ถ้าใครเป็นสาวก Apple หรือติดตามข่าวสารเทคโนโลยีล่ะก็ งาน WWDC 2025 ที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อคืน คงสร้างความฮือฮาและประหลาดใจให้กับหลายคนไม่น้อยเลยใช่ไหม งานปีนี้ Apple ไม่ได้มาแค่เปิดตัว iOS เวอร์ชันใหม่แบบธรรมดา ๆ แต่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เรียกว่า “ฉีกกฎ” เดิม ๆ ไปเลยทีเดียว ตั้งแต่การรวมชื่อระบบปฏิบัติการไปจนถึงฟีเจอร์ AI สุดล้ำ และ “Liquid Glass” ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก Vision Pro วันนี้เราจะมาเจาะลึกกันว่ามีอะไรเด็ด ๆ บ้างที่ Apple ขนมาโชว์ในงานนี้
“Liquid Glass” เมื่อความจริงกับโลกเสมือนผสานกันอย่างลงตัว
สิ่งแรกที่เรียกเสียงฮือฮาได้ทันทีในงาน WWDC 2025 ก็คือคอนเซปต์การออกแบบใหม่ที่ Apple เรียกว่า “Liquid Glass” ฟังดูอาจจะงง ๆ แต่ถ้าลองนึกภาพพื้นผิวของ Vision Pro ที่ดูราวกับเป็นแก้วโปร่งแสง แต่ในขณะเดียวกันก็มีความลื่นไหลและเชื่อมโยงกับโลกจริงได้อย่างไร้รอยต่อ นั่นแหละคือสิ่งที่ Apple ต้องการจะนำมาสู่ระบบปฏิบัติการและอินเทอร์เฟซผู้ใช้ในภาพรวม
แรงบันดาลใจจาก Vision Pro ทำให้ Apple พยายามจะลดทอนความรู้สึกของการมี “ขอบเขต” หรือ “กรอบสี่เหลี่ยม” ของแอปพลิเคชันต่าง ๆ ลง และทำให้ทุกอย่างดูเหมือนลอยอยู่บนพื้นผิวที่เป็น Liquid Glass โปร่งแสง และมีความลื่นไหลเมื่อเราสัมผัสหรือใช้งาน ใครที่เคยใช้ Vision Pro จะเข้าใจดีว่ามันให้ความรู้สึกที่เหนือจริงแต่จับต้องได้ยังไง Apple กำลังพยายามนำความรู้สึก “ดื่มด่ำ” แบบนั้นมาสู่ iPhone, iPad และ Mac ของเรานั่นเอง นี่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในด้านดีไซน์ที่เน้นความสวยงาม เรียบง่าย และผสานโลกดิจิทัลเข้ากับโลกจริงได้อย่างน่าทึ่ง
บอกลาเลขเวอร์ชันสับสน Apple รวมชื่อ OS เป็น “26” ทั้งหมด !
เอาล่ะ ! มาถึงเรื่องที่เซอร์ไพรส์แฟน ๆ ทั่วโลกมากที่สุดเลยก็คือ การเปลี่ยนแปลงระบบการตั้งชื่อเวอร์ชันของระบบปฏิบัติการทั้งหมด ! เครก เฟเดริกิ (Craig Federighi) รองประธานอาวุโสฝ่ายวิศวกรรมซอฟต์แวร์ของ Apple ได้ประกาศอย่างชัดเจนในงาน WWDC 2025 ว่าต่อไปนี้ ชื่อระบบปฏิบัติการของ Apple จะถูกรวมให้เป็น “26” ทั้งหมด เพื่อสะท้อนถึงปีส่วนใหญ่ที่การอัปเดตซอฟต์แวร์เหล่านี้จะพร้อมให้ลูกค้าใช้งาน

นั่นหมายความว่าเราจะไม่ได้เห็น iOS 19, iPadOS 19, watchOS 12 หรือ macOS 16 อีกต่อไป ! ต่อไปนี้เราจะมี
- iOS 26 สำหรับ iPhone
- watchOS 26 สำหรับ Apple Watch
- tvOS 26 สำหรับ Apple TV
- macOS 26 สำหรับ Mac
- visionOS 26 สำหรับ Vision Pro
- iPadOS 26 สำหรับ iPad
เป็นการรวมที่น่าจะช่วยให้ผู้ใช้งานไม่สับสนอีกต่อไป เพราะแต่ก่อนแต่ละ OS ก็มีเลขเวอร์ชันของตัวเองที่วิ่งไม่เท่ากัน บางคนก็งงว่าทำไม iOS เป็น 18 แล้ว แต่ watchOS ยังเป็น 11 อยู่เลย การเปลี่ยนแปลงนี้แสดงให้เห็นว่า Apple ต้องการจะสื่อสารความครบวงจรและเป็นหนึ่งเดียวกันของ Ecosystem ตัวเองมากยิ่งขึ้นไปอีก
