Dupe มาจากคำว่า Duplicate ที่แปลว่า ‘การลอกเลียนแบบ’ อธิบายง่าย ๆ มันก็คือวัฒนธรรมการใช้สินค้าเลียนแบบนั่นเอง อย่างวงการ Beauty Blogger ที่มักจะหาสินค้าราคาถูกกว่ามาเปรียบเทียบกับเครื่องสำอางเคาน์เตอร์แบรนด์ที่ราคาสูง แต่คุณภาพใกล้เคียงกัน
ลองนึกภาพง่าย ๆ ว่ามีลิปสติกสีแดงแบรนด์เนมหรือไฮเอนด์ในราคา 1,500 บาท แต่มีคนไปเจอลิปสติกอีกแท่งจากแบรนด์ทั่วไปที่สีใกล้เคียงกันมาก ๆ ในราคาแค่ 150 บาท ลิปสติกราคาถูกกว่านี่แหละที่เราเรียกมันว่า ‘Dupe’ ของลิปสติกไฮเอนด์

จุดเริ่มต้นของ Dupe Culture
ก่อนที่เราจะไปถึงที่มาของ Dupe ได้ เราต้องเข้าใจก่อนว่าแล้วทำไมถึงต้องใช้สินค้า Dupe ตั้งแต่แรก ? คำตอบแรกคือ เพราะสินค้าแบรนด์เนมราคาแรงนั่นเอง การใช้ของ Dupe ที่คุณภาพใกล้เคียงแต่ราคาถูกกว่า จึงเป็นทางเลือกที่หลายคนเลือกกัน
ก่อนที่ Dupe จะกลายเป็นกระแสฮิตติดเทรนด์แบบทุกวันนี้ คำนี้ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการ Beauty Blogger และ Beauty Creator บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น YouTube หรือ Instagram มานานแล้ว เหล่านักรีวิวจะทำคอนเทนต์ที่เรียกว่า ‘Dupe Finding’ หรือ ‘หา Dupe’ ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบเครื่องสำอางแบรนด์เนมราคาแพงกับเครื่องสำอางจากแบรนด์ Drugstore (ร้านขายยาทั่วไป) ที่มีราคาถูกกว่า แต่ให้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกัน เพื่อเป็นทางเลือกให้กับคนที่มีงบประมาณจำกัด
วัฒนธรรมนี้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว เพราะตอบโจทย์ผู้บริโภคที่อยากได้สินค้าคุณภาพดีและทันสมัยเหมือนกับดาราหรืออินฟลูเอนเซอร์ที่ตัวเองชื่นชอบ แต่ไม่สามารถจ่ายในราคาที่สูงลิ่วได้ Dupe จึงกลายเป็นเหมือน “ตัวช่วย” ที่ทำให้ทุกคนเข้าถึงเทรนด์และสไตล์ต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น ไม่จำกัดเฉพาะแค่เรื่องเครื่องสำอาง แต่ยังขยายไปถึงสินค้าแฟชั่นอื่น ๆ เช่น เสื้อผ้า กระเป๋า และรองเท้าอีกด้วย
เมื่อสินค้าแพง เงินไม่ถึง ก็ต้องพึ่ง Dupe ?
แล้วทำไมถึงไม่ใช้ของแบรนด์เนมไปเลยล่ะ ? เพราะสินค้าแบรนด์เนมหรือสินค้าไฮเอนด์ส่วนใหญ่ราคาสูงสินค้าแบรนด์เนมส่วนใหญ่มีราคาที่เข้าถึงยากสำหรับคนทั่วไป การได้ใช้สินค้าที่มีคุณภาพใกล้เคียงกันในราคาที่ถูกกว่ามากจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสุด ๆ ซึ่งปัจจัยนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันที่ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่ามากขึ้นด้วยเช่นกัน
นอกจากเรื่องราคาแล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้ Dupe Culture เติบโตอย่างก้าวกระโดดด้วย ไม่ว่าจะเป็น
- อิทธิพลของโซเชียลมีเดีย : TikTok เป็นแพลตฟอร์มสำคัญที่ทำให้ Dupe Culture ขยายวงกว้างไปทั่วโลก ผู้ใช้งานจำนวนมากแชร์คลิปวิดีโอสั้น ๆ ที่รีวิว Dupe จนกลายเป็นเทรนด์ไวรัล ทำให้คำว่า Dupe เป็นที่รู้จักในวงกว้าง
- ความสะดวกสบายในการซื้อ : สินค้า Dupe ส่วนใหญ่หาซื้อได้ง่ายตามร้านค้าทั่วไปหรือช่องทางออนไลน์ ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อได้ง่ายและรวดเร็ว
- ความอยากลอง : บางคนอาจซื้อ Dupe มาเพื่อลองใช้ก่อนตัดสินใจลงทุนกับของแท้ราคาแพงในอนาคต เป็นการทดลองการใช้งานก่อนซื้อของจริง
สินค้า Dupe VS สินค้าปลอม (ของก๊อบ) เหมือนกันไหม ?
