ในยุคที่เศรษฐกิจถดถอย อัตราการว่างงานพุ่งสูงขึ้น และเทคโนโลยีเติบโตอย่างรวดเร็ว เราทุกคนถูกบังคับให้ต้องวิ่งตามอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะ “พอ” ซึ่งไม่เพียงแค่อวสานเด็กจบใหม่เท่านั้น แต่รวมถึงกลุ่มคนทำงานที่รู้สึกถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เพียงแค่เขาเหนื่อยล้าและหยุดวิ่ง
เมื่อโลกนี้ไม่หยุดกดดันให้เราเติบโต จนหัวใจเริ่มอ่อนล้า เทรนด์ Lie Flat ชีวิตที่ไร้ความทะเยอทะยานจึงเกิดขึ้น
เมื่อเหนื่อยวิ่งตาม การนอนราบจึงเป็นคำตอบ
ไม่แปลกที่ใครหลายคนจะรู้สึกเหมือนกำลังวิ่งอยู่ในลู่ที่ไม่เห็นเส้นชัย ราวกับหนูแฮมสเตอร์ที่วิ่งบนวงล้อจนกว่าจะเหนื่อย ก่อนที่จะตกลงมากองอยู่ที่พื้น เพียงแต่ชีวิตของมนุษย์ซับซ้อนกว่านั้น
ความเหนื่อยล้าที่สะสมจากการต้อง “แอ็กทิฟ” (Active) และ “โปรดักทิฟ” (Productive) ตลอดเวลานี้เอง ที่ทำให้ผู้คนเริ่มตั้งคำถามกับสมการความสำเร็จแบบเดิม ๆ จนเกิดเป็นเทรนด์ที่เรียกว่า Lie Flat ซึ่งไม่ใช่การยอมแพ้ แต่เป็นการนอนราบ เพื่อปฏิเสธการเติบโตที่ต้องแลกมาด้วยความเหนื่อยล้าจนหมดไฟ
หากขยายความคำว่า Lie Flat ให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือภาวะที่ผู้คนรู้สึกขาดความกระตือรือร้น ไม่อยากขวนขวายที่จะประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะกับเด็กเจน Z หรือกลุ่ม Millennials ที่เลือกจะไม่ดิ้นรนทะเยอะทะยาน และหันมาใช้ชีวิตเรียบง่ายเพียงแค่พออยู่รอดไปวัน ๆ คำตอบของพวกเขาจึงไม่ใช่วิ่งให้เร็วขึ้น แต่เป็นการนอนราบแทน
กระแสนี้เริ่มเป็นที่แพร่หลายในจีนตั้งแต่ปี 2021 โดยมีการโพสต์ภาพและข้อความที่สื่อถึงความตั้งใจจะ “นอนราบ” ไม่ดิ้นรนทำงานหนักเกินจำเป็น เพื่อรักษาคุณภาพชีวิตและความสุขส่วนตัว แม้จะถูกบางฝ่ายมองว่าเป็นความขี้เกียจหรือความสิ้นหวัง แต่สำหรับคนกลุ่มนี้คือการเลือกชีวิตอย่างมีสติ เพื่อหลีกเลี่ยงความเหนื่อยหน่ายและความเครียดอันเกิดจากระบบการแข่งขันที่เข้มงวดในสังคมจีน

ยิ่งพยายาม…ยิ่งว่างเปล่า
สำหรับยุคนี้ ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร หากได้ยินเด็กจบใหม่ หรือหลาย ๆ คน บ่นว่าหางานยาก เนื่องจากเศรษฐกิจที่ไม่ดี ค่าครองชีพสูงสวนทางกับรายได้ ทำให้การแข่งขันในตลาดนั้นสูงขึ้น จากวิกฤตนี้ทำให้หนุ่มสาววัยรุ่นที่พยายามต่อสู้เพื่อเข้าสู่ระบบการทำงานต้องเหนื่อยล้า และมองว่าผลลัพธ์ที่ทำมาไม่มีความหมาย “ยิ่งพยายาม ก็ยิ่งว่างเปล่า” จากที่นอนราบ ก็เข้าสู่การนอนเปื่อย หรือ Let It Rot
เมื่อกำแพงของปัญหาสูงเกินไป และความพยายามไม่ได้ให้คำตอบ การปล่อยให้ทุกอย่างเปื่อยยุ่ยไปเลย จึงกลายเป็นกลไกป้องกันตัวเองจากความผิดหวังที่อาจต้องเจอในอนาคต นี่ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่คือเสียงสะท้อนที่สังคมต้องหันมารับฟังอย่างจริงจัง