macOS Tahoe

สำหรับคนรัก Mac ก็มีข่าวดี ! ระบบปฏิบัติการ macOS เวอร์ชันใหม่ได้รับชื่อเก๋ไก๋ว่า “Tahoe” ซึ่งแน่นอนว่าได้แรงบันดาลใจมาจาก Lake Tahoe แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับการเล่นสกีและกิจกรรมกลางแจ้งในแคลิฟอร์เนีย ซึ่งตามปกติ Apple ก็ชอบตั้งชื่อ macOS ตามสถานที่สวย ๆ ในแคลิฟอร์เนียอยู่แล้ว
macOS Tahoe นี้ได้ยกฟีเจอร์เด็ด ๆ จาก iOS มาปรับใช้บน Mac เพียบ แถมยังเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งการควบคุมต่าง ๆ ได้เยอะขึ้นด้วย อย่างแรกเลยคือ แถบเมนู (Menu Bar) ที่โปร่งใสขึ้น ทำให้หน้าจอของเราดูมีมิติและกลมกลืนกับวอลล์เปเปอร์มากขึ้น และที่น่ารักมาก ๆ คือเราสามารถเปลี่ยนสีโฟลเดอร์ และเพิ่มอีโมจิเข้าไปในโฟลเดอร์ได้ด้วย เป็นรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ช่วยเพิ่มความสนุกและความเป็นส่วนตัวในการใช้งานได้ดีเลย
นอกจากนี้ การใช้ Shortcuts (คำสั่งลัด) บน Mac ก็จะยิ่งทรงพลังขึ้นไปอีก เพราะสามารถดึงความสามารถของ Apple Intelligence (AI อัจฉริยะของ Apple) และ Spotlight มาช่วยในการทำงานต่าง ๆ ได้รวดเร็วขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเรียกใช้คำสั่งลัดที่ซับซ้อน หรือแม้แต่เปิดแอปฯ ต่าง ๆ จาก iPhone ของคุณได้เลย สะดวกสุด ๆ ไปเลยใช่ไหม ?
Vision Pro จัดเต็ม ! เกมเมอร์เฮ ลุยโลก AR ด้วยคอนโทรลเลอร์ PS VR2


ใครที่เฝ้ารอคอยฟีเจอร์ใหม่ ๆ สำหรับ Apple Vision Pro ก็ไม่ผิดหวัง ! ไมค์ ร็อกเวลล์ (Mike Rockwell) รองประธานกลุ่มผลิตภัณฑ์ Vision ของ Apple ได้ประกาศฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่จะช่วยยกระดับประสบการณ์การใช้งาน Vision Pro ทั้งด้านวิดีโอ เกม และการใช้งานในองค์กร
ข่าวดีสำหรับสายเกมเมอร์คือ เมื่ออัปเดต Vision Pro เป็น visionOS 26 แล้ว เราจะสามารถใช้คอนโทรลเลอร์ Sony VR2 Sense (คอนโทรลเลอร์ของ PlayStation VR2) ได้เลยทันที นี่ถือเป็นการเคลื่อนไหวที่ฉลาดมากของ Apple เพราะจะช่วยให้ Vision Pro สามารถแข่งขันกับ Meta Quest Headsets ของคู่แข่งได้ดีขึ้นมาก เนื่องจาก Quest ก็ใช้คอนโทรลเลอร์ในการเล่นเกมเป็นหลักนั่นเอง ตอนนี้ไม่ต้องง้อมือเปล่าแล้ว ได้อรรถรสในการเล่นเกม VR เต็ม ๆ แน่นอน
สำหรับสายดูวิดีโอ Apple ก็จับมือกับยักษ์ใหญ่วงการกล้องอย่าง Canon, GoPro และ Insta360 เพื่อให้ Vision Pro สามารถเล่นวิดีโอแบบ Wide Field-of-View และฟอร์แมตอื่น ๆ ได้อย่างลื่นไหลและคมชัดกว่าเดิม ใครที่ชอบถ่ายวิดีโอแบบ 360 องศา หรือวิดีโอที่ให้มุมมองกว้าง ๆ จะฟินกับประสบการณ์บน Vision Pro มากขึ้นแน่นอน
