แม้เราจะตระหนักกันดีว่า “ความตาย” เป็นสัจธรรมที่มนุษย์ทุกผู้ทุกคนต้องเผชิญไม่ว่าจะเร็วหรือช้า ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ แต่กระนั้นสำหรับคนที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาวหรืออยู่ในสภาวะจิตที่ยังไม่พร้อมรับ ความตายก็ยังเป็นเรื่องน่ากลัวอยู่เสมอ เช่นเดียวกับสาวคนนี้ ฮอลลี บุตเชอร์ เธอเป็นสาววัยเพียง 26 ปี อยู่ในเมืองเกรฟตัน รัฐนิวเซาธ์เวล ประเทศออสเตรเลีย ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเธอก็ใช้ชีวิตปกติอย่างสาวรุ่นทั่วไป ทำงาน หาเงิน มีความสุขกับครอบครัว เพื่อนและคนรัก

แต่แล้วชีวิตเธอก็พลิกผันครั้งใหญ่ในคืนวันฮาโลวีน 31 ตุลาคม ปี 2016 เมื่อเธอมีอาการป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ ฮอลลีไปโรงพยาบาลเข้ารับการตรวจ แต่ผลที่ออกมามันรุนแรงเกินความคาดหมายต่อทั้งตัวเธอและครอบครัว เมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าเธอป่วยเป็นมะเร็ง Ewing sarcoma (มะเร็งในกระดูกและเนื้อเยื่อ เป็นมะเร็งประเภทที่รุนแรงแต่หายาก ส่วนมากมักพบในผู้ป่วยเด็กและวัยรุ่น)

ฮอลลี บุตเชอร์ และ ดีน บุตเชอร์ พี่ชายของเธอ

ดีน บุตเชอร์ พี่ชายของฮอลลี เล่าว่าฮอลลีมีอาการป่วยมาเป็นเดือนแล้วก่อนหน้านี้ ทำให้เธอตัดสินใจไปตรวจอาการที่โรงพยาบาล
“เธอมีอาการปวดหัวเข่าทุกครั้งที่เธอออกกำลังกายหรือดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งประมาณเดือนหนึ่งก่อนหน้านั้น ตอนที่เธอมีอาการนี้ครั้งแรก เธอก็ไปหาหมอมาแล้ว หลังจากนั้นพอมีอาการปวด เธอทานยาแล้วอาการมันก็ทุเลาไป”

แต่เมื่ออาการปวดยังคงเวียนกลับมาเรื่อย ๆ ทำให้ฮอลลีเริ่มสังหรณ์ใจว่าน่าจะเกิดอะไรกับร่างกายเธอเสียแล้ว เธอจึงคะยั้นคะยอให้หมอตรวจร่างกายเธอให้ละเอียดขึ้นแล้วก็พบข่าวร้ายซึ่งพากันช็อกไปทั้งครอบครัว

“เธอเป็นคนที่สุขภาพดีมาก เป็นคนทานอาหารไดเอต เลือกกินแต่อาหารที่ดีต่อสุขภาพ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่ใช่คนที่ดื่มแอลกอฮอล์หนักด้วย แต่พอผลออกมาว่าเป็นมะเร็ง มันเห็นชัดเลยว่ามะเร็งนี่มันไม่เลือกคนจริง ๆ”
ดีน บุตเชอร์ เล่าเพิ่มเติม

กับ ลุค แอชลีย์-คูเปอร์ คนรักของเธอที่คบหามากว่า 5 ปี

แล้วตอนที่ตรวจพบโรคมะเร็งนั้น เธอก็เข้าสู่ขั้นที่ 4 ไปแล้ว นั่นหมายความว่าเซลล์มะเร็งมันกระจายไปทั่วร่างเธอเรียบร้อยแล้ว และนั่นคือช่วงที่ฮอลลีต้องยอมรับกับชะตากรรมที่โหดร้ายของเธอ เธอเหลือเวลาอีกไม่นานแล้ว จากวันที่ฮอลลีรู้ข่าวร้ายจนถึงวันสุดท้ายในชีวิตเธอ นับเป็นเวลา 1 ปี 3 เดือน ที่ฮอลลีค่อย ๆ ทำใจยอมรับกับชะตากรรมของตัวเอง เธอปรับเปลี่ยนมุมมองชีวิตใหม่หมด แล้วเธอก็ได้ถ่ายทอดแง่คิดผ่านมุมมองที่ของคนที่ใกล้ถึงวาระสุดท้ายเข้าไปทุกที่ ผ่านเป็นจดหมายถึงเพื่อนร่วมโลกให้ตระหนักถึงคุณค่าชีวิตให้มากที่สุด ลองอ่านกันดูครับ

คำแนะนำเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการดำเนินชีวิตจากฮอล:

สำหรับฉันแล้วมันก็เป็นเรื่องไม่คาดฝันอยู่ดี กับการที่ได้รับรู้แล้วต้องยอมรับว่าฉันจะต้องมาจบชีวิตเอาเมื่อวัย 26 ปี ที่จริงแล้วมันก็เป็นเรื่องที่ทุกคนเลี่ยงที่จะยอมรับกันมาตลอดล่ะ ในขณะที่วันเวลายังเดินหน้าไป เราต่างรู้แก่ใจกันดีว่าวันหนึ่งความตายก็ต้องมาถึง เพียงแต่ว่าบางทีมันก็มาแบบไม่ได้คาดคิด ฉันเองเคยวาดภาพตัวเองว่าจะได้แก่ตัวไป ร่างกายเหี่ยวย่น ผมหงอกไปตามวัย ได้มีครอบครัวที่สวยงาม มีเด็ก ๆ ในครอบครัวหลาย ๆ คน ฉันอยากที่จะมีครอบครัวที่อบอวลไปด้วยความรัก พอคาดหวังมันมากมันก็เลยกลายเป็นความเจ็บปวดที่ต้องรู้ว่าฉันจะไม่มีวันนั้น

ชีวิตมันก็เป็นแบบเนี้ยแหละ ช่างบอบบางเหลือเกิน แต่ก็เปรียบได้กับของมีค่า ซึ่งเราควรตระหนักไว้เสมอว่าชีวิตคือของขวัญจากธรรมชาติที่จะถูกเอาคืนไปเมื่อไหร่ก็ได้ ตอนนี้ฉันอายุ 27 ปีแล้ว ฉันยังไม่อยากจากโลกนี้ไปเลย ฉันรักชีวิตของฉัน ฉันยังมีความสุข ฉันยังอยากทำอะไรตอบแทนคนที่ฉันรัก แต่ฉันก็ทำอะไรไม่ได้ ฉันยังไม่ได้เริ่มเขียน “บันทึกก่อนฉันตาย” เลย ความตายมันเป็นเรื่องน่ากลัวใช่มั้ย แต่ฉันชอบนะในด้านที่่ว่ามันคือความจริงที่เราทุกคนต่างก็ไม่อยากที่จะพูดถึงมัน เพียงเพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ เมื่อใดที่ฉันพูดเรื่อง “ความตาย” ทุกคนก็ทำอย่างกับว่ามันเป็นเรื่อง “ต้องห้าม” ทำเหมือนว่ามันจะไม่เกิดขึ้นกับทุกคนอย่างนั้นล่ะ มันก็เลยเป็นเรื่องที่พูดกันยากหน่อย

ฉันก็แค่อยากจะให้ทุกคนหยุดกังวลกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตกันเสียที อย่าไปเครียดกับเรื่องไม่เป็นเรื่องในชีวิต ขอให้ตระหนักไว้เสมอว่า สุดท้ายเราทุกคนต่างก็ต้องเผชิญชะตากรรมเดียวกันอยู่ดีแหละ ฉะนั้นในขณะที่ยังมีชีวิตจงใช้ชีวิตแต่ละนาทีให้ผ่านไปอย่างคุ้มค่าและดีที่สุด ลบล้างเรื่องไร้สาระออกไปจากชีวิตซะ ในช่วง 2-3 เดือนสุดท้ายของชีวิตฉันเองก็ได้ย้อนทบทวนชีวิตที่ผ่านมาของฉัน ขณะเดียวกันก็ได้ตัดความคิดหลายสิ่งหลายอย่างออกไป แน่นอนเรื่องพวกนี้มันชอบผุดขึ้นมาบ่อยครั้งตอนกลางดึก

ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมานี่ ฉันก็พบว่าตัวเองจู้จี้จุกจิกกับเรื่องไร้สาระเล็ก ๆ น้อย ๆ บ่อยเหมือนกัน ฉันก็เลยมาย้อนคิดอีกแง่ ลองเอาตัวเองเปรียบเทียบกับคนที่เขาต้องเจอปัญหาใหญ่ในชีวิตบ้าง ฉะนั้นลองปล่อยวางเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ให้ผ่านไปบ้าง มันก็ใช่นะที่ว่าบางคนมันก็น่ารำคาญอยู่บ้าง แต่เราก็แค่อย่าเก็บเอามาใส่ใจ อย่าให้เรื่องราวชวนอารมณ์เสียเหล่านี้มาส่งผลกระทบต่อวันดี ๆ ของคนรอบข้างอีกเลย ถ้าเราตัดมันออกไปได้แล้วก็ลองเดินออกไปนอกบ้าน สูดอากาศดี ๆ เข้าไปให้เต็มปอด ชื่นชมกับสีน้ำเงินอันสวยงามของท้องฟ้า ซึมซับกับสีเขียวอันสวยงามของต้นไม้ แล้วย้อนคิดสิว่า วันนี้เราโชคดีแล้วที่ยังมีความสุขกับสิ่งรอบตัวเหล่านี้ได้ สูดหายใจเข้าไปซะ

ถ้าวันใดวาระสุดท้ายของคุณมาถึง คุณจะไม่คิดถึงเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้อีกต่อไป

วันใดที่คุณอาจต้องหงุดหงิดกับสภาพจราจร หรือเมื่อคืนแทบไม่ได้นอนเลยเพราะลูกน้อยกวนทั้งคืน ช่างทำผมตัดผมฉันสั้นจุ๊ดเกินไป เล็บที่เพิ่งทำมาใหม่บิ่นเสียแล้ว หน่มน้มฉันมันเล็กเกินไป แย่แล้วฉันมีเซลลูไลต์ที่ก้น หน้าท้องเริ่มเผละออกมา เรามาปล่อยวางเรื่องพวกนี้ออกจากหัวไปซะ ฉันยืนยันได้เลยว่า ถ้าวันใดวาระสุดท้ายของคุณมาถึง คุณจะไม่คิดถึงเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้อีกต่อไป คุณจะมองเรื่องเหล่านี้เป็นปัญหาขี้ประติ๋วไปหมดเพราะคุณจะเริ่มมองชีวิตเป็นภาพรวมทันที อย่างตัวฉันเองนี่ ก็ได้แต่มองร่างกายตัวเองเสื่อมสภาพไปต่อหน้าต่อตาโดยที่ฉันทำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เรื่องเดียวที่ฉันทำได้ตอนนี้ก็คือการภาวนาขอให้ฉันได้ฉลองวันเกิดอีกสักปี หรือได้ฉลองคริสต์มาสกับครอบครัวอีกสักครั้ง หรือขอแค่อีกวันเดียวที่ฉันจะได้อยู่กับคนรักและหมาของฉัน ขออีกแค่ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ

ฉันเคยได้ยินมาบ้างเหมือนกันแหละ คนนั้นคนนี้บ่นว่างานที่ทำอยู่มันห่วยจัง หรือบ่นว่าขี้เกียจออกกำลังกายจังเลย ฉันอยากบอกให้ว่า จงซาบซึ้งกับร่างกายคุณไว้เถอะ ตราบใดที่มันยังทำงานได้ ทั้งเรื่องงานหรือเรื่องออกกำลังกายในวันนี้มันอาจจะดูน่าเบื่อ แต่คุณจะนึกถึงคุณค่าของมันในวันที่ร่างกายคุณมันไม่สามารถทำทั้งสองอย่างนั้นได้ล่ะ

ฉันเองพยายามดำเนินชีวิตด้วยความห่วงใส่ใจในสุขภาพมาโดยตลอด เพราะเรื่องนี้เป็นเป้าหมายหลัก ๆ ของฉันเลย ฉะนั้นจงเห็นคุณค่าของสุขภาพที่ดีและร่างกายที่แข็งแรงของตัวเองไว้ ต่อให้มันยังไม่ถึงจุดที่คุณใฝ่ฝันไว้ก็เถอะ จงดูแลร่างกายของคุณอย่างดีและมองเห็นคุณค่าของมัน ขยับเขยื้อนร่างกายซะบ้าง ตอบแทนเค้าด้วยอาหารดี ๆ แต่อย่าถึงขั้นหมกมุ่นเกินไปนัก ให้คำนึงไว้เสมอว่าสุขภาพที่ดี สำคัญกว่าร่างกายที่สวยงาม พยายามเอาใจใส่สุขภาพจิตของคุณให้มากที่สุด อารมณ์ด้วย และจิตวิญญาณที่มีความสุขด้วย ถ้าทำได้คุณจะเริ่มมองเห็นว่าในโซเชียลมีเดียต่าง ๆ นั้นจะเต็มไปด้วยเรื่องงี่เง่าและไร้สาระเต็มไปหมด ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ก็ลองเริ่มด้วยการลบเพื่อนบางคนออกไป คนที่ชอบโพสต์อะไรให้คุณรู้สึกแย่กับตัวเองซะ ใช่ที่ว่ามันอาจจะดูใจร้าย แต่สิ่งทีได้กลับมาก็คือสภาพชีวิตที่ดีนะ

จงขอบคุณกับทุกวันที่เราได้มีชีวิตต่อไปโดยปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ต่อให้วันไหนที่คุณรู้สึกไม่สบายก็ตาม อาจจะเป็นหวัด เจ็บคอ ข้อเท้าแพลง ให้รับรู้ไว้ว่ามันแค่เรื่องเล็กน้อย ไม่ได้ถึงกับชีวิตแล้วเดี๋ยวมันหายไปเอง จากนี้ก็เลิกใส่ใจกับเรื่องจุกจิกในชีวิต แล้วช่วยเหลือกันและกันให้มากขึ้นนะ

จงมีแต่การให้ ให้ แล้วก็ให้ มันเป็นเรื่องจริงนะเชื่อฉันเถอะว่ามันจะทำให้คุณมีความสุขมากขึ้น ลองทำอะไรให้คนอื่นมากกว่าที่ทำให้กับตัวเอง ฉันเองยังอยากที่จะทำอะไรได้มากกว่านี้เลย ตั้งแต่ฉันป่วยมาเนี่ย ฉันได้เจอผู้คนมากมาย ได้รับน้ำใจ ความห่วงใยจากผู้คนอย่างล้นเหลือ ฉันได้รับข้อคิดดี ๆ มากมาย ได้รับคำพูดที่เปี่ยมไปด้วยความรักจากคนในครอบครัว เพื่อน หรือคนแปลกหน้าก็มี มากเสียจนฉันไม่รู้จะตอบแทนพวกเขากลับไปได้อย่างไร ฉันจะไม่มีวันลืมเหตุการณ์เหล่านี้และจะสำนึกต่อสิ่งที่พวกเขามีให้ตลอดไป

อีกเรื่องหนึ่งคือการที่ได้เคยมีเงินจับจ่ายใช้สอย แต่พอถึงวันที่กำลังจะตาย ฉันก็ไม่นึกอยากออกไปซื้อนั่นนี่เหมือนอย่างเคย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าใหม่ พอมาย้อนคิดมันทำให้ฉันสำนึกได้ว่าที่ผ่านมาฉันช่างโง่เสียจริงที่หมดเงินไปกับเสื้อผ้าและข้าวของจิปาถะไปตั้งเท่าไหร่ จากนี้ไปลองซื้อของที่มีคุณค่าทางจิตใจให้กับเพื่อนคุณนะ แทนที่จะเป็นเสื้อผ้า อัญมณี ถ้าคุณจะต้องไปงานแต่งงานเพื่อน ฉันมีเรื่องฝากไว้ให้จำ 2 ข้อนะ ข้อแรก-ไม่มีใครมาสนใจหรอกว่าคุณจะใส่ชุดซ้ำกับงานที่แล้ว ข้อสอง-มันจะเป็นความรู้สึกที่ดีมาก ๆ ถ้าลองพาพวกเขาออกไปเลี้ยงข้าว หรือไม่ก็ทำอาหารให้พวกเขากิน ชงกาแฟให้พวกเขาชิม ซื้อต้นไม้ให้เขาเป็นของขวัญ พาไปร้านนวด หรือเทียนหอมสวย ๆ สักเล่ม แล้วบอกพวกเขาว่า คุณรักพวกเขาเพียงใดตอนที่ยื่นสิ่งเหล่านี้ให้

มองเห็นเวลาของคนอื่นมีค่าบ้าง เวลานัดกันก็อย่าปล่อยให้พวกเขารอนานแค่เพราะคุณไม่ให้คำความสำคัญกับการมาตรงเวลานัด ถ้ารู้ตัวว่าเราเป็นคนแบบนี้ นับแต่นี้ไปก็เตรียมตัวเสียแต่เนิ่น ๆ ให้สำนึกซะว่าที่เพื่อนมาหาเราตามนัดก็เพราะเขาอยากที่จะใช้เวลากับเรา อย่าปล่อยให้พวกเขาตัองมานั่งรอเรา

