หลายคนน่าจะเคยได้ยินรายการทีวีชื่อ มือปราบสัมภเวสี แต่บางคนอาจจะคุ้ยเคยกับชื่อ หมอปลา แทน รายการนี้ก็ว่าด้วยหมอปลาที่อ้างว่ามีพลังพิเศษสัมผัสเรื่องลี้ลับได้ หมอปลาก็ได้ร่วมกับทีมงานออกตระเวนช่วยเหลือผู้คนที่ประสบปัญหาอันเนื่องมาจากการโดนภูตผีหรือสัมภเวสีรังควาน โดยมีบริษัทกันตนาได้ถ่ายทำและนำมาออกอากาศทางช่องไทยรัฐทีวี

ประเทศไทยมีผู้ป่วยอยู่ราวๆ 5 แสนคน ในนี้กว่า 1 แสนคนเชื่อว่าป่วยเพราะสัมภเวสี – เกริ่นนำจากหนัง

เอาเป็นว่าเชื่อหรือไม่คงแล้วแต่วิจารณญาณส่วนบุคคลครับ แต่ที่น่าสนใจคือ ทางค่ายกันตนา โมชั่น พิคเจอร์ส ผู้ผลิตรายการดังกล่าวที่หลังๆมาเอาดีกับโปรเจคหนังสยองขวัญทั้ง ห้องหุ่น และ อวสานโลกสวย รวมถึงรายการสยองอย่าง ยายกะลาตากะลี และล่าสุด มิติมืด ก็ได้เลือกหนึ่งในเหตุการณ์ปริศนาในรายการดังกล่าวที่ยังไม่ถูกบอกเล่าที่ใด มาทำเป็นหนังยาวในชื่อ มือปราบสัมภเวสี: The Lost Case โดยงานนี้ได้ โต๊ด-ชยัญ อิทธิจตุพร ผู้กำกับใหม่แห่งค่ายกันตนา ที่เคยมีผลงานหนังสั้นเฉลิมพระเกียรติ เทิดเกล้า เรื่อง กฤษฎาภินิหาร  มากำกับ พร้อมนักแสดงโนเนมเพื่อความสมจริงทั้งสิ้น

Play video

จุดขายสำคัญนอกจากการอิงรายการทีวีชื่อดังแล้ว ยังเป็นการที่นำเสนอว่าหนังเป็น Found Footage/Horror เรื่องแรกของเมืองไทย ใครนึกแนวนี้ไม่ออกก็จำพวกหนังอย่าง The Blair Witch Project (1999) ที่เป็นต้นตำหรับแนวนี้นั่นล่ะครับ หลักๆก็มักเล่าเรื่องคล้ายกันว่าได้พบฟุตเทจวิดีโอที่อาจเกี่ยวเนื่องกับเรื่องลึกลับหรือคดีที่มีคนตายคนหายตัวไป เมื่อนำมาเปิดดูก็พบว่าผู้ที่ถ่ายวิดีโอดังกล่าวได้เข้าไปเผชิญกับสถานการณ์แปลกประหลาดที่ไม่อาจอธิบายได้ โดยจะค่อยๆเผยรายละเอียดอย่างสมจริงราวผู้ชมเป็นหนึ่งในตัวละครที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วย

กลายเป็นแม่แบบให้หนังแนวนี้เลย กับต้นฉบับความหลอนเรียล อย่าง The Blair Witch Project

โจทย์สำคัญเลยคือถ้าหนังสร้างความสมจริงให้คนเชื่อได้ มีเทคนิคการหลอกล่อให้คนติดตามได้จนถึงบทสุดท้าย มีคาแรกเตอร์ที่มีเสน่ห์น่าสนใจ บทสนทนาไม่น่าเบื่อ การสร้างบรรยากาศนั้นทำให้รู้สึกขนหัวลุก แค่นี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วล่ะครับ

แบล์วิทช์เล่นใหญ่ทำสมจริงอย่างจริงจัง ถึงขนาดมีเว็บไซต์รวบรวมข้อมูล และประกาศคนหายออกมาเลยทีเดียว

