สถานการณ์โควิด-19 ในสหรัฐฯ ยังอยู่ในภาวะวิกฤตและยังมองไม่เห็นว่าจะถึงจุดคลี่คลายได้เมื่อไหร่ ตัวเลขล่าสุดมีผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 11.1 ล้านราย เพิ่มใหม่อีก 135,000 ราย ทำให้บรรดาสตูดิโอผู้สร้างหนังต้องปรับตัววางกลยุทธ์หาทางรอดกันอยู่ทุกวัน

หลังจาก Tenet ยอมสละตัวพลีชีพเป็นตัวอย่างให้เห็นมาแล้วว่า ผู้ชมยังไม่พร้อมที่จะออกจากบ้านมาเข้าโรงหนัง ทำให้รายได้ในสหรัฐฯ กวาดมาได้แค่เพียง 56 ล้านเหรียญ แม้ว่ารายได้ทั่วโลกจะจบที่ 353 ล้านเหรียญ แต่ก็ยังไม่ถึงจุดคุ้มทุน เมื่อดิสนีย์เห็นดังนั้นจึงตัดสินใจเด็ดขาด แทนที่จะเลื่อนกำหนดฉาย Mulan ออกไปอีก ขอปล่อยหนังผ่านทาง Disney+ ช่องสตรีมมิงของตัวเองดีกว่า โดยเก็บค่าชมต่างหากในราคา 29.99 เหรียญ ทำให้ดิสนีย์ได้รายได้ตรงนี้มามากถึง 33 ล้านเหรียญ บวกกับรายได้จากการออกฉายตามโรงภาพยนตร์นอกสหรัฐฯ อีก 66 ล้านเหรียญ รวมแล้วก็ยังห่างไกลจากตัวเลขทุนสร้างที่ว่ากันว่าสูงถึง 200 ล้านเหรียญเลยทีเดียว แต่กลับกลายเป็นว่า ดิสนีย์พิจารณาผลประกอบการไตรมาสล่าสุดแล้วผู้บริหารรู้สึกพึงพอใจกับแผนการนี้ และจะเดินหน้ากับหนังเรื่องอื่น ๆ ด้วยการเปิดตัวผ่าน Disney+ แทนการปล่อยฉายตามโรงภาพยนตร์

บ็อบ ชาเปก

“สิ่งที่เราได้เรียนรู้จาก Mulan นั้นจะนำมาเป็นแบบแผนในการวางกลยุทธ์ในการเปิดตัวหนังใหม่ในอนาคต แต่เราก็ยังต้องพูดคุยปรึกษากับบรรดาผู้ลุงทุนอีกครั้งในเดือนธันวาคมนี้ก่อน”
บ็อบ ชาเปก Ceo เผยถึงแผนการคร่าว ๆ ว่าเขาจะปล่อยหนังฟอร์มใหญ่อย่าง Mulan ผ่านช่องทางสตรีมมิงแบบเก็บค่าชมต่างหากแบบนี้อีก

จากที่บ็อบได้เปรยออกมาก็แน่ชัดแล้วว่า ดิสนีย์จะล้มเลิกแผนการปล่อยหนังใหม่ฉายในโรงภาพยนตร์ในอนาคต คาดการกันว่าเรื่องต่อไปที่ดิสนีย์จะถอดออกจากโปรแกรมฉายในโรงภาพยนตร์ก็คือ Black Widow ซึ่งตอนนี้ดิสนีย์วางกำหนดฉายไว้ 7 พฤษภาคม 2021 นับจากนี้ยังอีกนานนัก ก็น่าติดตามว่าก่อนถึงกำหนดฉายนั้น จะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรอีกครั้งหรือไม่

อีกเหตุผลหนึ่งที่ผู้บริหารดิสนีย์รู้สึกดีกับกลยุทธ์ผลักดัน Disney+ แม้ว่ารายรับจาก Mulan จะขาดทุนก็ตาม ก็เพราะภาพรวมของผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 นั้น ทำตัวเลขได้น่าพอใจ
“ในโอกาสที่เราเปิดตัว Disney+ มาได้ครบหนึ่งปีนั้น เรายินดีที่จะรายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 นี้ว่า เรามีสมาชิกมากกว่า 73 ล้านรายแล้ว มันผ่านจุดที่เราคาดหวังไว้ในปีแรกแล้ว”
บ็อบ ชาเปก กล่าว

แดน โลบ จาก Third Point Management

มีนักข่าวได้หยิบกลยุทธ์ของดิสนีย์ไปขอความเห็นจาก แดน โลบ นักลงทุนชื่อดังเจ้าของบริษัท Third Point Management ซึ่งแดนก็มองว่าเป็นไอเดียที่ดีที่ดิสนีย์ตัดสินใจปล่อยหนังฟอร์มใหญ่ของตัวเองผ่าน Disney+ เพราะเป็นการรุกตลาดที่สามารถดึงความสนใจให้คนสมัครเป็นสมาชิกใหม่ได้ และยังรักษาฐานลูกค้าเก่าไว้ได้อีกด้วย


“สิ่งที่ NETFLIX มีเหนือกว่า Disney+ ก็คือจำนวนสมาชิกที่มหาศาล พอมีฐานสมาชิกมากขนาดนี้ก็ทำให้เขากล้าควักกระเป๋าลงทุนสร้างหนังฟอร์มใหญ่มาป้อนเรื่อย ๆ ยิ่งทำให้จำนวนสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้น ส่วนทาง Disney+ ยังไปไม่ถึงจุดนั้น แต่ผมมองว่า Disney+ ต้องรีบแล้วล่ะเพื่อไปให้ถึงจุดนั้นโดยเร็วที่สุด ถ้า Disney+ ยังไม่มีฐานสมาชิกจำนวนมาก เขาก็จะเสียเปรียบต่อ Netflix ในสนามนี้ตลอดไป”

แดน โลบ ยังมองการณ์ไกลไปอีกว่าในอนาคตจากนี้ไปโรงภาพยนตร์จะไม่ใช่ “ประสบการณ์ที่แปลกใหม่” อีกต่อไป ในขณะที่ “ตลาดออนไลน์ก็จะขยายตัวมากขึ้น”

SOUL เรื่องถัดไปที่ถอดออกจากโปรแกรมฉาย แล้วลง Disney+

ในขณะที่ผู้บริหารดิสนีย์กำลังจะต้องตัดสินใจกันอย่างเคร่งเครียดว่าจะเอาอย่างไรกับหนังฟอร์มใหญ่หลายเรื่องทั้งที่สร้างเสร็จแล้ว และอยู่ในขั้นตอนเตรียมการสร้าง ว่าจะปล่อยหนังทางรูปแบบใด ก็มีเรื่องหนึ่งที่ผู้บริหารตัดสินใจไปแล้วก็คือ Soul หนังแอนิเมชันเรื่องใหม่ผลงานของ Pixar ที่ถูกถอดออกจากโปรแกรมฉาย แล้ววางกำหนดสตรีมมิงทาง Disney+ ในวันคริสต์มาสนี้ แต่เรื่องนี้ไม่เก็บค่าชมต่างหากแล้ว สมาชิก Disney+ ทั่วไปสามารถชมได้พร้อมกันเลย

อ้างอิง