สินค้า Dupe (Dupe Products) คือสินค้าที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากสินค้าแบรนด์เนม แต่ไม่ได้มีการละเมิดลิขสิทธิ์อย่างชัดเจน มักจะปรับเปลี่ยนดีไซน์หรือส่วนผสมบางอย่างเพื่อให้มีความแตกต่าง และมักจะใช้ชื่อแบรนด์ของตัวเองอย่างเปิดเผย
ส่วนสินค้าปลอม (Counterfeit Products) หรือของก๊อบอย่างที่เราเรียกกัน คือสินค้าที่ทำเลียนแบบของแท้ทุกอย่าง ตั้งแต่ชื่อแบรนด์ โลโก้ ไปจนถึงแพ็กเกจจิง โดยมีเจตนาที่จะหลอกให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดว่าเป็นของแท้ ซึ่งการกระทำนี้ถือว่าผิดกฎหมายในเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์อย่างชัดเจน
สรุปง่าย ๆ คือ Dupe เป็นเหมือน ‘ทางเลือก’ ที่มีคุณภาพใกล้เคียง แต่ไม่ได้หลอกว่าเป็นของแท้ ส่วนสินค้าปลอมคือการ ‘ฉ้อโกง’ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ทางการค้าโดยมิชอบ
The ‘Dupe’ controversial – ปัญหาสินค้า Dupe ใหญ่กว่าที่คิด
ประเด็นที่น่าสนใจ คือปัญหาที่ตามมาของสินค้าประเภท Dupe แน่นอนว่าในฐานะผู้บริโภค เราจะไม่ได้รู้สึกว่าสินค้าประเภทนี้สร้างความเสียหายอะไร เพราะมีแต่ได้กับได้เห็น ๆ ซึ่งนั่นแหละคือจุดที่ทำให้เกิด Controversy ได้หลายมิติทั้งต่อผู้ผลิต และระบบเศรษฐกิจโดยรวมด้วย
แม้ว่าเทรนด์สินค้า Dupe จะช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าที่คล้ายคลึงกับแบรนด์ดังในราคาที่ถูกลง แต่เบื้องหลังความนิยมนี้กลับเต็มไปด้วยปัญหาที่ซับซ้อนและส่งผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อผู้ผลิต ที่อาจต้องเผชิญกับการลดลงของรายได้และยอดขาย จนทำให้ขาดแรงจูงใจในการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ในขณะที่ผู้บริโภคเองก็ต้องแบกรับความเสี่ยงด้านคุณภาพและความปลอดภัยที่อาจไม่ได้มาตรฐาน ไปจนถึงการถูกหลอกขายในราคาที่สูงเกินจริง
นอกจากนี้ สินค้า Dupe ยังเป็นประเด็นที่ท้าทายกฎหมายและจรรยาบรรณทางธุรกิจ เพราะเป็นการสร้างความได้เปรียบให้กับผู้ผลิตที่ลอกเลียนแบบ โดยไม่ต้องลงทุนในกระบวนการวิจัยและพัฒนาสินค้า ทำให้การแข่งขันในตลาดขาดความยุติธรรม และอาจส่งผลต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาว
อย่างไรก็ตามหากมองระยะยาว การที่แบรนด์ Dupe จะไม่สามารถพึ่งพา ‘ราคาถูก’ ได้ตลอดไป เพราะหากต้องการเติบโตในระยะยาว แบรนด์เหล่านี้อาจจะต้องสร้างเรื่องราวของแบรนด์เพื่อพัฒนาสินค้าที่มีเอกลักษณ์ ซึ่งจะทำให้สามารถก้าวข้ามการเป็นแค่ ‘สินค้า Dupe’ และกลายเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งด้วยตัวเอง