คริสต์มาสที่ผ่านมานี่ครอบครัวฉันตกลงกันว่าเราจะไม่ให้ของขวัญกัน แล้วก็ไม่มีต้นคริสต์มาสด้วย บรรยากาศมันอาจจะดูเศร้าและเวิ้งว้างซักหน่อยนะ แต่ในแง่ดีก็คือแต่ละคนไม่ต้องกังวลกับการไปหาซื้อของขวัญ แต่เอาเวลาไปทุ่มเทกับการเขียนข้อความดี ๆ ให้แก่กันแทน ฉันเองรู้ดีว่าครอบครัวฉันคิดอย่างไร เพราะถ้าปีนี้เขาต้องซื้อของขวัญให้ฉันแล้วสุดท้ายของขวัญเหล่านี้มันก็จะกลับไปอยู่กับพวกเขาอยู่ดีแหละ มันฟังดูประหลาดใช่มั้ยล่ะ มันอาจจะดูเศร้าสร้อยไปซักหน่อยนะ แต่เอาจริง ๆ แล้ว การ์ดอวยพรที่ฉันได้รับนั้นมันมีความหมายต่อฉันมากกว่าของขวัญแพง ๆ เสียอีก แต่ก็นั่นแหละ มันก็อาจเป็นเรื่องง่ายสำหรับบ้านฉันเท่านั้น เพราะครอบครัวฉันไม่มีเด็ก ๆ ไง อย่างไรก็ตามประเด็นของเรื่องนี้ที่ฉันต้องการจะสื่อก็คือ ของขวัญไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดในเทศกาลคริสต์มาส เดินหน้าใช้ชีวิตกันต่อไปนะ

จงใช้เงินไปกับการสร้างประสบการณ์ดี ๆ ลองย้อนคิดว่าที่ผ่านมาคุณหมดเงินไปกับการจับจ่ายข้าวของไร้สาระมากขนาดไหนแล้ว ก็ลองเจียดเงินมาเพื่อสร้างประสบการณ์ดี ๆ ให้ตัวเองบ้าง ลองพยายามออกไปเที่ยวดูบ้าง ไปเที่ยวทะเล ที่ ๆ ที่คุณเคยผัดผ่อนมาหลายรอบ สัมผัสถึงเท้าที่ได้แช่อยู่ในน้ำ กดนิ้วเท้าของคุณลงไปในผืนทราย ให้น้ำทะเลได้สัมผัสใบหน้าคุณจนเปียก แทรกตัวเองลงไปอยู่ท่ามกลางธรรมชาติเสียบ้าง ออกไปรื่นรมย์กับธรรมชาติเหล่านี้ด้วยตัวเองไม่ใช่แค่มองภาพเหล่านี้ผ่านหน้าจอมือถือไปวัน ๆ อย่าดำเนินชีวิตวัน ๆ อยู่แค่หน้าจอโทรศัพท์หรือมอนิเตอร์ หรือแค่ได้มองแต่รูป หาเวลาสัมผัสด้วยตัวเองกับช่วงเวลาเหล่านี้อย่างจริงจัง

ฝากคำถามถึงเพื่อนหญิงทั้งหลาย ว่าที่ผ่านมา เราใช้เวลาวันละหลาย ๆ ชั่วโมงในการทำผม แต่งหน้า หรือออกไปตระเวนราตรี ที่ผ่านมามันคุ้มค่าแล้วจริงหรือ ฉันคนหนึ่งล่ะที่ไม่เคยเข้าใจเรื่องนี้เลยจริง ๆ เพื่อนหญิงทั้งหลายขา ลองตื่นแต่เช้าดูบ้างนะ ตื่นมาฟังเสียงนกร้อง แล้วก็มองแสงสีสวย ๆ ของบรรยากาศตอนดวงอาทิตย์ขึ้น ฟังเพลงเพราะ ๆ ฉันหมายถึงให้ตั้งใจฟังจริง ๆ นะ ดนตรีก็คือว่าเป็นการบำบัดที่ดีอย่างหนึ่งเลยล่ะ ยิ่งเก่ายิ่งดี

กอด ลูบไล้หมาดูบ้าง ยิ่งนานวันฉันยิ่งคิดถึงนะ หันไปคุยกับเพื่อนให้มากขึ้น อยู่กับโทรศัพท์ให้น้อยลง ลองหันไปมองซิว่าเพื่อน ๆ ยังโอเคกันดีอยู่มั้ย?
ออกไปเทียวบ้าง ถามใจตัวเองดูว่านี่คือสิ่งแรกที่คุณอยากทำหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ต้องไป
ทำงานเพื่อประคองชีพ ไม่ใช่มีชีวิตอยู่เพื่อทำงาน
และสำคัญที่สุด จงทำสิ่งที่ทำแล้วใจของคุณมีความสุข
กินเค้กไป อย่าไปรู้สึกผิดถ้าจะกิน
กล้ากล่าวคำปฏิเสธบ้าง ถ้าคุณไม่ต้องการมันจริง ๆ
จงบอกรักคนที่คุณรัก ทุกครั้งที่คุณมีโอกาสเอ่ยคำนี้ และจงรักเค้าเท่าทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณมี
อย่าทนกับบางสิ่งบางอย่างมันทำให้คุณไม่มีความสุข จำไว้ว่าคุณมีพลังที่จะแปรเปลี่ยนมันได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องความรัก หรือเรื่องอะไรก็ตาม จงกล้าที่จะลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงมันซะ เพราะว่าคุณไม่รู้หรอกว่าคุณจะเหลือเวลาอยู่บนโลกนี้อีกนานแค่ไหน ฉะนั้นอย่าเสียเวลาทนกล้ำกลืนไปกับมัน ฉันรู้ว่าฉันกล่าวถึงเรื่องนี้ไปแล้ว แต่มันก็เป็นเรื่องจริงอยู่ดี

อย่างไรก็ตาม คุณอาจจะมองว่านี่มันก็แค่คำแนะนำจากหญิงสาวคนหนึ่งแค่นั้น จะช่างมันหรือเก็บไปคิดก็ได้ ฉันไม่ว่าอะไร
โอ้! เรื่องสุดท้ายที่อยากฝากไว้ ทำเรื่องดี ๆ กับเพื่อนร่วมโลกดูบ้าง ซึ่งเรื่องนี้รวมถึงตัวฉันด้วย ลองเริ่มหันมาสนใจเรื่องบริจาคเลือดกันบ้าง เชื่อเถอะ มันจะทำให้คุณรู้สึกดีมาก ๆ และสิ่งที่ตามมาก็คือคุณได้ช่วยชีวิตคนอื่น เรื่องบริจาคเลือดนี้มันเหมือนกับเป็นเรื่องที่หลายคนมองข้ามมาตลอด แต่อยากบอกให้รู้ไว้ว่าทุกครั้งที่คุณบริจาคเลือด คุณได้ช่วยชีวิตคนไว้ถึง 3 ชีวิตเลยนะ มันเป็นเรื่องดี ๆ กับขั้นตอนง่าย ๆ แต่ช่วยเหลือคนอื่นได้อย่างมาก

ฉันได้รับเลือดบริจาคมากเกินกว่าจะนับได้ไหวแล้ว เลือดที่ได้รับทำให้ฉันได้ต่อชีวิตมาอีกหนึ่งปี และเป็นปีที่ฉันจะสำนึกตลอดไป เป็นปีที่ทำให้ฉันได้มีมีชีวิตต่อบนโลก ได้อยู่กับครอบครัว เพื่อน และหมาของฉัน เป็นอีกปีที่ฉันได้มีช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตฉัน

…จนกว่าเราจะได้พบกันอีก

ฮอล
XOXO

ฮอลลี บุตเชอร์ กับรอยยิ้มที่สดใส ในวันที่ยังไม่รู้ถึงชะตากรรมที่พลิกผัน

ถ้าอ่านข้อความของ ฮอลลี่ บุตเชอร์ แล้วรู้สึกสะอึก ตื้นตัน ยังมีข้อเท็จริงที่ชวนให้จุกไปกว่านั้น ก็คือหลังจากที่ฮอลลีโพสต์จดหมายนี้บนเฟซบุ๊กของเธอไปไม่ถึง 24 ชั่วโมง เธอก็ได้จากโลกนี้ไปในวันที่ 4 มกราคม 2018

แม้ว่าตัวเธอจะจากโลกนี้ไปแล้ว แต่โพสต์ของเธอในวันนี้ ถูกแชร์ไปแล้วกว่า 1.8 แสนครั้ง ดูโพสต์ต้นฉบับได้ทางนี้เลยครับ

อ้างอิง

อ้างอิง

อ้างอิง