นอกจากนี้ นักพัฒนาภายนอกก็สามารถสร้างวัตถุ 3D บนเว็บไซต์ แล้วให้ผู้ใช้ Vision Pro สามารถ “ลาก” วัตถุเหล่านั้นเข้ามาในห้องของตัวเองเพื่อดูรายละเอียดใกล้ ๆ ได้เลย ฟีเจอร์นี้น่าจะเปิดประตูสู่โลกของการชอปปิงออนไลน์, การออกแบบ หรือแม้แต่การศึกษาในรูปแบบใหม่ ๆ ที่สมจริงยิ่งกว่าเดิม
ร็อกเวลล์ยังเปิดเผยว่าตอนนี้มีบริษัทหลายร้อยแห่งใช้งาน Vision Pro ในหลากหลายวัตถุประสงค์ ทั้งงานออกแบบ, การฝึกอบรม และการขาย Apple ต้องการผลักดันให้ Vision Pro เป็นอุปกรณ์ที่ใช้งานได้จริงในวงกว้างมากขึ้น โดยมีฟีเจอร์ที่รองรับผู้ใช้หลายคนในอุปกรณ์เดียวกัน ทำให้สามารถบันทึกข้อมูลตา, ข้อมูลมือ และการตั้งค่าอื่น ๆ ของแต่ละคนได้ และยังมี API ใหม่สำหรับนักพัฒนาให้สามารถเพิ่มโหมด “For Your Eyes Only” เพื่อป้องกันการเข้าถึงเอกสารโดยไม่ได้รับอนุญาตได้อีกด้วย
ที่น่าตื่นเต้นไม่แพ้กัน คือการจับมือกับ Logitech เพื่อเปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ชื่อ Logitech Muse ที่จะช่วยให้ผู้ใช้ Vision Pro สามารถวาดเส้นในอากาศได้เลย ! Logitech ระบุว่า Muse จะช่วยพลิกโฉมขั้นตอนการทำงานสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบโมเดล 3D ที่ซับซ้อน, การระดมสมองในพื้นที่เสมือนจริง หรือการทำให้แนวคิดที่ซับซ้อนเป็นรูปเป็นร่างด้วยเครื่องมือที่ดื่มด่ำ
และสุดท้าย Vision Pro จะไม่ได้เป็นแค่ประสบการณ์ส่วนตัวอีกต่อไปแล้ว เพราะตอนนี้ผู้ใช้หลายคนที่มี Vision Pro สามารถเล่นเกมหรือดูวิดีโอพร้อมกันได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเพื่อความบันเทิงส่วนตัวหรือเพื่อวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ ก็สามารถแบ่งปันประสบการณ์ Spatial Computing ด้วยกันได้แล้ว
Apple Music อัปเกรด ร้องได้ทุกภาษา และ AI เป็น DJ ส่วนตัว




สายฟังเพลงเตรียมเฮ ! Apple Music ได้รับการอัปเดตฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจมาก ๆ อย่างแรกคือ การแปลเนื้อเพลง (Lyrics Translation) ที่จะช่วยให้ผู้ใช้ทั่วโลกสามารถร้องเพลงได้แม้จะมีกำแพงภาษาเข้ามาขวางกั้น ใครอยากลองร้องเพลงเกาหลี ญี่ปุ่น หรือภาษาอื่น ๆ ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องความหมายอีกต่อไปแล้ว
อีกหนึ่งฟีเจอร์สุดเจ๋งคือ Automix ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่เหมือนมี AI มาเป็น DJ ส่วนตัว ให้กับเราเลย Automix จะใช้ AI เพื่อวิเคราะห์รสนิยมทางดนตรีของผู้ใช้ และมิกซ์เพลงต่าง ๆ เข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว ไม่มีสะดุด ทำให้ประสบการณ์การฟังเพลงราบรื่นและถูกใจเรามากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ เรายังสามารถ ปักหมุด (Pin) อัลบั้ม, เพลย์ลิสต์ และศิลปินคนโปรด ไว้ในคลังเพลงของเราได้ เพื่อให้เข้าถึงได้ง่ายและรวดเร็วขึ้นด้วย
Image Playground ผสานพลัง ChatGPT เนรมิตภาพโปรไฟล์สุดปัง !

ใครที่ชอบแต่งรูปหรือสร้างสรรค์ภาพสวย ๆ ต้องถูกใจสิ่งนี้ ! Apple ได้ยกระดับเครื่องมือ Image Playground ที่เคยประกาศไปเมื่อปีที่แล้วให้ฉลาดล้ำยิ่งขึ้นด้วยการ ผสานพลังจาก ChatGPT ของ OpenAI
ใน iOS 26 ผู้ใช้จะสามารถสั่งให้แอปฯ Image Playground เปลี่ยนสไตล์ของ Poster ผู้ติดต่อ (Contact Poster) ของเพื่อน ๆ ให้เป็นสไตล์ที่แตกต่างกันได้ตามต้องการ เพื่อให้ภาพเหล่านั้นปรากฏขึ้นเมื่อมีการโทรเข้าหรือในการแชตข้อความ คุณสามารถบรรยายสไตล์ที่คุณต้องการได้เลย แล้ว ChatGPT จะจัดการปรับแต่งภาพให้ตามที่คุณอธิบาย
แน่นอนว่า Apple ยังคงยึดมั่นในเรื่องความเป็นส่วนตัว ข้อมูลของคุณจะไม่มีทางถูกแชร์กับ OpenAI โดยไม่ได้รับอนุญาตจากลูกค้าอย่างเด็ดขาด นอกจากนี้นักพัฒนาภายนอกก็สามารถนำ API ของ Image Playground ที่ได้รับการอัปเกรดนี้ไปใช้ในแอปฯ ของตัวเองได้ด้วย
ความร่วมมือนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า Apple กำลังพึ่งพา OpenAI เพื่อยกระดับความสามารถของอุปกรณ์ตัวเองหลังจากที่เคยประกาศความร่วมมือเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งนำไปสู่การผสานรวม ChatGPT เข้ากับ Siri ด้วย
แต่ฟีเจอร์ Image Playground นี้ก็มีข้อจำกัดบางประการ จะใช้งานได้เฉพาะกับ iPhone รุ่นที่รองรับ Apple Intelligence เท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็น iPhone ที่ติดตั้ง iOS 26 เวอร์ชันล่าสุด และ Apple Intelligence ก็ยังไม่พร้อมใช้งานในทุกภาษาหรือทุกประเทศในตอนนี้
ยุคใหม่ของการสื่อสาร แปลภาษาสด ๆ ในทุกสายและทุกข้อความ

Apple ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการแปลภาษา หลังจากที่เคยเปิดตัวแอปฯ Translate บน iPhone เมื่อ 5 ปีที่แล้ว วันนี้ Apple ได้นำฟีเจอร์การแปลภาษาขึ้นไปอีกขั้นด้วยการเปิดตัว การแปลแบบเรียลไทม์ (Real-time Translation) ในการโทร, ข้อความ และ FaceTime !
