วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคมหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเกาหลีใต้นำเสนอว่า Hyundai Motor ผู้ผลิตรถยนต์ของเกาหลีใต้ และ Apple ผู้นำเทคโนโลยีระดับโลกมีแผนที่จะลงนามข้อตกลงในการร่วมมือกันผลิตรถยนต์ไฟฟ้าขับขี่ด้วยตนเองภายในเดือนมีนาคมนี้ หลังจากเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา Hyundai ได้เปิดเผยว่ากำลังเจรจากับ Apple ในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าขับขี่ด้วยตนเองและจะเปิดตัวในปี 2024 จนส่งผลให้หุ้นของ Hyundai พุ่งขึ้น 19%

Apple เคยมีข่าวเกี่ยวกับโครงการลับ Project Titan ในการเริ่มออกแบบรถยนต์ของตนเองมาตั้งแต่ปี 2014 และในปี 2018 ได้มี Doug Field อดีตหัวหน้าวิศวกรของ Tesla มาดูแลโครงการนี้ จากนั้นมกราคม 2019 ได้ปลดทีมงานออกไปมากกว่า 200 คนและเดือนมิถุนายน Apple ก็ได้เข้าซื้อกิจการ Drive.ai บริษัทสร้างเทคโนโลยีรถยนต์ขับขี่ด้วยตนเอง

ปลายเดือนธันวาคม 2020 มีข่าวลือว่า Apple จะเริ่มผลิต Apple Car รถยนต์ขับขี่ด้วยตัวเองในปี 2024 ซึ่งจะมีการติดตั้งเซนเซอร์ Lidar ในระบบขับขี่ด้วยตัวเองและได้ออกแบบแบตเตอรีแบบโมโนเซลล์โดยใช้ LFP

หลังจากนั้น Elon Musk ซีอีโอของ Tesla ได้ทวีตให้ความเห็นว่าแบตเตอรีแบบโมโนเซลล์เป็นไปไม่ได้ในทางไฟฟ้าเคมี เนื่องจากแรงดันไฟฟ้าสูงสุดต่ำเกินไป และการใช้ Lidar ในการวัดระยะทางด้วยการยิงเลเซอร์และตรวจจับระยะเวลาที่ย้อนกลับสำหรับเทคโนโลยีขับขี่ด้วยตัวเอง ไม่น่าจะสำเร็จ เพราะทาง Tesla เลือกใช้ Computer Vision คือ การใช้ AI พยากรณ์ภาพจากกล้องและเรดาร์ที่สามารถตรวจจับได้ว่าวัตถุคืออะไรแล้วควรจะตอบสนองอย่างไร

ข่าววงในล่าสุดระบุว่า Hyundai และ Apple จะร่วมมือกันผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่โรงงานของ Kia Motors ในจอร์เจียซึ่งเป็นบริษัทที่ถือหุ้นใหญ่โดย Hyundai หรือไม่อาจจะร่วมทุนสร้างโรงงานแห่งใหม่ในสหรัฐฯ และมีแผนจะเปิดตัว Apple Car รุ่นเบตาในปี 2022

โรงงานจะเริ่มสายการผลิตรถยนต์ 100,000 คันในปี 2024 ตามที่ Hyundai แถลงข่าวเมื่อวันศุกร์และหลังจากนั้นจะให้กำลังการผลิตปีละ 400,000 คัน

เชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ Apple Car รถยนต์ไฟฟ้าขับขี่ด้วยตัวเองจะเปิดตัวในปีหน้า เนื่องจาก Apple เองก็ได้ซุ่มพัฒนามาอย่างต่อเนื่องแถมมีบริษัทสร้างระบบรถยนต์ขับขี่ด้วยตนเองอยู่ในมือ และได้พัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรีของตัวเองตามที่กล่าวอ้าง ดังนั้นเมื่อ Apple จับมือกับผู้ผลิตรถยนต์อย่าง Hyundai การสร้างรถยนต์ต้นแบบและสายการผลิตจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะต้องใช้เวลานานอีกต่อไป

ที่มา : reuters

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส