยลงไปนะ เหมือนต้นมอสอย่างนี้ค่ะ เราควรบริหารจัดการเวลาให้ดี อย่าให้เสียด้านใดด้านนึง อย่าให้เป็นตัวถ่วงของวง

 

แล้วเราทำงานประจำแล้วแบ่งเวลามาตรงนี้ยังไง อย่างวันนี้ก็ต้องลาหรือเปล่า

แพรวเล็ก : ใช่ค่ะ แต่ก็จะคุยกับหัวหน้าตั้งแต่แรกเลย ตั้งแต่ออดิชั่นผ่านมาจะขอปรับเวลาการทำงาน ก็จะลดเวลาการทำงานลงมา เพื่อให้ปรับเข้ากับการซ้อมของที่นี่

 

ยากกว่าคนอื่นๆ นะ เพราะว่าพี่ๆ ที่ทำงานด้วย นักเรียนมันตายตัวพอ 5 โมงก็เข้าซ้อมทุ่มนึง

ครูพิม : ตอนเย็นค่อนข้างจะเอื้อกับน้องๆ ทุกคน

 

แล้วพี่พิมจัดเวลาซ้อมยังไง

ครูพิม : ก็จะเริ่มประมาณ 6 โมงครึ่ง เลิก 3-4 ทุ่ม

 

พื้นฐานที่มีอยู่ เราพัฒนาต่อจาก 7th Sense เทรนนิ่งยังไง

ตัง ตัง : ก่อนอื่นขอเกริ่นก่อนว่าวงเราเนี่ย ไม่ได้เก่งทุกคน เวลาออดิชั่นเข้ามาไม่จำเป็นว่าคุณต้องเป็นคนร้องเก่งหรือว่าเต้นเก่ง บางคนอาจจะร้องเพี้ยนด้วยซ้ำหรือว่าเต้นไม่ได้เลย แต่ว่าพี่ๆ เขาก็อาจจะเห็นบุคลิกหรือความตั้งใจของพวกเราค่ะเพราะฉะนั้นพอเราเข้ามาปุ๊บ ก็จะต้องมีการสอนร้องเพลง สอนเต้น เพราะว่าจริงๆ แล้วนอกจากการเป็นไอดอล หรือการเป็นศิลปิน นอกจะร้องจะเต้นแล้ว ก็จะต้องฝึกบุคลิกภาพ ฝึกระเบียบวินัย การพบสื่อการวางตัวอย่างนี้ด้วยค่ะ และบางทีการร้องเพลงก็อาจจะมีการแบ่งกลุ่มเพื่อที่จะได้เจาะลึกนักเรียนแต่ละคนมากขึ้น

 

จะเห็นว่ามาฝึกที่นี้จริงๆ จะมีประมาณ 3 ชม/วัน

ครูพิม : ก็จะประมาณ 6 โมงครึ่ง ถึง 4 ทุ่มอะค่ะ

 

สลับกันไปใช่ไหม ไม่ใช่ว่าทุกวันมาร้องมาเต้นใช่ไหม

ครูพิม : ถ้าหลักๆ ตอนนี้ก็จะมี ร้อง 2 วัน เต้น 2 วันแล้วก็วันอาทิตย์ก็จะมีงานที่ออดิทอเรียม แต่เราไม่ได้จัดทุกอาทิตย์ เพราะว่าเราต้องมีน้องพักบ้างหรือน้องไปออกสื่อบ้าง

 

เอาคนที่ร้องไม่เก่งก่อน เอาคนไหนดี ใครอยากจะตอบคนที่ร้องไม่เก่ง มีวิธีการฝึกยังไงนอกจากการมาฝึกที่นี่

เวเฟอร์ : ก็วันออดิชั่นนะคะ ร้องแล้วเปลี่ยนทำนองให้วงของตัวเอง เปลี่ยนทำนองให้เขาแถมร้องก็เพี้ยนเหมือนด้วยความตื่นเต้น แต่พึ่งสอบไป พี่พิมกับครูเอกก็ชมว่าดีขึ้นนะ รู้สึกว่าโอเคขึ้นเพราะว่าอยู่บ้านหนูเปิดยูทูปค่ะ แล้วก็ฟังเพลงหลายๆ แนวแล้วก็ทำอารมณ์ไปตามเพลง เพลงเศร้าหนูก็จะร้องไห้ไป เพลงมีความสุขก็เหมือนจะยิ้มไปกับเพลง หนูก็จะทำอารมณ์เหมือนสอนแอคติ้งให้ตัวเองมั้ง ทำตามเนื้อเพลงเลย
ครูพิม : วันออดิชั่นคือแบบว่า…
เวเฟอร์ : วันออดิชั่นทุกคนขำหนู แบบร้องเพลงเพี้ยน แถมยังทำนองท่อนสุดท้ายอะไรก็ไม่รู้ เปลี่ยนให้เขาไปหมดเลย
ครูพิม : ที่พิมบอกเมื่อกี้ เราเลือกจากหลายๆ แบบ เราไม่ได้เลือกจากคนที่เก่งอย่างเวเฟอร์ น้องน่ารักน้องยิ้มตลอด น้องก็สายทำบุญ เป็นแม่ชี เป็นคนจิตใจดีในการสัมภาษณ์อะไรอย่างนี้ค่ะ

