ข่าวเล็ก ๆ จากเมืองโทะโยอะเกะ (Toyoake) ในจังหวัดไอจิ ประเทศญี่ปุ่น ที่เสนอร่างเทศบัญญัติ (กฎหมายหรือข้อกำหนดที่ใช้ในพื้นที่) แนะนำให้ประชาชนจำกัดเวลาการใช้สมาร์ตโฟนเหลือเพียง 2 ชั่วโมงต่อวัน ไม่รวมกับการใช้เพื่อทำงานและเรียนหนังสือ กฎข้อนี้ หากอ่านดูเผิน ๆ อาจให้ความรู้สึกของพ่อแม่ที่ห้ามลูกเล่นมือถือ ซึ่งเป็นเรื่องที่พบได้ทั่วไปในปัจจุบัน แต่ถ้าเป็นในสเกลของเมือง ที่มีความหลากหลายทางการใช้ชีวิต และผู้ดูแลขอก้าวขาเข้ามาในบ้านโดยไม่ได้รับเชิญจะส่งผลอย่างไร

แม้เทศบัญญัตินี้จะไม่มีบทลงโทษ แต่ก็ได้จุดประเด็นคำถามถึงเส้นแบ่งระหว่าง “ความหวังดี” ของรัฐในการดูแลสุขภาวะของประชาชน กับ “การก้าวก่าย” สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล

BT beartai ในฐานะสื่อเทคโนโลยี เราไม่ได้มองเรื่องนี้เป็นเพียงกฎหมายท้องถิ่น แต่เป็นกรณีศึกษาที่สะท้อนภาพใหญ่ของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ เทคโนโลยี และสังคมได้อย่างลึกซึ้ง มาอ่านมุมมองของเรากัน

ห้ามใช้สมาร์ตโฟน ในวันที่มนุษย์เชื่อมกับเทคฯ เวิร์ก ?

ร่างเทศบัญญัตินี้ ทำให้เราเห็นว่ามนุษย์กำลังต่อสู้กับเทคโนโลยีที่ตนเองสร้างขึ้น โดยเฉพาะในยุคเศรษฐกิจแห่งความสนใจ (Attention Economy) ที่แอปพลิเคชัน โซเชียลมีเดีย และแพลตฟอร์มต่าง ๆ ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในเชิงการสื่อสาร แต่อาจถูกออกแบบมาเพื่อให้เราเสพติด พ่วงมาด้วยมิติของผลกระทบการตลาด การเงิน สุขภาพจิต และอีกมากมาย

อัลกอริทึมที่คอยป้อนเนื้อหาไม่รู้จบ การแจ้งเตือนที่กระตุ้นให้เราหยิบมือถือขึ้นมาดูทุก ๆ สองนาที ทั้งหมดนี้คือเครื่องมือที่ถูกสร้างขึ้นอย่างจงใจเพื่อดึงความสนใจและเวลาของเราไว้กับหน้าจอให้ได้นานที่สุด

ดังนั้น การจำกัดเวลาที่ปลายทางจึงอาจเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ตราบใดที่ยักษ์ใหญ่ทางเทคโนโลยีและผู้ผลิตสื่อออนไลน์ยังคงมีผลประโยชน์มหาศาลจากการทำให้เราติดหน้าจอ การควบคุมโดยผู้ใช้หรือแม้แต่กฎหมายที่ไม่มีบทลงโทษ ก็เป็นเพียงการต่อสู้ที่เสียเปรียบอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม วัฒนธรรมโซเชียลมีเดียและยุคดิจิทัลฝังรากลึกในผู้คนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นอกจากนี้ เทรนด์ของเทคโนโลยีต่อจากนี้จะยิ่งเบลอเส้นแบ่งระหว่างโลกจริงและโลกดิจิทัลมากขึ้น และแนวโน้มโลกปัจจุบันที่ทุกคนเหมือนจะต่อต้านการเสพติดเทคโนโลยี แต่ในความเป็นจริงเราทุกคนยอมรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ อยู่เสมอ ทั้งเพื่อความสะดวก และเทรนด์ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์สวมใส่ แว่นตา AR สมาร์ตวอตช์ แม้บางคนอาจไม่ได้มีความสนใจในเทคโนโลยี แต่ทุกอุตสาหกรรมล้วนใช้เทคโนโลยีในการขับเคลื่อน การรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ จึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตของผู้คนไปโดยปริยาย นั่นทำให้ปัญหาการเสพติดและการใช้งานเทคโนโลยีจะยิ่งซับซ้อนมากขึ้นไปอีก

กฎหมายหรือข้อบัญญัติลักษณะนี้จะกลายเป็นเพียงของตกยุค ซึ่งเราต้องหันไปผลักดันจริยธรรมในโลกเทคโนโลยี ที่ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตมนุษย์ แทนที่จะสูบเวลาและสมาธิของเราไป

รัฐหวังดี หรือ ก้าวก่าย ?

