เป็นหนึ่งในชื่อที่โดดเด่นจากพิธีประกาศผลรางวัลออสการ์ครั้งที่ 93 ในฐานะหญิงชาวเอเซียคนแรกในประวัติศาสตร์ที่สามารถคว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจากเวทีอันทรงเกียรติแห่งนี้ได้สำเร็จ แน่นอนว่าหลาย ๆ คนแทบจะไม่เคยได้ยินชื่อ โคลอี เจา (Chloé Zhao) ผ่านหูมาก่อนเลย ว่าเธอเป็นใครมาจากไหน ทำไมถึงอยู่ดี ๆ ก็โผล่มาคว้าออสการ์ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมไปได้ และสามารถเอาชนะผู้กำกับรุ่นใหญ่อย่าง เดวิด ฟินเชอร์ ที่มีผลงานขึ้นหิ้งมากมายไปได้อีกด้วย

ในกองถ่าย Nomadland

‘Nomadland’ ผลงานภาพยนตร์ที่เป็นฝีมือกำกับของเธอ ซึ่งก็เป็นดาวเด่นบนเวทีออสการ์ปีนี้เช่นกัน ด้วยการเข้าชิงมากถึง 6 รางวัล เป็นรองแค่ ‘Mank’ ที่เข้าชิงถึง 10 รางวัล แต่ Nomadland ก็คว้าไปได้ทั้ง 3 รางวัลใหญ่คือ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม และนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ซึ่งนอกเหนือจากหน้าที่กำกับแล้ว เจายังเหมารวมหน้าที่เขียนบทภาพยนตร์เองด้วย แล้วยังตัดต่อเองอีกด้วย ซึ่งเธอก็เข้าชิงออสการ์อีก 2 สาขานี้ด้วย

เรื่องราวของ ‘Nomadland’นั้นเล่าชีวิตของ ‘เฟิร์น’ บทของ ฟรานเซส แม็กดอร์มานด์ (Frances McDormand) ที่ทำให้เธอคว้าออสการ์นักแสดงนำหญิงมาได้เป็นตัวที่ 3 แล้ว บทเฟิร์นในเรื่องนี้เธอเป็นหญิงวัยใกล้เกษียณ ตกงานและสามีตาย เฟิร์นเลยตัดสินใจขายบ้านและซื้อรถแวนขับตระเวนไปทางแถบตะวันตกของอเมริกาแวะหางานชั่วคราวทำไปเรื่อย ตลอดเส้นทางเธอได้พบและรู้จักกับคนแปลกหน้ามากมาย ได้เรียนรู้ชีวิตและสัจธรรมในบั้นปลายของชีวิต

ก่อนจะมาคว้าชัยบนเวทีออสการ์ในวันนี้ ชื่อของเจาแทบไม่มีใครรู้จักเลยก็ว่าได้ แม้ว่าเธอมีผลงานกำกับมาแล้ว 2 เรื่องคือ Songs My Brothers Taught Me (2015) และ The Rider (2017) แต่เป็นผลงานที่ไม่มีใครพูดถึงในวงกว้าง แต่หลังจากนี้ไปเราน่าจะได้ยินชื่อของ โคลอี เจา บ่อยมากขึ้นเป็นแน่ เรื่องราวของผู้กำกับหญิงเชื้อชาติจีนวัย 38 ปีคนนี้ยังมีอะไรน่าสนใจอีกมาย เรามาทำความรู้จักเธอกันครับ

1.เธอเป็นชาวจีนอย่างแท้จริง เกิดในกรุงปักกิ่ง


โคลอี เจา มีชื่อจีนเดิมว่า “เจา ถิง” เธอเกิดเมื่อปี 1983 ในกรุงปักกิ่งและใช้ชีวิตในช่วงวัยเด็กที่นี่ พ่อของเธอเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จกับบริษัท Shougang Group steel company หลังจากนั้นก็ผันตัวเองไปเป็น นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และผู้จัดการกองทุน ส่วนแม่ของเจานั้นทำงานในโรงพยาบาล แต่แล้วพ่อกับแม่ของเธอก็หย่าขาดจากกัน ในช่วงนั้นเจายังเรียนอยู่ในระดับมัธยมศึกษา พ่อของเธอแต่งงานใหม่กับนักแสดงตลกหญิง ซ่ง ดันดัน (Song Dandan) พอเจาอายุได้ 14 ปีเธอก็ขอพ่อไปเรียนต่อที่อังกฤษ พอปี 2000 เธอก็ขอย้ายไปเรียนต่อที่ลอส แองเจลิส เธอเช่าอพาร์ตเมนต์อยู่คนเดียวในย่าน “โคเรียทาวน์”

โคลอี เจา กับไก่ของเธอ

หลังจบมัธยมศึกษา เจาเข้าศึกษาต่อที่ Mount Holyoke College ในสาขารัฐศาสตร์ แล้วเธอก็พบว่าเธอสนใจแวดวงการเมืองเข้าแล้ว หลังจบการศึกษา เจาได้งานทำเป็นบาร์เทนเดอร์และรับจ้างทำงานจิปาถะภายในบ้าน ระหว่างทำงานนี้เธอเริ่มรู้สึกว่า เธอชอบพบปะผู้คนและชอบที่จะได้เรียนรู้ชีวิตที่ไปที่มาของแต่ละคน ประสบการณ์ในช่วงนี้ล่ะที่กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เจาเริ่มอยากจะศึกษาต่อทางด้านภาพยนตร์

2.เธอเป็นลูกศิษย์ของ สไปก์ ลี

สไปก์ ลี

และแล้วเจาก็ตัดสินใจสมัครเข้าเรียนสาขาภาพยนตร์ที่ โรงเรียนศิลปะทิสช์ (Tisch School Of The Arts)ในปี 2010 ที่นี่ล่ะทำให้เธอได้เรียนกับผู้กำกับระดับตำนานอย่าง สไปก์ ลี
“ที่ฉันชอบในตัวสไปก์ ก็คือเขาไม่เคยที่จะแสร้งทำให้อะไรมันดูง่าย เขาจะบอกคุณตามที่มันเป็นจริง ๆ และนั่นล่ะคือสิ่งที่ฉันต้องการ บางครั้งเราก็ถกเถียงกันอย่างรุนแรง จนผู้ช่วยของเขาต้องเข้ามาถามว่า ‘ยังโอเคกันอยู่ไหม?’ แต่ที่จริงแล้วตอนนั้นมันสนุกมาก มันเป็นช่วงเวลาที่เยี่ยมยอดจริง ๆ”
เจาเล่าถึงอดีตกับ สไปก์ ลี ให้ผู้สื่อข่าวฟัง

3.หนังทุกเรื่องของเธอจะเล่าเรื่องราวทางแถบตะวันตกของอเมริกา


ระหว่างปีสุดท้ายที่เธอเรียนภาพยนตร์นั้น เจาเริ่มสนใจในเมืองดาโกต้าและภูมิศาสตร์ของเมืองนี้ เธอเลยเริ่มเขียนบทภาพยนตร์ขึ้นมาเรื่องหนึ่ง โดยเซ็ตฉากหลังของเรื่องให้เกิดในแถบทะเลสาบ Devil’s Lake เมืองนอร์ธ ดาโกต้า วันหนึ่งเจาได้ไปเห็นผลงานภาพถ่ายของ แอรอน ฮิวอีย์ ที่บันทึกชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอินเดียนในเขตสงวนอินเดียนแดงไพน์ริดจ์ กลายเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้เธออย่างจริงจัง เจาไปใช้เวลาช่วงหนึ่งขลุกอยู่กับชุมชนอินเดียนแดงแห่งนั้น และเริ่มเขียนเรื่องราวผ่านมุมมองจากคนที่อยู่ในชุมชนนั้น