 

มีใครร้องเพลงไม่เก่งอยากจะพูดอีกไหมครับ ว่าซ่อมยังไง

น้ำหวาน : หนูเองก็รู้สึกว่าตัวเองร้องเพี้ยนมากๆ ก็เคยไปเรียนร้องเพลงมาบ้าง ช่วงนี้ปิดเทอมอยู่หนูอยู่บ้านก็พยายามตั้งใจวอมเสียงให้ได้ทุกวัน เปิดคลิปวอมเสียง นั่งซ้อมที่บ้านแล้วก็มีการซ้อมเปียโนด้วย คือหนูเล่นเปียโนได้ แล้วหนูอัดคลิปลงยูทูปแฟนคลับขอเพลงมา หนูก็ตายเลยเพราะขอกันมาเยอะมาก หนูต้องทยอยซ้อมเพื่อให้แฟนคลับได้ฟังค่ะ ก็ตั้งใจเลยค่ะว่าต้องได้วันละ 1 ชั่วโมง เป็นมาตรฐาน

 

มีใครไหม มีใครก็เต้นยากจุง ร้องยากจัง

แองจี้ : เป็นคนที่ไม่ได้ออกกำลังกายเลย ร่างกายก็เหมือนกับไม่ค่อยคล่องหรือยืดหยุ่น ท่าเต้นส่วนใหญ่มันจะเป็นแบบการไอโซเลชั่น การแยกส่วนร่างกาย แล้วท่าเยอะมาก บางที 1-10 ภายในแปปเดียวแล้วแองจี้จำไม่ได้ แล้วต้องเต้นต้องโยกขาแล้วมันก็ไม่ลงจังหวะสักที ตอนแรกก็รู้สึกเหมือนกันนะว่าวันนึงเหมือนเต้นไปครึ่งเพลงแล้ว จะไปจำได้ยังไง ก็เลยใช้วิธีเหมือนกับว่าเรียนไปครั้งนึง กลับไปบ้านก็พยายามใช้วิธีการจำค่ะ จำให้เร็วที่สุดว่ามีท่าไหนบ้าง แล้วพอเริ่มทำท่าได้แล้วค่อยมาเก็บรายละเอียดให้มันถูกต้อง

 

อันนั้นก็คือไปทำที่บ้านต่อ

แองจี้ : ใช่แล้วตั้งแต่ตอนเรียนก็แบบให้ตัวเองเร็วที่สุด เข้าใจง่ายที่สุด คือดูปั๊บเข้าใจปุ๊บ ตอนแรกอาจจะใช้เวลานานหน่อย แต่ก็เริ่มเปลี่ยนมายเซ็ทของตัวเอง ยิ่งเราช้ากว่าคนอื่น เราก็ยิ่งต้องให้ได้ไวเท่ากับเขา

 

ใครที่เก่งไหม ที่เต้นเร็วเต้นเก่งและสามารถดูแลน้องๆได้ ต้นมอสดูแลคนในวงยังไง

ต้นมอส : ก็ไม่ได้บอกว่าเต้นแบบดีมาก จนแบบครูโอเคขนาดนั้น

 

สเต็ปยังไงก็ต้องดีกว่าคนอื่น

ต้นมอส : ก็สอนทีละคน คนนี้มีปัญหาตรงไหนบ้างแล้วจะสอนทีละสเต็ป เขาขาดตรงไหน เขาถ่ายน้ำหนักผิดหรือเปล่า

 

ดูแล้วแต่ละคนไม่เหมือนกันเลย ให้ตอบทีละคน คิดว่าอะไรคือจุดเด่นของเรา

วาวา : อาจจะเป็นเพราะหนูเต้น Cover มาก่อน แล้วก็จะมีพื้นฐานด้านการเต้น เวลายิ้มแล้วไม่มีตา เวลายิ้มแล้วตาหายไปหมดเลย คงเป็นแบบรอยยิ้มอะไรอย่างนี้อะค่ะ

แองจี้ : จุดเด่นก็อาจจะเป็นรอยยิ้ม ความสดใสแล้วก็ความพยายามค่ะ อันนี้แฟนคลับบอกมา มีสโลแกนนะคะ ตอนนี้เป็นแองจี้ค่ะ แต่จะเป็นแองเจิ้ลในใจทุกคน

น้ำหวาน : ตาก็ตาหายเหมือนกัน แฟนคลับจะชอบแซวลืมตาแล้ว ลืมตาด้วย วันอาทิตย์ที่ผ่านมาก็แซว นอกนั้นก็คงเป็นเรื่องของเปียโนอะค่ะ หนูเรียนเปียโนมาตั้งแต่เด็กๆ เล่นได้แล้วก็โพสต์ลง แฟนคลับเขาก็ชอบ ก็รีเควสมา แล้วก็ตอนนั้นไม่เคยรู้มาก่อนเลย ไปถามพี่พิมว่าเสน่ห์ของหวานคืออะไร พี่พิมบอกว่าเรื่องการพูด ซึ่งก็ไม่เคยรู้ แต่หวานก็เป็นพิธีกรประจำคณะอยู่แล้วอะค่ะ ก่อนหน้านี้ก็จะรับพิธีกรอีเว้น หรือแข่งพูดสุนทรพจน์ หรือทำดีเบตอะไรอย่างนั้นมาเยอะ