เทรนด์ Lie Flat ในจีน เสียงสะท้อนที่ดังก้องถึงรัฐบาล
เทรนด์ Lie Flat กลายเป็นเสียงสะท้อนที่ดังก้องไปถึงรัฐบาลจีน ซึ่งถูกสะท้อนกลับไปยังคนรุ่นใหม่ที่เหนื่อยล้ากับระบบการทำงานแบบเดิมว่าเป็นภัยคุกคามต่อประเทศ ด้วยเหตุนี้รัฐบาลจึงพยายามควบคุมการแสดงความคิดเห็นเชิงลบบนโลกออนไลน์ และส่งเสริมแคมเปญ ทำให้พื้นที่บนสื่อสดใส และลบโพสต์ที่นำเสนอเนื้อหาในเชิงลบ
แต่การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุก็ไม่อาจลบความจริงที่ว่า ต้นตอของปัญหามาจากแรงกดดันมหาศาลทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม ที่บีบคั้นคนรุ่นใหม่ ตั้งแต่การสอบเข้ามหาวิทยาลัยไปจนถึงการแข่งขันในตลาดแรงงาน รวมทั้งปัญหาด้านการเงินจากพิษเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันพวกเขาเหล่านั้นก็ต้องทำตามบรรทัดฐานของสังคมและขนบประเพณี
ปรากฏการณ์ Lie Flat นี้ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร และไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในจีนเท่านั้น แต่เป็นเสียงสะท้อนของคนรุ่นใหม่ทั่วโลกที่กำลังเผชิญกับแรงกดดันคล้ายกัน แค่ต่างกันไปในบริบทและวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ
แรงกดดันเดียวกันนี้เองที่ไม่ได้หยุดอยู่แค่เทรนด์การนอนราบ แต่ยังนำไปสู่ปรากฏการณ์ ลูกเต็มเวลา (Full-time Children) ที่คนหนุ่มสาวจำนวนมากล้มเลิกจากการต่อสู้ในตลาดแรงงาน แล้วเลือกกลับไปพึ่งพิงพ่อแม่ที่บ้านเกิด เพราะรู้สึกว่าการอยู่เฉย ๆ ยังดีกว่าการดิ้นรนอย่างสูญเปล่าในเมืองใหญ่
ในขณะเดียวกัน ก็มีคนอีกกลุ่มที่กำลังมองหา ทางเลือกที่สาม เช่น การย้ายออกจากเมืองใหญ่ไปใช้ชีวิตในเมืองเล็ก ๆ ที่ค่าครองชีพถูกกว่า การหันไปเป็นฟรีแลนซ์ หรือสร้างธุรกิจของตัวเอง เพื่อหนีจากระบบที่บีบคั้นและออกแบบชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ
หากมองอีกมุมหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเทรนด์การนอนราบ หรือการนอนเปื่อย อาจไม่ได้หมายถึงความล้มเหลว แต่เป็นสิ่งที่สะท้อนออกมาว่าความสำเร็จอาจไม่ได้จำกัดอยู่ที่การทุ่มเทให้กับการทำงานหนัก หรือการพิชิตเป้าหมายที่ใหญ่โต แต่คือการอนุญาตให้ตัวเองได้มี ”พื้นที่ปลอดภัย” ที่จะถอยห่างจากความกดดันและความคาดหวังของสังคม เพื่อกลับมาทบทวนและให้คุณค่ากับความสุขที่เรียบง่ายและความสงบทางใจ
อย่างไรก็ตาม เส้นทางในการใช้ชีวิตของคนบนโลกนี้ไม่มีผิดหรือถูก หากตั้งอยู่บนกฎหมายและการเคารพซึ่งกันและกัน ไม่ว่าคุณจะวิ่ง จะเดิน นอนราบ หรือนอนเปื่อย BT beartai ก็ขอให้สิ่งนั้นนำไปสู่ความสุขแท้จริง ที่อาจไม่ได้ตรงตามบรรทัดฐานความสุขกระแสหลักอย่างที่ยึดถือกันในทุกวันนี้