วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคมที่ผ่านมาหนังสือพิมพ์ Telegraph รายงานว่ารัฐบาลอังกฤษคาดว่าจะถอดอุปกรณ์ของ Huawei ออกจากเครือข่ายโทรคมนาคม 5G ของอังกฤษภายในปี 2025 สืบเนื่องจาก Oliver Dowden รัฐมนตรีวัฒนธรรมของอังกฤษได้แถลงหารือในรัฐสภาเมื่อวันอังคารว่าเขาต้องการถอดอุปกรณ์ของ Huawei ออกจากเครือข่ายภายในห้าปี นอกจากนี้ ส.ส. พรรค Tory ได้กดดันให้นายกฯ อังกฤษเร่งจัดการให้จบภายในปี 2023

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา Vodafone และ BT ผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือของอังกฤษได้เตือนว่าการถอดอุปกรณ์ Huawei ออกจากเครือข่ายของบริษัทจะทำให้การใช้งานของลูกค้าหยุดชะงักอย่างรุนแรง ซึ่งเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงในเวลาห้าปี

แผนการถอดอุปกรณ์ Huawei ของอังกฤษครั้งนี้ได้สวนทางกับประกาศของนายกรัฐมนตรีอังกฤษเมื่อเดือนมกราคมที่ยินยอมให้ Huawei ของจีนเข้าร่วมเครือข่ายมือถือ 5G ของอังกฤษในบทบาทที่จำกัด โดยมีส่วนร่วมในเครือข่ายแค่ 35% ซึ่งจะถูกแยกออกจากแกนกลางของเครือข่ายที่มีความละเอียดอ่อน 

สหรัฐฯ ได้แสดงความห่วงใยต่ออังกฤษเกี่ยวกับความเสี่ยงในการใช้อุปกรณ์ของ Huawei ในเครือข่ายมือถือ 5G โดยระบุว่ามีอันตรายจากการสอดแนมข้อมูลของจีน ทั้งที่ Huawei ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นช่องทางในการสอดแนมให้กับหน่วยข่าวกรองของจีน

ต่อมาในเดือนพฤษภาคมนายกรัฐมนตรีของอังกฤษได้ขอให้เจ้าหน้าที่วางแผนที่จะลด Huawei ผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคมของจีนออกจากการร่วมอยู่ในเครือข่าย 5G ของอังกฤษให้เหลือศูนย์หรือหมดไปภายในปี 2023 หลังจากการแพร่ระบาดของ COVID-19

5 กรกฎาคมที่ผ่านมาหนังสือพิมพ์ Telegraph ได้รายงานถึงข้อมูลรั่วไหลจากศูนย์รักษาความปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติของอังกฤษ (GCHQ) ว่าการคว่ำบาตรโดยสหรัฐฯ จะบังคับให้ Huawei ใช้เทคโนโลยีที่ไม่น่าเชื่อถือซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงให้กับอังกฤษ ดังนั้นอาจจจะส่งผลให้นายกฯ อังกฤษยุติการใช้ Huawei อย่างแน่นอน และ Bloomberg รายงานว่ารัฐบาลอังกฤษได้กล่าวในแถลงการณ์ว่ากำลังพิจารณาถึงผลกระทบจากการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ต่อ Huawei ที่อาจมีผลต่อเครือข่ายของอังกฤษ

6 กรกฎาคม Liu Xiaoming เอกอัครราชทูตจีนประจำกรุงลอนดอนได้ออกมาเตือนว่าการถอด Huawei ออกจากเครือข่าย 5G ของอังกฤษจะส่งข้อความที่แย่มากไปยังธุรกิจจีน และเครือข่ายธุรกิจในประเทศจีนต่างเฝ้่าดูว่าอังกฤษจัดการกับ Huawei อย่างไร

การตัดสินใจถอดอุปกรณ์ Huawei ของอังกฤษนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิดเพราะอาจส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งาน และธุรกิจของอังกฤษในประเทศจีนอาจจะถูกตอบโต้ได้เช่นกัน ก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าจะจบอย่างไร

ที่มา : reuters, cnbc, theverge และ independent

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส