คดีนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ยุค 80s นู่นแล้ว แต่ด้วยความบังเอิญจนเป็นคดีประหลาดมาก สมควรหยิบมาเล่าต่อกันในวันนี้ จุดเริ่มต้นของคดีนี้สวยงามมาก จนน่าจะลงเอยเป็นชีวิตรักที่หอมหวาน เมื่อหนุ่มสายการบิน เจอกับศิลปินสาวในปี 1959 ชายหนุ่มนั้นมีนามว่า ปีเตอร์ เรย์น-บาร์ด (Peter Reyn-Bardt) เขาเกิดรักแรกพบกับ มาลิกา เดอ-เฟอร์นานเดซ (Malika de Fernandez) แค่เพียง 2 ชั่วโมงที่ได้สนทนากัน เขาก็หลงใหลเธอหัวปักหัวปำ ถึงขั้นเอ่ยปากขอแต่งงานกับเธอเลยทีเดียว ซึ่งสาวเฟอร์นานเดซก็ตกปากรับคำเสียด้วย

ปีเตอร์ เรย์น-บาร์ด และ มาลิกา เฟอร์นานเดซ

ผ่านไปหลังจากนั้นอีกแค่ 4 วัน ทั้งคู่ก็เข้าสู่พิธีวิวาห์กัน แต่ก็นั่นแหละ อย่างที่ใครหลายคนว่าไว้ ชีวิตคู่ต้องดูกันยาว ๆ ถึงจะรู้ธาตุแท้ซึ่งกันและกัน หลังใช้ชีวิตคู่ด้วยกันไม่กี่เดือน เตียงก็หัก เฟอร์นานเดซตัดสินใจออกเดินทางท่องเที่ยววาดภาพตามเดิมอีกครั้ง แต่คราวนี้เธอเลือกจะบินสายการบินที่สามีทำงาน เพราะเธอได้ส่วนลดในฐานะภรรยาของพนักงาน ส่วนเรย์-บาร์ดก็อยู่ที่บ้านในเมืองเชชเชอร์ ประเทศอังกฤษต่อไป

เรื่องราวช่วงนี้ไม่มีใครรู้ความเป็นไปของสามีภรรยาคู่นี้ ญาติพี่น้องของเฟอร์นานเดซมั่นอกมั่นใจว่าต้องเกิดอะไรขึ้นกับเธอเป็นแน่ หลังจากเธอขาดการติดต่อไปเป็นเวลา 2 ปีแล้ว แน่ละตำรวจต้องตั้งเป้าว่า เรย์-บาร์ด คือผู้ต้องสงสัยลำดับแรก แล้วก็ยกกำลังเข้าตรวจค้นทั้งในบ้านและนอกบ้าน ถึงขนาดขุมหลุมในสวน เพื่อหาร่างของเฟอร์นานเดซอีกด้วย แต่แล้วตำรวจก็ไม่เจอหลักฐานและเบาะแสใด ๆ เลย การหายตัวไปของเฟอร์นานเดซกลายเป็นคดีที่ปิดไม่ลง ผ่านมากว่า 2 ทศวรรษ เหตุการณ์ที่ใครไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น

หนองน้ำที่พบหัวกระโหลก

วันที่ 13 พฤษภาคม 1983 มีคนไปพบหัวกระโหลกคนในหนองน้ำในป่าพรุใกล้บ้านของเรย์-บาร์ด กลายเป็นหลักฐานสำคัญที่ตำรวจใช้มัดตัว เรย์-บาร์ด ในฐานะฆาตกรผู้ลงมือสังหารภรรยาตัวเองทันที

หัวกระโหลกดังกล่าวนี้ เจ้าหน้าที่นิติเวชสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นของหญิงอายุอยู่ในช่วง 30 – 50 ปี ซึ่งตรงพอดีกับคดีที่เฟอร์นานเดซหายตัวไปเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว

“มันผ่านมานานมากแล้ว ผมไม่คิดแล้วว่าจะมีใครมาเจอเข้า”
เรย์-บาร์ด กล่าวกับตำรวจในระหว่างสอบปากคำ เขาย้อนเล่าถึงวันเกิดเหตุว่า ในวันนั้นเฟอร์นานเดซกลับมาจากต่างประเทศ แล้วเธอก็ขู่กรรโชกเขา ให้จ่ายเงินให้เธอก้อนหนึ่ง ไม่งั้นเธอจะแฉว่าเขาเป็นเกย์ ซึ่งในวันนั้นในอังกฤษยังไม่ให้การยอมรับเช่นในวันนี้ แต่เรย์-บาร์ดปฏิเสธที่จะให้เงิน ทั้งคู่จึงเกิดการลงไม้ลงมือใส่กัน

“ตอนนั้นภายในร่างผมเดือดมาก”
ด้วยความบันดาลโทสะรุนแรง เรย์-บาร์ดคว้าร่างของเฟอร์นานเดซไว้ แล้วเขย่าตัวเธออย่างแรง จนเริ่มผิดสังเกตเมื่อเธอแน่นิ่งไป ตอนนั้นแหละเรย์-บาร์ด ถึงได้รู้ว่าเธอหมดลมหายใจไปแล้ว

“ผมตื่นตระหนกมากทำอะไรไม่ถูก ตอนนั้นเรื่องเดียวที่ผุดขึ้นมาในหัวคือต้องซ่อนร่างเธอซะ”
สิ่งที่เรย์-บาร์ดลงมือทำก็ช่างสยดสยองยิ่งนัก เขาใช้ขวานสับร่างของเธอออกเป็นชิ้น ๆ เริ่มแรกเขาพยายามเผาร่างเธอ แต่ก็ไหม้ไม่หมด เขาจึงตัดสินใจนำชิ้นส่วนต่าง ๆ ของเธอไปโยนทิ้งลงหนองน้ำในป่าพรุ

Malika de Fernandez

ซึ่งคดีก็น่าจะจบลงตรงนี้ เจอชิ้นส่วนภรรยาแล้ว เป็นหลักฐานสำคัญมัดตัวสามี เป็นผู้ต้องหา ส่งตัวเข้ารับการพิจารณาคดี แต่มันมาพลิกล็อกตรงที่ จอร์จ แอบบอตต์ (George Abbott) ตำรวจนักสืบ เกิดตั้งข้อสงสัยว่า ถ้านี่คือกระโหลกของเฟอร์นานเดซ แล้วชิ้นส่วนอื่น ๆ ของเธอล่ะอยู่ไหน ? เขาจึงตัดสินใจส่งหัวกระโหลกนี้ไปให้เจ้าหน้าที่นิติวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยออกฟอร์ด ทำการตรวจสอบ เจ้าหน้าที่ก็ใช้ผงคาร์บอนทำการตรวจสอบหาอายุที่แท้จริงของกระโหลกใบนี้ แล้วคำตอบก็ชวนให้น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เมื่อเจ้าของกระโหลกใบนี้มีอายุอยู่ในยุคโรมันนู่นเลย

“หัวกระโหลกที่เก็บรักษาอย่างดีภายใต้หนองน้ำที่ทับถมด้วยซากอินทรีย์ต่าง ๆ ผ่านมาได้ 16 ศตวรรษ และเป็นที่ชัดเจนว่ากระโหลกนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับ มาลิกา เรย์-บาร์ด”
อัยการ มาร์ติน โธมัส (Martin Thomas) ขี้แจงกับศาลว่า “แต่เรื่องน่าขันที่สุดในคดีนี้ก็คือ การค้นพบกระโหลกนี้พาเราพุ่งตรงไปสู่การควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยและได้รับคำสารภาพจากเขา”

พอ เรย์-บาร์ด ได้รู้ความจริงว่าหัวกระโหลกนั้นไม่ได้เป็นของเฟอร์นานเดซ เขาก็พยายามขอถอนคำรับสารภาพ แต่ดูจะไม่ทันการซะแล้ว คดีนี้ลูกขุนใช้เวลาปรึกษากันกว่า 3 ชั่วโมง กว่าจะลงความเห็นว่าเขามีความผิดจริง ส่วนร่างของเฟอร์นานเดซนั้นก็ยังไม่มีการค้นพบจวบจนทุกวันนี้

ที่มา ที่มา