ในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขันและนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การคิดนอกกรอบได้กลายเป็นทักษะที่จำเป็น แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจวิธีการคิดที่สามารถทลายกำแพงความเชื่อเดิม ๆ และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ได้อย่างแท้จริง แนวคิด First Principle หรือ “การคิดจากหลักการพื้นฐาน” คือหนึ่งในเครื่องมือทางความคิดที่ทรงพลังที่สุด ซึ่งมีรากฐานยาวนานตั้งแต่สมัยกรีกโบราณและถูกปลุกให้มีชีวิตอีกครั้งโดยมหาเศรษฐีเทคที่กล้าและบ้าบิ่น อีลอน มัสก์ (Elon Musk)
บทความนี้จะพาไปสำรวจว่าแนวคิด First Principle คืออะไร มีหลักการอย่างไร ใครคือผู้ที่ใช้แนวคิดนี้ในประวัติศาสตร์ และวิเคราะห์การนำหลักการนี้มาใช้ของอีลอน มัสก์ ที่เป็นกุญแจสำคัญเบื้องหลังความสำเร็จของ SpaceX และ Tesla
มรดกทางความคิดจากอาริสโตเติล
แนวคิดนี้ที่ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในยุคดิจิทัล แต่มีรากฐานมาจากปรัชญากรีกโบราณ อาริสโตเติล (Aristotle) นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ได้นิยามหลักการแรก ไว้ว่าคือ “รากฐานแรกซึ่งสิ่งต่าง ๆ เป็นที่รู้จัก” (The First basis from which a thing is known) เขาสอนให้มนุษย์แสวงหาความรู้โดยการทำความเข้าใจถึงสาเหตุและหลักการแรกเริ่มของสรรพสิ่ง
นอกจากอาริสโตเติลแล้ว ยังมีนักคิดและนักวิทยาศาสตร์ในประวัติศาสตร์อีกหลายท่านที่ใช้แนวทางนี้เป็นเครื่องมือในการค้นพบครั้งสำคัญ:
- ยูคลิด (Euclid): บิดาแห่งเรขาคณิต ใช้หลักการของสัจพจน์ (Axioms) หรือความจริงพื้นฐานที่ไม่ต้องการการพิสูจน์ เพื่อสร้างทฤษฎีบททางเรขาคณิตมากมายที่เรายังคงใช้กันมาจนถึงทุกวันนี้
- เรอเน เดส์การต (René Descartes): นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส ใช้วิธีการตั้งข้อสงสัยกับทุกสิ่ง (Method of Doubt) เพื่อค้นหาความจริงพื้นฐานที่ไม่อาจสงสัยได้ ซึ่งนำไปสู่ประโยคอมตะที่ว่า “ฉันคิด ฉันจึงมีอยู่” (I think, therefore I am)
แนวคิดนี้คือการปฏิเสธที่จะยอมรับ ภูมิปัญญาหรือความเชื่อดั้งเดิม ที่ตีกรอบและทำให้เรามืดบอด โดยปราศจากการตรวจสอบ และมุ่งมั่นที่จะสร้างความเข้าใจขึ้นมาใหม่จากสิ่งพื้นฐานที่สุด
First Principle คืออะไร ?: ทลายปัญหาอันยิ่งใหญ่สู่สารตั้งต้น
First Principle Thinking คือกระบวนการคิดโดยการแยกย่อยปัญหาหรือสถานการณ์ที่ซับซ้อนออกเป็นส่วนประกอบพื้นฐานที่สุดที่ไม่สามารถแยกย่อยได้อีกต่อไป หรือที่เรียกว่า “ความจริงพื้นฐาน” (Fundamental Truths) จากนั้นจึงเริ่มสร้างแนวทางหรือคำตอบขึ้นมาใหม่จากรากฐานนั้น โดยไม่ยึดติดกับสมมติฐาน ความเชื่อ หรือวิธีการเดิม ๆ ที่คนส่วนใหญ่ทำตามกันมา ซึ่งเรียกว่า การคิดโดยเปรียบเทียบ (Reasoning by Analogy)
พูดง่าย ๆ คือ แทนที่จะมองว่า “เราจะทำสิ่งนี้ให้ดีขึ้นได้อย่างไร” First Principle จะตั้งคำถามว่าสิ่งนี้ประกอบด้วยอะไรบ้างที่จริงแท้แน่นอน และเราจะสร้างมันขึ้นมาใหม่จากศูนย์ได้อย่างไร
3 ขั้นตอนของ First Principle Thinking
การคิดแบบ First Principle เริ่มต้นได้ด้วยวิธีต่อไปนี้
- ระบุและตั้งคำถามต่อสมมติฐานปัจจุบัน: ค้นหาความเชื่อหรือข้อจำกัดที่ยึดถือกันมาในเรื่องนั้น ๆ แล้วตั้งคำถามว่า “ทำไมเราถึงเชื่อแบบนี้ ?” “สิ่งนี้เป็นความจริงที่พิสูจน์ได้ไหม ?”