หนังเล่าเรื่องของสองหนุ่ม อิฐ กับ ปอ ทีมงานรายการมือปราบสัมภเวสี ที่ต้องลงพื้นที่ไปเก็บข้อมูลเรื่องราวลึกลับในจังหวัดแห่งหนึ่ง (ในตัวอย่างหนังระบุว่าเป็นเพชรบุรี อันเป็นบ้านเกิดของหมอปลาด้วย แต่คงถอดออกไปเพราะป้องกันปัญหาฟ้องร้องที่จะตามมา) ที่นี่ทั้งสองมาสืบหาการพบเห็นวิญญาณและปรากฏการณ์ลึกลับที่บ้านลุงชัย ซึ่งลูกสาวแกฆ่าตัวตายไปได้ปีกว่า เมียแกก็เสียสติเพราะช็อกและยังคิดว่าลูกสาวแกยังไม่ตาย ส่วนชาวบ้านรอบๆก็ต่างเชื่อว่าวิญญาณลูกสาวลุงชัยยังคงวนเวียนอยู่ในบ้านนั้น ลุงชัยแกก็ไปหาทั้งร่างทรงหมอผีได้กุมารและของคุณไสยมาบูชาก็มาก ตั้งศาลให้วิญญาณลูกแกก็แล้ว แต่ก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้นเลย เป็นหน้าที่ของอิฐและปอที่จะต้องเก็บภาพหาหลักฐานทางวิญญาณเพื่อรอให้หมอปลาที่จะตามมาในอีก 4 วันให้หลังทำพิธีช่วยเหลือครอบครัวนี้

อิฐ ครีเอทีฟไฟแรง กับ ปอ ตากล้องมือใหม่ ลุยงานนี้เพื่อผ่านโปรกัน

หนังเล่าเรื่องโดยเปิดมาที่ ปอ ช่างภาพของทีมกลับมาจากเคสลุงชัยเพื่อเอาฟุตเทจต่างๆมาส่งให้หัวหน้าที่ชื่อ โย โดยปอยืนยันว่าเพื่อนอีกคนของเขาอย่าง อิฐ ดูแปลกๆไปหลังจากกลับมาจากการถ่ายรายการ ก่อนจะเปิดฟุตเทจต่างๆที่พวกเขาไปเจอมาให้พี่โยดู ซึ่งเราจะได้เห็นพัฒนาการของทั้งอิฐและปอที่เปลี่ยนไปจากตอนก่อนไปจนกลับมา ตลอดจนเรื่องราวขนหัวลุกที่บ้านลุงชัยด้วย

หนังประสบความสำเร็จอย่างแรงในการหลอนคนดู ด้วยบรรยากาศที่ปราศจากการช่วยเหลือของบ้านริมทุ่งที่ตกดึกก็ไร้แสงไฟจากบ้านเรือนรอบข้าง ผู้คนที่ไม่ค่อยให้ความช่วยเหลือ เมียลุงชัยที่ดูจิตสุดๆ ที่สำคัญบ้านไม้แบบไทยที่คุ้นตามีภาพบรรพบุรุษแขวนเรียงกันเป็นแถบ โคมไฟทังสเตนสีส้มที่ทำให้บ้านดูสลัวมากกว่าสว่าง และผีชุดขาวแบบไทยๆเลย คือตรงนี้ด้วยความที่ใกล้ตัวเรามาก มันโคตรอินมันโคตรหลอน คือเข้าใจเลยว่าเวลาฝรั่งมันดูหนังแนวนี้มันหลอนยังไง เพราะมันกลับบ้านไปก็เจอบ้านแบบในหนังเลยไง เรื่องนี้ก็เหมือนกันใครมีบ้านต่างจังหวัดก็ต้องเคยเจอบ้านแบบนี้ หรือแม้แต่บ้านในเมืองหนังก็ยังมีฉากในเมืองกรุงมาให้หลอนต่ออีก คือบรึ๊ยมาก ผีอาจมาเดินมาหาทื่อๆ แต่น่ากลัวมาก หลับตาหนีเลยทีเดียว (บางทีก็คิดในใจว่าทำไมเอ็งสองคนไม่จำอ้าวตั้งแต่แรก จะยืนถ่ายอยู่เพื่อ!!)

ส่วนข้อเสียของหนังเลยคงเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือ ความสมจริง เราไม่เชื่อว่าพวกนี้ไปเจออะไรอย่างนั้นจริงๆ เราเห็นเพียงการแสดงและบทสนทนาที่ไม่เป็นธรรมชาติเต็มไปหมด บางทีการปล่อยนักแสดงด้นสดอาจจะช่วยได้มากกว่านี้เพราะหนังก็มีโครงเรื่องหลวมๆอยู่แล้ว หรือแม้แต่เหตุในการต้องถ่ายต้องใช้กล้องต่างๆเพื่อให้เป็นหนังฟาวด์ฟุตเทจ ก็ต้องบอกว่าหลายฉากยัดเยียดมากจนรู้สึกขัดแย้ง เช่นพี่โยที่เอากล้องมาถ่ายปอตั้งแต่ฉากแรกด้วยเหตุผลว่าพวกนี้ไปสร้างเรื่องไว้ต้องบันทึกไว้ป้องกัน คือไร! หรืออย่างการเป็นทีมงานรายการแนวนี้ซึ่งรู้อยู่แล้วว่าไม่ควรถ่ายเล่นพร่ำเพรื่อเพราะมันต้องเผื่อพื้นที่จัดเก็บไฟล์และแบตไว้ใช้ยามจำเป็น แต่สองหน่อนี่เอามาถ่ายตัวเองถ่ายเล่นนู่นนี่ แม้แต่การนั่งคุยกันเองก็ยังถ่าย คือมันไม่ใช่แล้วล่ะ หนังยังขาดครีเอทีฟในการเสนอให้สมจริงมาก เหมือนยังต่อยอดหรือทำการบ้านกับหนังแนวนี้ที่ฝรั่งทำมามากมายน้อยไปหน่อย