แม้จะเป็นเรื่องดีที่รัฐใส่ใจความปลอดภัยและสุขภาวะของประชาชน แต่คำถามคือ การใช้สมาร์ตโฟนเกินพอดีถือเป็น “ปัญหาสาธารณสุข” รูปแบบใหม่เทียบเท่ากับการสูบบุหรี่หรือโรคอ้วนแล้วรึเปล่า ? ซึ่งคาดว่าเมืองโทะโยอะเกะเชื่อว่าเป็นเช่นนั้น จึงได้ออกร่างเทศบัญญัตินี้มา

หากลงในดีเทลของเทศบัญญัตินี้ เราเห็นถึงช่องว่างระหว่างวัย (Generational Gap) ที่ซ่อนอยู่ใต้ความหวังดี การกำหนดเวลาห้ามเด็กใช้สมาร์ตโฟนหลัง 3 ทุ่ม หรือ 4 ทุ่ม คือความพยายามของคนรุ่นก่อน ซึ่งเป็นผู้ร่างกฎหมาย ที่จะปกป้องเด็กรุ่นใหม่ที่เกิดมาพร้อมเทคโนโลยี จากสิ่งที่ผู้ใหญ่เหล่านั้นไม่คุ้นเคยและมองว่าเป็นภัยคุกคาม ขณะที่คนรุ่นใหม่อาจมองว่าเทศบัญญัตินี้คือการจำกัดวิถีชีวิตและเครื่องมือในการเข้าสังคมของพวกเขา

ในขณะเดียวกัน เทศบัญญัตินี้อาจเป็นการส่งสารว่าคนบางส่วนในสังคมกำลังโหยหาพื้นที่ทางกายภาพที่หายไปจากการมาของยุคดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นวงสนทนาในครอบครัว หรือการปฏิสัมพันธ์ในชุมชน ซึ่งถูกแทนที่ด้วยการก้มหน้ามองจอของแต่ละคน

แม้จะไม่มีบทลงโทษ แต่เทศบัญญัตินี้ก็ไม่อาจหลีกหนีข้อครหาเรื่องการเป็นรัฐพี่เลี้ยง ที่เข้ามาจัดการชีวิตส่วนตัวของประชาชนมากเกินไปได้ สมาร์ตโฟนในปัจจุบันไม่ได้เป็นแค่อุปกรณ์สื่อสาร แต่มันคือเครื่องมือสู่ข้อมูลข่าวสาร การแสดงออกทางการเมือง การประกอบอาชีพ และการเชื่อมต่อกับโลกภายนอก การแนะนำให้จำกัดการใช้งาน จึงอาจถูกตีความได้ว่าเป็นการจำกัดสิทธิในการเข้าถึงสิ่งเหล่านี้โดยปริยาย

นิยามความเป็นมนุษย์ในยุคดิจิทัล

ลึกลงไปกว่าเรื่องเทคโนโลยีหรือกฎหมาย คือถึงความเป็นมนุษย์ เราใช้เทคโนโลยีเพื่อขยายขีดความสามารถและเชื่อมต่อกัน แต่เมื่อใดที่เครื่องมือชิ้นนั้นเริ่มควบคุมเราแทนที่เราจะควบคุมมัน ?

การที่เราติดสมาร์ตโฟนอย่างถอนตัวไม่ขึ้น อาจไม่ได้แปลว่าเราผิดปกติ แต่เพราะมันตอบสนองความต้องการพื้นฐานที่สุดของมนุษย์ นั่นคือ การเป็นที่ยอมรับ การเชื่อมต่อกับผู้อื่น และความปรารถนาที่จะรู้ กฎหมายนี้พยายามจัดการพฤติกรรม แต่ไม่ได้ตอบโจทย์ความต้องการทางจิตใจและสังคมที่อยู่เบื้องหลัง

ทางออกคงไม่ได้อยู่ที่การออกกฎหมายมาควบคุมเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การสร้างสมดุลใหม่ ผ่านการออกแบบเทคโนโลยีที่เคารพเวลา สมาธิ และสุขภาวะของผู้ใช้, การสร้างความรู้เท่าทันดิจิทัล (Digital Literacy) ให้กับประชากร และการเปิดบทสนทนาในสังคมอย่างจริงจังเพื่อตอบคำถามที่ว่า… เราต้องการสร้างโลกดิจิทัลแบบไหนให้กับตัวเองและคนรุ่นต่อไป ?