- แยกย่อยปัญหาออกเป็นหลักการพื้นฐานที่สุด: มองให้ลึกและพิจารณาลงไปจนถึงองค์ประกอบที่เป็นความจริงทางวิทยาศาสตร์หรือทางกายภาพที่ไม่สามารถโต้แย้งได้
- สร้างคำตอบใหม่ขึ้นมาจากรากฐาน: เมื่อเราสามารถมองเห็นทุกองค์ประกอบและลบอคติจากความเชื่อเดิม ๆ แล้ว ให้เริ่มประกอบสร้างแนวทางแก้ปัญหาขึ้นมาใหม่จากความจริงพื้นฐานที่ค้นพบและถอดออกมา
อีลอน มัสก์: ปราชญ์แห่ง First Principle ในโลกสมัยใหม่
หากจะพูดถึงคนที่ทำให้ First Principle Thinking เป็นที่รู้จักในวงกว้างในโลกยุคใหม่ คงหนีไม่พ้น อีลอน มัสก์ CEO ของ SpaceX และ Tesla รวมถึง เจฟฟ์ เบโซส์ (Jeff Bezos) ผู้ก่อตั้ง Amazon ด้วย แต่คนที่ยึดหลักการ First Principle พูดถึงบ่อยที่สุดคือ อีลอน มัสก์ แม้ว่าภาพลักษณ์ภายนอกของเขาจะดูบ้าบิ่น ทะเยอทะยาน และมุทะลุ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาแสดงให้เห็นถึงพลังของแนวคิดนี้ผ่านการปฏิวัติอุตสาหกรรมจรวดอวกาศที่ขึ้นชื่อว่าซับซ้อนและมีต้นทุนมหาศาล ไม่นับรวมความสำเร็จระดับโลกครั้งแล้วครั้งเล่าที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น มาถอดประกอบแนวคิด First Principle ในธุรกิจของ อีลอน มัสก์ กัน
กรณีศึกษาที่ 1: SpaceX และการลดต้นทุนจรวด
ปัญหาเดิม: ในอดีต การเดินทางสู่อวกาศมีค่าใช้จ่ายสูงลิบลิ่ว จรวดจากบริษัทดั้งเดิมมีราคาปล่อยสูงถึง 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือมากกว่านั้น และถูกมองว่าเป็นเทคโนโลยีสำหรับภาครัฐเท่านั้น
การคิดโดยเปรียบเทียบ (Analogy): ถ้าจะสร้างจรวด ก็ต้องซื้อจรวดจากบริษัทที่มีอยู่แล้วในราคาตลาด
การคิดแบบ First Principle:ในอดีต การเดินทางสู่อวกาศมีค่าใช้จ่ายสูงลิบลิ่ว จรวดจากบริษัทดั้งเดิมมีราคาปล่อยสูงถึง 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือมากกว่านั้น และถูกมองว่าเป็นเทคโนโลยีสำหรับภาครัฐเท่านั้น
- ตั้งคำถามต่อสมมติฐาน: ทำไมจรวดถึงแพง ? เพราะมันถูกสร้างมาแบบนั้นเสมอมา หรือมีเหตุผลอื่นไหมที่ทำให้จรวดแพง ?