สองตัวละครที่เราไม่ค่อยอินนะ คือยังเคมีไม่เข้ากันดีนัก

ตัวอย่างซีนที่ต้องถามว่าตั้งทิ้งถ่ายตัวเองนั่งคุยกันทำไม จะเอาไปใช้ในรายการได้เหรอ?

อีกอย่างคือหนังรวบรัดตัดความให้อยู่ในเวลาชั่วโมงนิดๆ คือจบเร็วมาก แต่กลับไม่เพิ่มเวลาอีกนิดเพื่อใส่รายละเอียดขยายที่มาที่ไปในความสงสัยของคนดูที่หนังปูทิ้งไว้ให้มากขึ้นเลย ทั้งสาเหตุการตายของผี ความแค้นของผี ทำไมต้องมาหลอกหลอน และจริงๆแล้วผีตัวนี้ใช่ลูกสาวลุงชัยไหม ก็ไม่มีคำเฉลยอะไรมาเลย คือจริงๆหนังจะเลือกจบแบบทิ้งปริศนาไว้ก็ได้ แต่ไม่น่าเยอะขนาดนี้น่ะนะ น่าเสียดายมากๆครับ

ปมปัญหาของลูกสาวลุงชัยที่น่าจะขยี้เพิ่มแต่ก็ไร้คำอธิบายที่ดีพอ (คือให้เดาจากไดอารี่นี่ก็ได้ล่ะ คงแล้วแต่จินตนาการแต่ละคน ว่าเธอไปเจออะไรมาจนฆ่าตัวตาย)

ด้านดีของหนังอีกอย่างที่ประทับใจสุดๆ ที่ถึงกับอุทานในใจว่า เชี่ยยย ไสยไสยวัยรุ่นชอบ เลย คือการมาของหมอปลาครับ ที่โคตรย้อนแย้งแต่ก็ได้ข้อคิดมากๆ แกมาถึงก็ทำการทำลายทิ้งทุกสิ่งอย่างที่ลุงชัยไปได้มาจากพวกร่างทรง หมอปลาแกว่ามีแต่ของไม่เป็นมงคล ไร้สาระงมงาย ประโยคเด็ดก็มีเช่น เอาดอกไม้ไปไหว้จอมปลวกทำไม สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาอยู่เหรอ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ชื่ออะไร แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์เขาจะมาอยู่ในปลวกนี่เพื่อ!! คือโคตรเด็ด เอาสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้มาลบล้างสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้เหมือนกัน คือบอกยากเลยว่าอะไรงมงายไม่งมงาย แต่ยกระดับหนังขึ้นเป็นอีกขั้นได้เลยกับการมาของหมอปลาครับ เป็นไฮไลท์ตัวจริงของหนังเลย

หมอปลา ขึ้นชื่อว่าเป็นนักขุดจอมปลวก จอมพังศาลเจ้า และทำลายอวิชชาทั้งหลายเลยทีเดียว

สรุป

คือข้อเสียมีเต็มไปหมดล่ะ ทั้งนักแสดงที่เราไม่เชื่อ เหตุผลการกระทำที่เราไม่เชื่อ กล้องต่างๆที่เราต้องตั้งคำถามตลอดเวลาว่านอกจากเพื่อจงใจให้เล่าเรื่องได้ต่อเนื่องแล้ว มีประโยชน์หรือมีความสัมพันธ์อะไรกับการถ่ายรายการจริงไหม คือดูไปมีแต่คำถามเต็มหัวไปหมด แต่ทั้งหมดทั้งมวลให้อภัยได้หมดเลยครับ เพราะหนังประสบความสำเร็จกับการสร้างบรรยากาศในตอนที่หลอกหลอนคนดู มันถึงจริง คนไทยน่าจะรู้สึกแรงเลยล่ะ เอาเป็นว่าใครอยากลองสัมผัสหนังไทยที่แปลกใหม่ กล้าลองกล้าเล่า ต้องลองดูเลยครับ แต่อย่าไปถามหาเหตุผลหรือความสมจริงอะไรในตอนนี้มากเลยนะครับ แต่เชื่อว่าทีมงานน่าจะเรียนรู้จุดแข็งจุดอ่อนจากเรื่องนี้ไปมาก ถ้ามีโอกาสก็อยากให้สร้างอีกนะครับถือว่าเป็นก้าวแรกที่มีใจเลยล่ะ

Play video