ร็อบ จอยส์ (Rob Joyce) ผู้อำนวยการด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (National Security Agency – NSA) เผยว่าการคว่ำบาตรรัสเซียทำให้ตัวเลขการโจมตีด้วยมัลแวร์เรียกค่าไถ่ (Ransomware) ทั่วโลกลดลงอย่างมากในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากการคว่ำบาตรทำให้เหล่าอาชญากรทำการโจมตีและเรียกรับเงินค่าไถ่ได้ยากขึ้น

มัลแวร์เรียกค่าไถ่ ซึ่งเป็นมัลแวร์ที่ใช้สำหรับล็อกข้อมูลของเหยื่อเพื่อรีดเงินค่าไถ่เป็นคริปโทเคอเรนซีนั้น ได้สร้างความเสียหายอย่างมากต่อโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทั่วโลกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่โรงพยาบาล ไปจนถึงระบบสาธารณูปโภค

ตัวอย่างการโจมตีที่ร้ายแรงที่สุดกรณีหนึ่ง คือการโจมตีท่อส่งพลังงานของ Colonial Pipeline ในสหรัฐฯ เมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว ซึ่งสร้างความเสียหายไปมากกว่า 4 ล้านเหรียญ (ราว 138 ล้านบาท)

ผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์ในฝั่งโลกตะวันตกเชื่อว่ากลุ่มแฮกเกอร์ชื่อดังจำนวนมากมีฐานปฏิบัติการอยู่ในรัสเซีย ซึ่งจอยส์เชื่อว่าการคว่ำบาตรรัสเซียจากกรณีการรุกรานยูเครนทำให้ชีวิตของอาชญากรเหล่านี้ยากขึ้น นำไปสู่สถิติการโจมตีที่ลดลงในช่วงนี้

“แนวโน้มน่าสนใจที่เราเห็นในช่วงนี้คือเมื่อเดือนหรือสองเดือนที่แล้ว มัลแวร์เรียกค่าไถ่น้อยลงจริง ๆ มันน่าจะเกิดจากหลายเหตุผล แต่ผมคิดว่าหนึ่งในนั้นคือความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน เนื่องจากการคว่ำบาตรทำให้การเคลื่อนย้ายเงินและการซื้อโครงสร้างพื้นฐานบนเว็บไซต์ทำได้ยากขึ้น ส่งผลให้ [เหล่าอาชญากร] ทำงานด้อยลง” จอยส์ระบุ

ที่มา ZDNet

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส