สหรัฐอเมริกากับเกาหลีเหนือนี่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมายาวนานแล้ว แม้กระทั่งทุกวันนี้เราก็ยังได้ยิน 2 ประเทศนี้ฮึ่ม ๆ ใส่กันอยู่เนือง ๆ อย่างเหตุการณ์ที่เกิดในปี 1969 ที่ผู้เขียนหยิบมาเล่านั้น ก็นับว่าเป็นครั้งหนึ่งที่สุ่มเสี่ยงที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้ เหตุการณ์นี้ถูกปิดเป็นความลับมายาวนานถึง 40 ปี เพิ่งได้รับการเปิดเผยจากกองงานเอกสารความมั่นคงแห่งชาติ National Security Archive หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ เปิดกว้างเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร

หน้าตาของเครื่อง EC-121 ที่ถูกเกาหลีเหนือยิงร่วง

ชนวนมันเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 15 เมษายน 1696 เครื่องบินสอดแนม EC-121 ของกองทัพอเมริกันบินขึ้นจากฐานทัพในญี่ปุ่นตามภารกิจปกติอย่างที่เคยปฏิบัติมาแล้วนับสิบครั้ง ขณะที่เครื่องบินลอยตัวอยู่เหนือน่านน้ำสากลเพื่อรวบรวมสัญญาณต่าง ๆ ที่น่าจะเป็นประโยชน์กับทางราชการ ทั้งสัญญาณวิทยุ สัญญาณข้อมูลข่าวสารและสัญญาณอื่น ๆ แต่จู่ ๆ ก็มีเครื่องบินรบของเกาหลีเหนือเข้ามาขวางเส้นทางการบิน แล้วก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงแต่เปิดฉากโจมตีเครื่อง EC-121 ทันที นักบินและลูกเรือ 31 คนบนเครื่องเสียชีวิตหมด

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงที่ริชาร์ด นิกสัน เพิ่งเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีได้เพียงแค่ 3 เดือนเท่านั้น ก็ต้องเจอการท้าทายอำนาจจากเกาหลีเหนือทำให้นิกสันรู้สึกเหมือนถูกหยาม และหัวเสียเอามาก ๆ หลังจากนิกสันได้รับรายงานเพียงแค่ชั่วโมงเดียว ก็พลันมีคำสั่งไปยังฐานทัพอากาศสหรัฐฯ เมืองคุนซาน, เกาหลีใต้ ให้เข้าสู่สถานะเตรียมพร้อมโจมตี

หน้าตาของเครื่อง F-4 ที่ประจำการในคุนซาน

เรื่องนี้ได้รับการยืนยันจาก บรู๊ซ ชาร์ล (Bruce Charles) อดีตนักบินโจมตีที่ถูกส่งไปประจำการชั่วคราวในวันนั้นที่ฐานทัพอากาศคุนซาน ชาร์ลได้รับคำสั่งให้อยู่ในสถานะเตรียมพร้อม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งใน ‘แผนการดำเนินงานเดียวครบวงจร’ (Single Integrated Operational Plan-SIOP) ซึ่งเป็นแผนการเดียวกับที่จะใช้เปิดสงครามนิวเคลียร์กับสหภาพโซเวียตในช่วงนั้น ชาร์ลเล่าว่าในบ่ายวันนั้น ผู้บังคับบัญชาเรียกเขาให้เข้าไปหาที่ห้องทำงาน

“การที่ผมถูกผู้พันเรียกพบตัวนั้นมันก็เป็นเรื่องปกตินะครับ วันนั้นเขาก็เล่าให้ผมฟังว่าเครื่อง EC-121 ถูกยิงร่วงห่างออกไปในทะเลจากจุดนี้ประมาณ 100 ไมล์ แล้วเขาก็ได้รับคำสั่งมา ซึ่งเขาเอาให้ผมดูด้วยว่าเป็นคำสั่งให้เตรียมพร้อมที่จะตอบโต้กลับทันที”

พอได้รับคำสั่งให้เตรียมพร้อม ชาร์ลก็ออกไปเช็กเครื่องบินโจมตี F-4 ของเขา แล้วก็เช็กระเบิดที่เครื่องบินของเขาจะต้องหิ้วไปด้วย นั่นก็คือระเบิดนิวเคลียร์ B61 ที่มีขนาด 330 กิโลตัน ชาร์ลยังบอกด้วยว่าลูกนี้ไม่ใช่ลูกใหญ่สุดในคลังแสงของกองทัพสหรัฐฯ หรอก แต่มันก็มีอานุภาพมากกว่าลูกที่ไปทิ้งใส่ฮิโรชิมาถึง 20 เท่า