- แยกย่อยปัญหา: จรวดทำมาจากอะไร ? อีลอน มัสก์ ค้นพบว่ามันประกอบด้วยวัสดุพื้นฐานทางอุตสาหกรรม เช่น อะลูมิเนียม ไทเทเนียม คาร์บอนไฟเบอร์ และทองแดง
- สร้างขึ้นใหม่จากรากฐาน: มัสก์คำนวณต้นทุนของวัตถุดิบเหล่านี้จากตลาดซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ และพบว่า ต้นทุนค่าวัสดุจริง ๆ คิดเป็นเพียงประมาณ 2% ของราคาจรวดทั้งลำเท่านั้น ส่วนที่เหลือคือต้นทุนมหาศาลที่เกิดจากกระบวนการผลิตและการประกอบที่ไม่มีประสิทธิภาพของบริษัทเดิม ๆ
ผลลัพธ์: มัสก์จึงก่อตั้ง SpaceX ขึ้นมาเพื่อผลิตจรวดด้วยตัวเองจากวัตถุดิบพื้นฐาน สามารถลดต้นทุนการปล่อยจรวดลงได้ถึง 10 เท่า และยังสามารถนำจรวดกลับมาใช้ซ้ำได้อีก ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน
กรณีศึกษาที่ 2: Tesla และต้นทุนแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า
ปัญหาเดิม: แบตเตอรี่คือชิ้นส่วนของรถไฟฟ้าที่มีราคาสูงที่สุด ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้ามีราคาแพงกว่ารถยนต์สันดาป
การคิดโดยเปรียบเทียบ (Analogy): แบตเตอรี่มีราคาแพง และมันก็จะเป็นแบบนั้นต่อไป เพราะมันเป็นแบบนั้นมาตลอด
การคิดแบบ First Principle:
- ตั้งคำถามต่อสมมติฐาน: แบตเตอรี่ต้องแพงเสมอไปจริงหรือ ?
- แยกย่อยปัญหา: แบตเตอรี่ประกอบด้วยอะไรบ้าง ? เขาพบว่ามันประกอบด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น โคบอลต์, นิกเกิล, อะลูมิเนียม, คาร์บอน และโพลิเมอร์
- สร้างขึ้นใหม่จากรากฐาน: เขาวิเคราะห์ต้นทุนของแร่ธาตุเหล่านี้ในตลาดโลก และพบว่าหากจัดหาวัตถุดิบเหล่านี้มาประกอบเป็นเซลล์แบตเตอรี่เอง จะสามารถสร้างแบตเตอรี่ได้ในราคาที่ ถูกกว่า ที่ซื้อจากซัพพลายเออร์อย่างมหาศาล
ผลลัพธ์: Tesla ไม่เพียงแต่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า แต่ยังทุ่มเทให้กับการวิจัยและสร้างโรงงาน Gigafactory เพื่อผลิตแบตเตอรี่ของตัวเอง ซึ่งนำไปสู่การลดต้นทุนและทำให้รถยนต์ไฟฟ้าเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
First Principle Thinking คืออาวุธทางความคิดที่ทำให้อีลอน มัสก์ สามารถท้าทายและเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมที่หยุดนิ่งมานานได้สำเร็จ มันคือการมองทะลุผ่านความซับซ้อนผิวเผินไปสู่แก่นแท้ของปัญหา และใช้ความจริงพื้นฐานเหล่านั้นเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างอนาคตที่ไม่เคยมีใครจินตนาการถึงมาก่อน อย่างไรก็ตาม การต่อยอดแนวคิดทางธุรกิจเหล่านี้เพื่อที่จะลดต้นทุน เขาก็จำเป็นต้องอาศัยต้นทุนเดิมมหาศาลเพื่อลงทุนทำสิ่งเหล่านั้นอยู่ดี
แล้วเราจะใช้ The First Principle กับอะไรได้บ้าง ?