เลสลี อิเคโมโตะ (Leslie Ikemoto) ผู้อำนวยการฝ่ายประสบการณ์อินพุตของ Apple ได้อธิบายในงาน WWDC 2025 ว่า เมื่อคุณคุยโทรศัพท์กับชาวต่างชาติใน iOS 26 ระบบจะพูดคำตอบกลับเป็นภาษาพื้นเมืองของอีกฝ่ายออกมาเลย พร้อมกับมีคำบรรยายใต้ภาพให้ดูด้วย และเมื่ออีกฝ่ายตอบกลับมา ระบบก็จะทำการแปลเสียงพูดนั้นอย่างรวดเร็วและแสดงคำบรรยายให้คุณเห็นเช่นกัน
สำหรับ FaceTime ก็จะแสดงคำบรรยายแบบสด ๆ ขณะที่ยังคงส่งผ่านเสียงจากภาษาต่างประเทศ และในการส่งข้อความ Messages ข้อความก็จะถูกแปลอยู่ด้านล่างเนื้อหาในภาษาของอีกฝ่ายทันที ทำให้การสื่อสารกับเพื่อนต่างชาติง่ายและสะดวกขึ้นมาก ๆ
ฟีเจอร์นี้เรียกได้ว่าเป็นการแข่งขันกับยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอื่น ๆ เช่น Meta ที่มีฟีเจอร์แปลข้อความใน Messenger และ WhatsApp หรือ Google Pixel ที่มี Live Translate สำหรับข้อความ เสียง และวิดีโอคอล
จุดเด่นของฟีเจอร์แปลภาษาสดใหม่ของ Apple คือ ขับเคลื่อนด้วยโมเดล AI ของ Apple เองที่ทำงานบนอุปกรณ์โดยตรง (on-device) ไม่ต้องเข้าถึง Data Center ระยะไกล ทำให้มั่นใจได้ถึงความเป็นส่วนตัวและความรวดเร็วในการประมวลผล
อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์นี้จะยังจำกัดอยู่ในกลุ่มภาษาที่ค่อนข้างเล็กในตอนแรก สำหรับการโทรในแอปฯ Phone และ FaceTime จะใช้งานได้เฉพาะการโทรแบบหนึ่งต่อหนึ่งในภาษาอังกฤษ (สหรัฐฯ, สหราชอาณาจักร), ฝรั่งเศส (ฝรั่งเศส), เยอรมัน, โปรตุเกส (บราซิล) และสเปน (สเปน) ส่วนฟีเจอร์การส่งข้อความจะรองรับภาษาอังกฤษ (สหรัฐฯ, สหราชอาณาจักร), ฝรั่งเศส (ฝรั่งเศส), เยอรมัน, อิตาลี, ญี่ปุ่น, เกาหลี, โปรตุเกส (บราซิล), สเปน (สเปน) และจีน
นักพัฒนาภายนอกก็จะสามารถนำ API ใหม่นี้ไปใช้เพื่อนำเทคโนโลยีการแปลภาษาสดของ Apple ไปปรับใช้ในแอปฯ ของตัวเองได้ด้วย
สรุป Apple ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่ชาญฉลาดและไร้รอยต่อ
โดยรวมแล้ว งาน WWDC 2025 ของ Apple ไม่ได้เป็นแค่การอัปเดตประจำปี แต่เป็นการประกาศถึงการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของ Apple อย่างแท้จริง การนำเสนอคอนเซปต์ “Liquid Glass” แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ด้านการออกแบบที่เน้นความลื่นไหลและผสานกับโลกจริง การรวมชื่อระบบปฏิบัติการทั้งหมดเป็น “26” ตอกย้ำความตั้งใจที่จะสร้าง Ecosystem ที่เป็นหนึ่งเดียวกันและใช้งานง่ายขึ้น
แต่ที่สำคัญที่สุดคือการลงทุนมหาศาลในด้าน AI และ Machine Learning ที่ถูกนำมาใช้ในทุก ๆ ส่วน ตั้งแต่การปรับปรุง Siri, Image Playground ไปจนถึงการแปลภาษาสด ๆ ในการสื่อสาร การที่ AI สามารถทำงานบนอุปกรณ์ได้เลยยังเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งที่ Apple ชูโรงเรื่องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ นอกจากนี้ การขยายขีดความสามารถของ Vision Pro และการปรับปรุงแอปฯ หลักต่าง ๆ ก็แสดงให้เห็นว่า Apple ยังคงเดินหน้าพัฒนาประสบการณ์ผู้ใช้ให้ก้าวล้ำไปอีกขั้น
จากงาน WWDC 2025 นี้ ทำให้เราเห็นภาพชัดเจนว่า Apple กำลังสร้างสรรค์โลกดิจิทัลที่ฉลาดกว่าเดิม, เป็นส่วนตัวมากขึ้น และเชื่อมโยงกันอย่างแนบเนียนในทุก ๆ อุปกรณ์ เตรียมตัวให้พร้อมรับประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่จะมาพลิกโฉมการใช้ชีวิตประจำวันของเราได้เลย