เวเฟอร์ : อาจจะเป็นเพราะหนูมองโลกในแง่ดีมาก แล้วจะสดใสเกินเหตุ สดใสเกินทุกคน แล้วก็ชอบยิ้มค่ะ ยิ้มเยอะ ยิ้มจนเห็นเหงือก รู้สึกว่าแฟนคลับชอบในความสดใส

แพรวเล็ก : ก็น่าจะเป็นที่เสียงเนอะ เสียงจะเล็กกว่าชาวบ้าน สโลแกนก็ถ้านึกถึงเสียงเล็กๆ ให้นึกถึงแพรวเล็กน้า โดดเด่นอีกอย่างก็น่าจะสายญี่ปุ่นมาเลย ยิงมิกซ์ ญี่ปุ่นแท้

ตัง ตัง : ก็เป็นเรื่องมุขแป๊กๆ เป็นคนร่าเริง ชอบยิ้ม แก้มบานเล่นมุกแป้กอะไรอย่างนี้อะค่ะ

ต้นมอส : ก็จะเป็นสาวสไตส์เท่ห์ๆ ขรึมๆ อะค่ะ ถ้าสมมุติว่ายืนอยู่ 20 คน ต้นมอสเหมือนจะนิ่งสุดหรือเปล่า

 

ในมุมมองของเรา คิดว่าเราแตกต่างจากคนอื่นยังไง

น้ำหวาน : เหมือนกับว่าของเราเป็น T-pop idol คือเป็นของไทย จะสังเกตได้จากวัฒนธรรมทั้งเรื่องของเพลงแนวเพลงของเราก็จะค่อนข้างแตกต่าง เพราะเราแต่งเองคนไทยเป็นคนแต่ง แล้วก็มีสไตล์ กลิ่นไอของยุค 90 เขามาเล็กน้อย

ตัง ตัง : ก็คือการนำเพลงสมัย 90 ที่ตอนนั้นยุคเพลงไทยกำลังเฟื่องฟู เราต้องการนำความสนุกนั้น เพลงไทยนั้นกลับมาอีกครั้งนึง แต่ว่าแนวเพลงของเราเนี่ย อย่างที่น้ำหวานบอก ก็คือเอาแนว 90 มาแต่ว่าเราจะบวกความเป็นอิเล็คทรอนิคให้เต้นไปด้วยได้ค่ะ

น้ำหวาน : ให้เหมาะกับคนรุ่นใหม่ ฟังเพลงแนวเต้นมากขึ้น แล้วก็ปรับให้เข้ากับเขา

ตัง ตัง : เราขายความพัฒนา เหมือนรูปแบบก็คือ สัมผัสรัก ใช่ไหมคะ 7th Sense คือ สัมผัสรัก เป็นความรักระหว่างเมมเบอร์แต่ละคนกับแฟนคลับ เนื่องจากวงเราก็จะมีความใกล้ชิดกับแฟนคลับ เพื่อให้แฟนคลับเห็นความพัฒนาของพวกเรา และเป็นการส่งกำลังใจถึงกันและกัน

เตรียมรูป และข้อความกันยังไง เวลา Tu Tu Live เตรียมการกันอย่างไร

ต้นมอส : อันแรกเป็นรูปกับแคปชั่น คือรูปต้นมอสจะดูก่อนนอนว่าโอเคพรุ่งนี้จะรูปนี้นะ จะเตรียมตัวค่ะ จะคิดแคปชั่นให้มันคล้องจองกับรูปถ้าคิดไม่ออกจริงๆ อาจจะเป็นเหมือนเป็นคำให้กำลังใจหรือจะเป็นคำอะไรที่ตลกๆ ส่วนเรื่องไลฟ์จะคิดเรื่องไว้ วันนี้จะมาแนะนำตัว วันนี้จะมาคุยเรื่องสัตว์นะ จะคุยเรื่องของกิน จากนั้นจะมีแฟนคลับมาคุยด้วยตลอดอยู่แล้วเราก็จะอ่านคอมเมนต์แล้วก็ตอบ

แพรวเล็ก : สำหรับแพรวเล็กนะคะ ถ้าเรื่องรูปเนี่ยคือหนูเป็นคนที่แบบว่ามีแต่รูปเผลอ รูปหลุดหน้าตาตลกๆ เพราะฉะนั้นเลยรูปสวยๆ ไม่ค่อยมีค่ะก็เลยลงได้แค่วันละโพสต์เท่านั้นเพื่อที่จะได้มีรูปเหลือไว้ใช้ในวันต่อไป ก็อย่างต้นมอสเนอะว่ารูปนี้เราอยากจะสื่อสารอะไรกับแฟนคลับแต่ส่วนมากของหนูจะแบ่งเป็น 2 เรื่องหลักๆ ก็คือแนวตลกๆ ฮาๆไปเลย เพราะส่วนมากรูปไม่ค่อยสวย แล้วก็อีกรูปจะเป็นแนวให้กำลังใจอย่างนี้มากกว่าค่ะ ส่วนเรื่องไลฟ์เนี่ยพูดตรงๆ หนูเป็นคนพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง แล้วหนูจะชอบซ้อนประโยค ตอนช่วงก่อนจะไลฟ์เนี่ยหนูจะคิดเอาไว้แล้วว่า ในช่วงก่อนอาทิตย์นึงที่ผ่านมาเนี่ย เรามีอะไรที่เด็ดหรือมีอะไรที่อยากจะพูดกับแฟนคลับบ้าง แล้วก็จะเอามาพูดในไลฟ์ แต่ส่วนมากสิ่งที่คิดก็จะออกมาพูดได้แค่ 10 เปอร์เซ็น พอแฟนคลับพูดมา แล้วเราก็จะแบบว่าอะแล้วเมื่อกี้พูดอะไรไปนะ จะชอบเป็นอย่างนี้

เวเฟอร์ : ของหนูเมื่อก่อนเวลาลงรูปแล้วไม่มีแคปชั่นจะเป็นรูปอิโมจิ ตอนนี้ก็เริ่มคิดแล้วว่าเราจะต้องโพสต์ยังไงแบบรูปแบบนี้เหมาะกับแบบไหน แต่บางทีมันก็จะรูปไม่เหมาะกับแคปชั่น แต่ก็อยากโพสต์ให้แฟนคลับรับรู้ ตอนนั้นลงรูปแต่งตัวเท่ห์แต่ว่าลงแคปชั่นอะไรก็ไม่รู้ แล้วแฟนคลับถามว่ามันเกี่ยวกันตรงไหน ก็เลยต้องปรับนิดนึงต้องคอยถามเพื่อนว่าแบบนี้โอเคไหม ก็จะมีเพื่อนๆ ช่วยกันตอบค่ะ ส่วนในไลฟ์ถึงบ้านก็ตั้งกล้องเลย ที่บ้านมีน้องหมาอยู่ 2 ตัวก็จะผลัดกันมาอ้อน เดี๋ยวก็ซ้ายเดี๋ยวขวา ก็เหมือนเรามีเพื่อนคุยเพิ่มขึ้นเป็นน้องหมา 2 ตัวคนก็จะอุ้ยน้องหมาน่ารักจังเลย เราก็จะจับขึ้นแบบ น่ารักไหม ก็คือใช้สัตว์เลี้ยงให้เป็นประโยชน์ค่ะ คือครึ่งชั่วโมงก็ต้องโชว์น้องหมา แต่ส่วนมากก็จะมีเดียร์ เดียร์ที่เข้ามาดูบ่อยๆ ก็มีเมมเบอร์เข้ามาดูบ่อย ก็เลยเผาเดียร์ พอเข้าไปเดียร์ก็จะเผาหนูผลักกันเผา เราจะมีเรื่องให้เผากันตลอดเวลา

น้ำหวาน : จริงๆ แล้วเป็นคนไม่ค่อยชอบเล่นโซเชียล หนูก็พยายามเล่นให้มากขึ้น วันแรกมีคนตะโกนว่า อยากให้น้องทุกคนโพสต์รูปทุกวันเลยหนูก็แบบอืม เราต้องพยายามโพสต์ให้บ่อยที่สุดแล้วละ แบบทุกวัน วันละโพสต์ละอย่างน้อย พยายามหารูปหาแคปชั่นก็จะเป็นแนวให้กำลังใจไม่ก็พูดฮาๆ ตลกๆ บ้าง ส่วนเรื่องไลฟ์ของหนูจะเป็นเล่นเปียโนให้เขาฟัง ก็พูดคุยก่อน คิดว่าเหมือนคุยกับเพื่อน แต่ละวันหนูไปเจออะไรมาบ้างก็จำมา อยากจะเล่าให้เพื่อนคนนี้ฟัง หนูก็เล่าตามนั้น เสร็จแล้วก็จะมีช่วงหลังนี้ก็จะมาเล่นเปียโน บางคนมาขอเพลงหนูก็มาเล่นให้เขา

 