และจากวันนั้นก็กลายมาเป็นผลงานภาพยนตร์ 2 เรื่องแรกของโคลอี เจา ซึ่งเธอเลือกที่จะใช้นักแสดงสมัครเล่นมาเล่นในบทนำ หนังเรื่องแรก Songs My Brothers Taught Me เล่าเรื่องราวชีวิตของอินเดียนแดงหนุ่มในไพน์ริดจ์ ที่วางแผนการชีวิตว่าอยากจะย้ายมาอยู่ในลอส แองเจลิส หลังเรียนจบ แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากที่จะทิ้งน้องสาวให้อยู่ที่ไพน์ริดจ์เพียงลำพัง

เรื่องต่อมา The Rider เล่าเรื่องราวของคาวบอยหนุ่ม รับบทโดย เบรดี้ แจนดรู (Brady Jandreau) คาวบอยตัวจริงมารับบท เขาพยายามที่จะหาเป้าหมายในชีวิตของตัวเอง หลังบาดเจ็บสาหัสจากการแข่งขันขี่ม้าพยศ (bronco-riding)

4.สามีของเธอคือช่างถ่ายภาพยนตร์ขาประจำของเธอเอง

ปัจจุบัน โคลอี เจา ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับ โจชัว เจมส์ ริชาร์ด ช่างถ่ายภาพยนตร์ ทั้งคู่อยู่ด้วยกันที่เมืองโอไฮ รัฐแคลิฟอร์เนีย เจาได้รู้จักกับริชาร์ดตอนที่เรียนอยู่ในนิวยอร์ก เพราะริชาร์ดย้ายมาจากคอร์นวอลล์ ประเทศอังกฤษมาเรียนต่อที่นั่นเช่นกัน และริชาร์ดคนนี้นี่ล่ะ ที่เป็นผู้ถ่ายภาพให้กับหนังทั้ง 3 เรื่องของโคลอี เจา รวมถึง Nomadland ผลงานล่าสุดนี้ด้วย แล้วยังส่งให้ โจชัว เจมส์ ริชาร์ด ได้เข้าชิงออสการ์สาขาถ่ายภาพยอดเยี่ยมอีกด้วย

โคลอี เจา กับ โจชัว เจมส์ ริชาร์ด

“เธอเป็นคนที่ดีเลิศ แต่ขณะเดียวกันก็ระห่ำสุด ๆ”
โจชัว เจมส์ ริชาร์ด กล่าวถึงโคลอี เจา
“คือใจผมน่ะอยากจะหาเพื่อนร่วมงานจริง ๆ สักคน แล้วผมก็คาดว่าน่าจะเจอในโรงเรียนภาพยนตร์นี่ล่ะ แต่ที่ผ่านมาผมมักจะเจอแต่คนประเภทนั่งจ้อถึงโปรเจกต์ต่าง ๆ นานาของพวกเขาแต่ไม่เห็นจะได้ลงมือทำสักที ผิดกับโคลอีที่เธอลงมือทำให้เห็นเลย นั่นล่ะ ผมก็เลยโดดเข้าร่วมวงด้วยเลย”

ทั้งคู่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขในเมืองโอไฮ เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ในแถบเทือกเขาโทปาโทปา นอกเมืองลอสแองเจลสิ ทั้งคู่เลี้ยงหมาไว้ 2 ตัวและไก่อีกหลายตัว แล้วยังมีสวนส้มของตัวเองอีกด้วย

5.เธอมองตัวเองเป็นผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวที่ใหญ่กว่าตัวเธอ

โคลอี เจา ขณะกำกับหนัง Songs My Brothers Taught Me

ถ่ายทอดจากบทสัมภาษณ์ตอนหนึ่งกับนิตยสาร Interview
“ในวินาทีที่คุณหันกล้องไปที่อะไรสักอย่าง นั่นหมายความว่าคุณเริ่มที่จะเล่าเรื่องอะไรออกมาแล้ว มันไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้หรอก เพราะวินาทีนั้นคุณเริ่มจะตั้งมุมมองของคุณให้กับสิ่งเหล่านั้นไปแล้ว ฉันเริ่มรู้สึกแบบนี้ก็ตอนที่ฉันไปอยู่กับชุมชนสักแห่งที่ฉันไม่คุ้นเคย เป็นชุมชนที่มีประเด็นมากมายอยู่ก่อนแล้ว มันก็มีหลาย ๆ ประเด็นนะ ที่ฉันเห็นแล้วอยากจะเล่าออกมา แต่ฉันก็ห้ามตัวเองไว้ว่า ไม่พูดถึงประเด็นเหล่านี้น่าจะดีกว่านะ หรือมุมมองของฉันที่มองเห็นว่ารัฐบาลทำอะไรผิดกับพวกเขาไว้บ้าง บ่อย ๆ ครั้งที่เขาเหล่านี้ได้บอกกับฉันว่าพวกเขามีความคิดเห็นอย่างไร ซึ่งฉันก็สนใจรับฟังนะ เพราะพวกเขานี่ก็เคยถูกนักข่าวสัมภาษณ์กันมาหลายครั้งแล้วด้วย”

6.ก้าวต่อไปที่ยิ่งใหญ่ของเธอกับมาร์เวล


แม้ว่าหนัง The Rider จะเป็นหนังฟอร์มเล็กที่แทบไม่มีใครรู้จัก แต่ในวันที่ออกฉายเมื่อปี 2017 นั้น The Rider ก็ประกาศศักดาอย่างมากตามเทศกาลหนัง คว้ามาได้ถึง 24 รางวัล และนั่นแหละที่ทำให้ชื่อของ โคลอี เจา ไปเตะตากับผู้บริหารมาร์เวล แล้วเลือกให้เธอไปกำกับโปรเจกต์สำคัญที่เป็นก้าวใหญ่ของมาร์เวล นั่นก็คือ The Eternals ที่ใช้ทุนสร้างมากถึง 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และทำให้เธอได้กำกับนักแสดงระดับแถวหน้าของฮอลลีวูดอย่าง แองเจลีนา โจลี, คิต ฮาร์ริงตัน และ ริชาร์ด แม็ดเดน ซึ่งขณะนี้ก็อยู่ในขั้นตอนหลังการถ่ายทำแล้วด้วย วางกำหนดฉายไว้เดือนพฤศจิกายนปีนี้ ถ้ามาร์เวลยังคงปักหลักกำหนดเดิม ซึ่งเจาให้เหตุผลในการร่วมงานกับมาร์เวลไว้ว่า
“ฉันเคยเฝ้าฝันมาตลอดเวลาว่า ฉันอยากจะเป็นนักเขียนการ์ตูน”
ก็นับว่าการเป็นผู้กำกับหนังมาร์เวล ก็ใกล้เคียงกับความใฝ่ฝันของเธอที่สุดแล้ว

กับทีมนักแสดงชุดใหญ่ใน The Eternals

ส่วนเควิน ไฟกี หัวเรือใหญ่ของมาร์เวล ก็ให้เหตุผลในการเลือก โคลอี เจา ไว้ว่า
“โคลอีนี่เธอไม่ใช่เพียงแค่สร้างหนังเล็ก ๆ หนังส่วนตัวได้อย่างน่าทึ่งแค่นั้นนะ แม้ว่าเธอจะมีแนวทางการทำงานแบบเล็ก ๆ ส่วนตัวของเธอ แต่แนวความคิดของเธอนี่อลังการ ระดับจักรวาล มหึมามาก ซึ่งมันเข้าทางเป๊ะกับสิ่งที่เราต้องการจะทำ”

ผู้กำกับสายอินดี้ที่เคยทำหนังทุนสร้างแค่ 5 ล้านเหรียญ แล้วโดดมาจับโปรเจกต์ระดับ 200 ล้านเหรียญ แล้วจะเป็นอย่างไร ความสามารถของเธอสมค่ากับรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมหรือไม่ แล้วสายตาของผู้บริหารมาร์เวลจะเลือกผู้กำกับได้ถูกคนหรือไม่ รอพิสูจน์ไปด้วยกันกับ The Eternals พฤศจิกายนนี้ครับ

อ้างอิง

อ้างอิง