หลังเช็กทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ชาร์ลก็คอยรับคำสั่งยืนยันโจมตีอยู่อีกหลายชั่วโมง แต่แล้วคำสั่งที่ตามมา ไม่ใช่คำสั่งยืนยันโจมตี แต่เป็นคำสั่ง ‘ยุติปฏิบัติการชั่วคราว’
“คำสั่งยุติปฏิบัติการมาตอนใกล้จะพลบค่ำแล้วครับ แต่คำสั่งก็ไม่ค่อยชัดเจนนักหรอก ผู้พันเค้าบอกกับผมว่า มันเหมือนข้อความส่งมาหาเขามากกว่าจะเป็นคำสั่ง แต่ที่แน่ ๆ คือวันนี้เรายังไม่ต้องทำอะไร แต่พรุ่งนี้น่ะไม่แน่”

ส่วนเหตุการณ์เบื้องหลังคำสั่ง ‘ยุติปฏิบัติการชั่วคราว’ นั้น ได้รับการเปิดเผยในหนังสือ The Arrogance of Power: The Secret World of Richard Nixon เขียนโดย แอนโธนี ซัมเมอร์ส (Anthony Summers) และ ร็อบบิน สวอน (Robbyn Swan) เผยว่านิกสันไม่ได้ออกคำสั่งโผงผางแบบนี้เพราะอำนาจในมือเขา แต่เป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอลล์

จอร์จ คาร์เวอร์ (George Carver) เจ้าหน้าที่ CIA ผู้เชี่ยวชาญประจำเวียดนาม เป็นผู้หนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์ขณะที่นิกสันออกคำสั่งให้โจมตีเกาหลีเหนือ คาร์เวอร์เล่าว่านิกสันหัวร้อนอย่างหนัก ตอนที่รู้ข่าวว่าเครื่อง EC-121 ถูกยิงตก เขารีบโทรหาคณะเสนาธิการ่วม (Joint Chiefs of Staff) ให้ดำเนินการยุทธิวิธีตอบโต้ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ทันที

เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ (Henry Kissinger)

มาถึงตรงนี้ต้องขอบคุณ เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ (Henry Kissinger) ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติในขณะนั้น ที่รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไรทำไมนิกสันถึงสั่งการอุกอาจเพียงนี้ เขาจึงรีบโทรหา จอร์จ คาร์เวอร์ ตามหลังจากที่นิกสันโทรทันที แล้วหว่านล้อมให้เขาเห็นชอบที่จะยุติปฏิบัตการนี้ลงชั่วคราวก่อน รอให้นิกสันสร่างเมาแล้วได้สติอีกทีตอนเช้าพรุ่งนี้ แล้วค่อยว่ากันอีกทีว่าจะเอายังไงต่อ

ในหนังสือ The Arrogance of Power: The Secret World of Richard Nixon ยังเล่าอีกว่า นี่ไม่ใช่เพียงครั้งเดียวที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงต้องโทรหาคิสซิงเจอร์ให้มาช่วยยับยั้งคำสั่งโจมตีจากนิกสันแบบนี้ ถ้าไม่มีคนอย่างคิสซิงเจอร์คอยมาปราม โลกเราคงได้เกิดสงครามนิวเคลียร์กันทุกอาทิตย์เป็นแน่

มีบทวิเคราะห์ว่าเหตุจูงใจที่นิกสันสั่งยิงนิวเคลียร์บ่อย ๆ นั่นก็เพราะเขาอยากจะประกาศให้ประเทศมหาอำนาจฝั่งคอมมิวนิสต์ได้รู้ซึ้งว่าเขาเอาจริงเสมอที่จะสั่งโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ หลังเหตุการณ์นี้ผ่านไปได้ 1 ปี นิกสันเคยดำเนินการขั้นรุนแรงสุดด้วยการส่งเครื่องบินบรรทุกระเบิดนิวเคลียร์มุ่งหน้าไปสหภาพโซเวียตมาแล้ว ขณะเดียวกันนั้นก็มีข่าวลือแพร่สะพัดว่าประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน เสียสติไปแล้ว เพราะดูเหมือนว่าอยากจะจุดชนวนสงครามโลกครั้งที่ 3 เสียเหลือเกิน โชคดีนะครับที่สหรัฐอเมริกาและโลกมนุษย์ผ่านพ้นวาระ 5 ปีของริชาร์ด นิกสัน มาได้โดยไม่เกิดสงครามขึ้นมาจริง ๆ

อ้างอิง อ้างอิง อ้างอิง อ้างอิง อ้างอิง