แองจี่ : ถ้าเป็นในเพจส่วนใหญ่จะเล่า lifestyle ให้แฟนคลับฟังเพราะว่าแฟนคลับจะรีเควส อยากรู้จังเลยว่าวันนึงแองจี้ทำอะไรบ้าง ส่วนใหญ่จะลงเป็น 3 เวลาเช่นบางวันจะลงตอนเช้าก็จะ สวัสดีตอนเช้านะคะทุกคน ขอให้วันนี้เป็นเช้าที่ดีสำหรับทุกคน หรือตอนกลางวันก็จะแบบ ใกล้เที่ยงแล้วอย่าลืมหาอะไรทานนะคะ ถ้าเป็นตอนเย็นก็จะเป็นราตรีสวัสดิ์อะค่ะ แล้วก็จะมีโพสต์ให้กำลังใจ จะแบบสู้ไปด้วยกันนะคะ รูปที่เลือกส่วนใหญ่ก็จะเป็นรูปที่มีรอยยิ้มสดใส หรืออาจจะเป็นรูป lifestyle อย่างเช่นกินข้าวอยู่ก็ถ่ายเลย แล้วถ้าเป็นในไลฟ์นะคะ ยิ่งสดเลยค่ะ สดตามสถานการณ์จริงๆ อยู่ไหนก็ตรงนั้นเลยค่ะ สมมุติว่าเออทุกคนแองจี้ทานพิซซ่าอยู่นะ ทุกคนก็หันให้ดูเลย ทุกคนทานไหมอะไรอย่างนี้ แองจี้ยังไม่ได้กลับบ้านเลยอะไรอย่างนี้ ครั้งล่าสุดแองจี้ไปไลฟ์ที่ห้างแล้วมันตลกมากอะ คือแองจี้หยิบพาวเวอร์แบงค์กับสายชาร์จไป ที่พึ่งได้มาแล้วก็ไม่แกะดู แล้วตอนนั้นแบตก็จะหมดแล้ว แล้วก็มองหัว อ้าวมันไม่ใช่ทำยังไงแล้วเราอยู่กลางห้างก็ค่อยๆ เดินหา แล้วเขาไม่ใช้ไอโฟนกันเลย ก็เลยเดินไปที่ประชาสัมพันธ์ห้าง มันเป็นที่ชาร์จแบบตั้งโต๊ะ แองจี้ก็เลยต้องยืนไลฟ์ 1 ชั่วโมงอยู่ตรงนั้น แล้วแฟนคลับน่ารักมากบอกว่าแองจี้ร้องเพลงหน่อยสิ แองจี้ก็แบบแองจี้อยากร้องนะ แต่ถ้าแองจี้ร้องแล้วมันจะแปลกหรือเปล่า แล้วแฟนคลับก็บอกว่า เออชอบมากเลย เป็นการไลฟ์ที่เรียลมาก ได้เห็นจริงๆ เลยว่าเป็นอย่างไร

วาวา : วาวาต้องปรับตัวเยอะแต่ก่อนหนูเป็นคนไม่ค่อยเล่นโซเชียลเลยไม่ค่อยโพสต์เลยแบบเป็นเดือนอะไรอย่างนี้ แล้วพอมาอยู่ตรงนี้เราจะทำเหมือนเดิมไม่ได้ เราก็ต้องค่อยหารูป พี่พิมก็ช่วยแบบวาวาต้องโพสต์

ครูพิม : แฟนคลับเขาแบบประกาศคนหายช่วยตามหน่อย

วาวา : บางทีเราก็คิดว่าเออวันนี้เราต้องโพสต์แน่ๆ แล้วพอตื่นมาอีกวันนึง อ้าวเมื่อวานลืมโพสต์ คือเราไม่ชินน่ะ พออยู่ตรงนี้ก็เริ่มเก็บรูปไว้ว่าเออเราจะโพสต์นะ โพสต์ทีเราก็จะคิดแคปชั่น อ่าวันนี้เราไปทำอะไรมา เราก็เล่าๆ ให้เขาฟัง เออทุกคนเป็นยังไงกันบ้างคะ ส่วนมากก็มีให้กำลังใจบ้างถ้ามีคนมาคอมเมนต์อะไรอย่างนี้ค่ะ ส่วนในไลฟ์ก็ไลฟ์เลยใครพิมพ์อะไรมาก็ตอบส่วนมากเป็นการชวนคุยมากกว่า

เวเฟอร์ : หนูขอเสริมได้ไหมคะ ในเพจมันจะตั้งเวลาได้ใช่ไหมคะ หนูก็จะไปหารูปเอาไว้ แล้วจะตั้งไว้เลยทั้งสัปดาห์ สวัสดีวันพุธหนูก็จะเอาเสื้อสีเขียวมาใส่ สวัสดีวันพุธค่ะทุกคน ลงตามเวลาที่หนูอยากจะตั้ง

ครูพิม : อันนี้เอาไว้สอนเพื่อน

เวเฟอร์ : เนี่ยหนูบอกไว้เลยว่าแบบหนูตั้งไว้เลยวันอาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์ เสาร์ แล้วอาทิตย์หน้าค่อยทำใหม่

แพรวเล็ก : พอได้อยู่นะคะ ตั้งเวลาเป็นแล้วค่ะ

ตัง ตัง : โดยปกติแล้วเป็นคนชอบถ่ายรูปมากค่ะ ตัวเองก็ถ่ายตัวเองด้วย ไม่รู้เป็นเหมือนกันไหม ปกติใช่ไหม ผู้หญิงก็ต้องเซลฟี่ไปแบบ 20 รูปแล้วก็จะเลือกได้รูปเดียว

 

เจเจ

 

ครูพิม : จะมีน้องคนนึงชื่อเจเจจะเป็นน้องเล็ก โอโห รูปในกล้องนี่คือ สามสี่หมื่นรูป

แพรวเล็ก : แอบเผาเจเจนิดนึงค่ะ คือเขาจะยกกล้องขึ้นมาทุกๆ 10 นาทีแล้วก็ถ่าย ขนาดซ่อมเต้นก็ยังยกขึ้นมา

ตัง ตัง : อันนั้นได้เป็นฉายาเจ้าแม่ 40 โพสต์

ครูพิม : มันจะแฟนคลับทำให้ ว่าวีคนี้น้องคนนี้โพสต์กี่รูป เจเจได้ 42 รูป และขณะที่บางคน 1 รูป

ตัง ตัง : โดยส่วนตัวจะเป็นคนชอบถ่ายรูปอยู่แล้วก็เลยจะมีรูปค่อนข้างพอสมควร ส่วนแคปชั่นก็เนื่องจากเป็นคนตลกอยู่แล้ว แคปชั่นจะมาแนวตลกๆ หรือมุกๆ อย่างวันนี้ก็เพิ่งลงรูปไป ว่าถึงจะไม่มีลักยิ้ม แต่ก็มีแก้มนิ่มๆ ให้จับนะ ส่วนไลฟ์ ก็จะคิดของแต่ละวีค แต่พอถึงเวลาจริงๆ แล้วก็ไม่ค่อยได้ทำเท่าไหร่ อย่างวีคแรกที่ต้องการแนะนำตัวให้ทุกคนได้รู้จักใช่ไหมคะ ก็เลยคิดเกมไปแบบว่าให้เลือก 2 ข้อให้เลือกข้าวกับก๋วยเตี๋ยวก็ให้ทุกคนทายว่าหนูชอบอะไรมากกว่ากัน อย่างวีคล่าสุดก็คิดเกมทายใจ ถ้าคำถามนี้ตอบแบบนี้แสดงว่าจะเป็นคนแบบไหน แต่ปรากฏว่าพอไปถึงปุ๊บแฟนคลับก็ทักๆ ก็ไม่ได้เล่น ก็ตอบๆ จนแบบอ้าวเดี๋ยวดิ เตรียมเกมมายังไม่ได้เล่นเลย อ๋อแล้วก็อยากเสริมว่า 1 ชั่วโมงพวกเราก็คิดว่า 1 ชั่วโมงมันแบบนานมาก หูยจะพูดอะไร 1 ชั่วโมงพอไปจริงๆ แล้ว เวลาหมดเร็วมาก

 

ชีวิตเปลี่ยนขนาดไหนตั้งแต่เข้ามาอยู่ 7th Sense

น้ำหวาน : ก็เปลี่ยนไปนะคะได้ทำอะไรใหม่ๆ เยอะมากเลย อะไรที่ไม่เคยได้ลองทำก็ได้ลอง อย่างเช่นการมาออดิทรอเรียม ไฟว์ มาเจอแฟนคลับไม่เคยได้มายืนร้องเพลงให้กับคนดูมากมายอย่างนี้ค่ะ ชอบได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง เรื่องของการเรียนร้องเพลง ช่วงนี้หวานปิดเทอมอยู่ใช่ไหมมันก็เลยแบบว่างก็ใช้เวลาตรงนี้แหละ มานั่งซ้อม ถ้าเป็นช่วงเปิดเทอมตอนนั้นก็เป็น Final เราก็ต้องแบบซ้อมตอนเย็นเสร็จพรุ่งนี้เช้าสอบ มันก็ต้องแบ่งเวลาดีดี ได้เรียนรู้เรื่องการแบ่งเวลา ทำงานก็คือทำงานจริงๆ เรายังเรียนไม่จบ แต่เราต้องทำงานจริงๆ มันคือความรับผิดชอบอย่างนึงแล้วค่ะ มันคือเรียนรู้ตรงนั้นเลยว่าเหมือนเราเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นเรารู้จักจัดการบริหารเวลา มีวินัยในตัวเองมากขึ้นค่ะ

ตัง ตัง : สิ่งที่เปลี่ยนไปเยอะที่สุดก็น่าจะเป็นแฟนคลับค่ะ ไม่เคยมีแฟนคลับมาก่อน แล้วตอนนี้เป็นที่รู้จัก คนรู้จักมากขึ้นก็จะต้องเปลี่ยนวิธีการวางตัว อย่างออกจากบ้าน เราก็ไปเซอร์ไม่ได้แล้ว เผื่อคนรู้จักทำไง ต้องมีการดูแลตัวเองมากขึ้นการวางตัวที่ดีมากขึ้น อย่างเรื่องโซเชียลก็ต้องมี keep contact ว่าเขาต้องไม่คิดถึงเรานะ ชอบมีคนมาบอกว่าลงบ่อยๆ นะ เดี๋ยวมีคนคิดถึง ส่วนเรื่องการร้องการเต้นก็ทำมากขึ้น จากที่ปกติแค่เล่นๆ งานอดิเรกที่ทำที่บ้านก็ได้เรียนรู้อะไรมากขึ้นก็ทำให้รู้สึกว่าเราอยากจะจริงจังกับมันมากขึ้นค่ะ

ครูพิม : วาวาจากเด็กเงียบๆ

วาวา : ก็เปลี่ยน เราจะเงียบเหมือนเดิมไม่ได้ เพราะเรามาอยู่สาธารณะมากขึ้นก็ปรับหลายอย่างเลยช่วงเรียน หนูก็ต้องแบ่งเวลาดีดี แล้วพอเรียนเสร็จ ตอนปิดเทอมแต่หนูก็ต้องฝึกงานหนูก็ต้องแบบจัดเวลาว่าเออวันนี้หนูเข้ามาซ้อมนะวันนี้หนูลางานนะหรือวันนี้หนูลาซ้อมนะคะหนูถึงเข้าไปทำงาน หนูว่าก็ดี เราจะได้จัดการชีวิตเราได้ดีขึ้น
แพรวเล็ก : คือเมื่อก่อนเป็นคนที่ไม่เล่นโซเชียลเลยเหมือนกัน โพสต์ก็คือเดือนละครั้งเลย แล้วก็เป็นคนที่ไม่ค่อยพูดด้วยแล้วก็ยิ่งเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูงมาก แต่พอได้เข้ามาทำตรงนี้ปุ๊บ รู้สึกมันเป็นสิ่งที่เราชอบมากๆ เลย ได้เปิดโลกใบใหม่ ที่เราไม่เคยเห็น ได้พบปะผู้คนมากขึ้น เรียนรู้การเข้าสังคมมากขึ้น ที่จริงหนูพูดไม่รู้เรื่องมากกว่านี้อีกแต่พอได้คุยกับแฟนคลับทางไลฟ์

 

นี่พูดรู้เรื่องมากขึ้นแล้วใช่ไหม

แพรวเล็ก : นี่ดีขึ้นเยอะแล้วนะคะ หนูก็คิดว่าต่อไปนี้หนูก็คงจะพัฒนามากกว่านี้ เหมือนเราได้พูดคุยกับหลายๆ คนมากขึ้น ได้ซ่อมร้องซ้อมเต้นได้ทำในสิ่งที่เรารัก

 

คิดยังไงกับกฏที่บริษัทตั้งให้เรา กับหลายๆ อย่าง กับการห้ามถ่ายรูปกับแฟนคลับ ห้ามลงรูปคู่ เราคิดยังไงกับกฏนี้ แล้วรับมือกับมันได้ใช่ไหม ปรับตัวเยอะไหม กับการที่ต้องรับมือกับกฏที่เพิ่มขึ้นมา

ตัง ตัง : ก็จะมีไม่ชิน โดยเฉพาะเรื่องของการถ่ายรูปคู่ เวลาไปพบเจอเพื่อนอะไรอย่างนี้อะค่ะ เพื่อนจะชอบมาแซวว่าโอ๊ยถ่ายรูปคู่ได้ปะเนี่ยหรือแบบคุยได้ปะเนี่ย หนูแบบคุยได้ ยังเป็นเพื่อนกันอยู่

 

ปกติเขาห้ามทั้งผู้หญิงผู้ชายถูกไหม

ครูพิม : ค่ะ ใช่ๆ

ครูพิม : แต่จริงๆ ถ้าเป็นผู้หญิง ถ้าดูไม่อะไรมาก ไม่ได้เคร่งมากแต่ก็มีห้ามเหมือนกันค่ะ เพราะว่ามันก็จะมีทั้งแฟนคลับผู้หญิงผู้ชายเพื่อความเท่าเทียมกัน

ตัง ตัง : อย่างเช่นกฏต่างๆ เนื่องจากเราเป็นไอดอลก็ควรจะเป็นต้นแบบที่ดีนะคะ ไม่ว่าจะเป็นกฏว่าห้ามไปเที่ยวกลางคืน ห้ามดื่มแอลกอฮอล์หรือว่าทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม แต่งตัวโป๊เกินไปอะไรอย่างนี้อะค่ะ เพราะว่าเรายืนอยู่จุดนี้ก็มีคนจับตาดู เราอยู่ รู้จักเรา เราก็ต้องวางตัวให้ดี ส่วนกฏอื่นที่บอกว่าไม่สามารถรับของกินที่แฟนคลับเอามาได้ เผื่อเราอยากจะกินก็ไม่ได้ก็เป็นเรื่องความปลอดภัย อย่างบางกฏที่บอกว่าอาจจะห้ามโดนตัว ห้ามสัมผัสกัน ตอนแรกจริงๆ ก็พวกเราไม่ได้คำนึงถึงกฏนั้นมาก แต่ตกใจที่โอตะเองเขาเซฟเรามากเลย เหมือนมีวีคนึงที่จะมีกิจกรรมการถ่ายรวมกับแฟนคลับใช่ไหม เราก็แบบเข้าไปใกล้แต่ยังไม่โดนนะคะ โอตะเขาก็ อุ้ยๆ อย่าใกล้ครับๆ เขาเซฟเราเขาไม่คิดที่จะแบบ ละลาบละล้วง ถือโอกาสหรือว่าถือวิสาสะเลย เราเห็นแล้วก็ประทับใจ

 

เห็นแล้วก็พุ่งชนไม่มีเลย

ตัง ตัง :ใช่ค่ะไม่มีใครถือวิสาสะเลย

ครูพิม : ซึ่งน้องตอนแรก น้องยังไม่ได้ระวังตัวด้วย โอตะเขาก็เตือนแล้ว เดี๋ยวมาโดนพี่นะ

ต้นมอส : ก็โอเคนะคะ เพราะถือว่าบริษัทเขาก็เซฟเราด้วยไปในตัว แล้วคนอื่นก็แบบพูดไปหมดแล้วอะ ก็เป็นผลดีกับตัวเมมเบอร์ทุกๆ คน

 

จะอยู่ในวงการไอดอลอีกนานไหม

ตัง ตัง : ความฝันอีกอย่างนึงก็คือการเป็นนักแสดง เป็นพิธีกร ตัง ตัง ก็คิดว่า ณ จุดตรงนั้นน่ะ มันมีโอกาสได้มากกว่านั้น ก็คือไม่จำเป็นจะต้องอายุน้อยอะไรอย่างนี้ แล้วก็อีกอย่างนึงการที่เรามาอยู่ตรงนี้ถึงแม้ว่าเราจะอายุมากขึ้น จนออกไปแล้ว เราก็ยังเป็นรุ่นพี่ที่ยังต้องดูแลรุ่นต่อๆ ไป เพราะ 7th Sense ก็ไม่ได้มีแค่รุ่น 1 เราก็ยังต้องดูแลน้องให้คำแนะนำน้องต่อไปค่ะ ส่วนเรื่องความฝันก็อาจจะไปทางด้านการแสดง พิธีกร ธุรกิจส่วนตัวอะไรอย่างนี้อะค่ะ

 

ธุรกิจส่วนตัวทำอะไร

ตัง ตัง : ตอนนี้จริงๆ ก็มีโปรเจคจะทำขนมขบเคี้ยวค่ะ แต่เอาไว้ก่อนเดี๋ยวมาขาย

ต้นมอส : จริงๆ ต้นมอสก็เป็นคนชอบวงการบันเทิง ก็คือถามว่าจะอยู่ให้นานไหม ต้นมอสคงจะตอบว่า ขออยู่จนกว่าจะไม่มีคนมาสนใจ เพราะว่ารักตรงนี้อะค่ะ รักการแสดงมากค่ะ

แพรวเล็ก : แน่นอนคือเป็นสิ่งที่อยากทำที่สุดในชีวิตคือการเป็นไอดอลเพราะฉะนั้นจะอยู่จนกว่าพี่พิม หรือคุณครูทั้งหลายจะบอกว่าเออแก่เกินไปละนะ แต่ก็คืออยากอยู่ในนานๆ แต่ก็มีอีกอาชีพนึงที่อยากทำเหมือนกันคืออยากเป็นนักแสดง อยากลองหลายบทบาทดู อยากรู้ว่าเราจะไปได้ไกลแค่ไหนกับงานนี้

 

ฝากอะไรถึงแฟนคลับนิดนึง

แองจี้ : ก็อยากจะฝากถึงแฟนคลับทุกคนเลยนะคะที่ติดตามทั้งวง 7th Sense และน้องๆ เมมเบอร์แต่ละคน อยากให้แฟนคลับติดตามพวกเราต่อไป พวกเราก็จะมีผลงานเพลง และเอ็มวีออกมาให้ทุกคนแน่นอนค่ะก็อย่าลืมติดตามและชมพวกเราด้วยนะคะ พวกเราจะสู้ไปด้วยกันแบบนี้ตลอดไปค่ะ

น้ำหวาน : ก็อยากจะขอบคุณแฟนคลับจริงๆ ที่ร่วมตั้งไข่ไปกับเรา มีความหมายมากจริงๆ สำหรับพวกเรา ติดตามพวกเราทุกช่องทางการติดตามพวกเราแล้วกันนะคะ ถ้าเป็นเฟสบุ๊คก็จะเป็นเอาของ 7th Sense ก่อน แล้วถ้าเป็นของแต่ละคนก็จะเป็นชื่อคนนั้นอย่างเช่นแบบพี่ตังค์ๆ แล้วก็เลข 7th Sense ถ้าในไอจีก็จะเป็นชื่อน้ำหวานแล้วก็จะเป็น 7th Sense

ตัง ตัง : ตัง ตัง ก็ฝากผลงานเพลงก็แล้วกันนะคะ อย่างเราบอกไปเรามี 4 ซิงเกิ้ล มี เพลงสัมผัสรัก เป็นเพลงประจำของวง เป็นเพลงที่มีชื่อเดียวกับชื่อวงนะคะ ส่วนอีก 3 ซิงเกิ้ลก็จะมีเพลง จ้องตา เพลงจังหวะ สนุกๆ น่ารักๆ เพลงที่สองคือเพลง ของขวัญ เพลงนี้ความหมายดี เพลงช้าซึ่งเนื้อหานี้ มอบให้กับแฟนคลับเลย เพลงที่สามคือเพลง ฝันของเรา ค่ะ ให้กำลังใจ สู้ๆ ไปด้วยกันนะคะ ก็ติดตามได้ในเพจออฟฟิเชียลนะคะ ส่วนเอ็มวีเพลงสัมผัสรัก ก็เร็วๆ นี้ค่ะ

TEASER สัมผัสรัก

Play video

 

ติดตามน้องๆ ได้จากลิ้งค์ด้านล่างนี้

7th Sense

ตัง ตัง 7th Sense

โมเม 7th Sense

หนิงหนิง 7th Sense

แฮมมี่ 7th Sense