หลายคนอาจคิดว่า First Principle Thinking เป็นเครื่องมือสำหรับโปรเจกต์เปลี่ยนโลกเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว เราทุกคนสามารถนำหลักการนี้มาใช้ทลายกรอบความคิดและความเชื่อเดิม ๆ ที่อาจเป็นอุปสรรคในชีวิตประจำวันของเราได้เช่นกัน
อย่างการแก้ปัญหาเรื่องประชุมบ่อยและนานเกินไป เราลองมาถอดสมการ หาสารตั้งต้นของปัญหานี้กัน
ปัญหาและความเชื่อเดิม: มีปัญหาด่วนเกิดขึ้นในโปรเจกต์ ต้องเรียกทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้าประชุมทันที ! หรือ เราต้องมีประชุมทีมทุกสัปดาห์เพื่ออัปเดตงาน ความเชื่อนี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า การประชุม = การทำงานคืบหน้า
การคิดแบบ First Principle
- ตั้งคำถามต่อสมมติฐาน: การประชุมเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาหรืออัปเดตงานจริงไหม ? เวลาที่ทุกคนใช้ในการประชุมคุ้มค่ากับผลลัพธ์ที่ได้รึเปล่า ?
- แยกย่อยปัญหาหรือความต้องการ: การประชุมถูกจัดขึ้นเพื่อเป้าหมายพื้นฐานอะไรบ้าง ? เช่น เพื่อแจ้งข้อมูล เพื่อระดมสมอง หรือเพื่อตัดสินใจ เป็นต้น
- สร้างขึ้นใหม่จากรากฐาน: เมื่อรู้เป้าหมายพื้นฐานแล้ว เราจะใช้เครื่องมือที่ มีประสิทธิภาพที่สุด และ ใช้เวลาน้อยที่สุด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ
แทนที่จะใช้ “การประชุม” เป็นคำตอบสำหรับทุกอย่าง ให้เลือกเครื่องมือที่เหมาะสมกับเป้าหมาย อย่างถ้าต้องการแจ้งข้อมูล ใช้การส่งอีเมล หรืออัปเดตด้วยข้อความในไลน์แทน ถ้าจะระดมสมองอาจใช้เอกสารออนไลน์ให้ทุกคนเข้าไปเขียนไอเดียของตัวเองทิ้งไว้ล่วงหน้า จากนั้นค่อยนัดประชุมสั้น ๆ แค่ 15-20 นาทีเพื่อคัดเลือกและพัฒนาไอเดียที่ดีที่สุดเท่านั้น หรือหากต้องใช้การตัดสินใจ เขียนสรุปปัญหา, ทางเลือก, และข้อดีข้อเสียของแต่ละทางเลือก แล้วส่งให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจโดยตรง อาจนัดคุยตัวต่อตัวแค่ 10 นาทีเพื่อตอบคำถามเพิ่มเติม แทนที่จะเรียกทุกคนที่ไม่จำเป็นเข้าประชุม
First Principle สามารถนำไปปรับใช้กับเรื่องอื่น ๆ อย่างการเรียน การใช้ชีวิต และหลายเรื่องเพื่อหาทางออกแบบใหม่ ไม่จำเป็นต้องเป็นโปรเจกต์ใหญ่ระดับโลก แต่สิ่งที่สำคัญกว่าการหาและค้นพบวิธีแก้ปัญหา คือ การลงมือทำอย่างรอบครอบและจริงจังเพื่อบรรลุความต้องการ ซึ่ง อีลอน มัสก์ เป็นหนึ่งในคนที่ทำให้เราเห็นถึงวิธีการถอดประกอบปัญหาเพื่อสร้างสิ่งใหม่ จากแนวคิดนับพันปีได้อย่างชัดเจน