ทุก ๆ 11 ปี ดวงอาทิตย์ หรือดาวดวงที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะจะมีเหตุการณ์ที่เรียกว่า ‘Field flips’ เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับดวงอาทิตย์อย่างสม่ำเสมอ โดยหลักแล้วคือขั้วแม่เหล็กเหนือและใต้ของดวงอาทิตย์จะมีการสลับตำแหน่งกัน และนักวิทยาศาสตร์ก็เชื่อว่าการค้นพบภาพขั้วโลกใต้นี้จะสามารถอธิบายเหตุการณ์นี้ และยังคาดการณ์เหตุการณ์อื่น ๆ ในอนาคตได้
ในปี 2020 ภารกิจ Solar Orbiter มูลค่า 1,300 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ได้บันทึกภาพขั้วโลกใต้ของดวงอาทิตย์กลางเดือนมีนาคม ขณะโคจรทำมุม 15 องศาใต้เส้นศูนย์สูตร ถือเป็นการสังเกตการณ์มุมสูงครั้งแรกในขณะที่โลกมีขั้วเหนือและใต้ที่ชัดเจนเหมือนแม่เหล็กแท่ง แต่สนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์จะพลิกกลับทุก ๆ 11 ปี ปัจจุบันดวงอาทิตย์อยู่ในช่วงสูงสุดของวัฏจักรสุริยะ (Solar maximum) ซึ่งเป็นช่วงที่สนามแม่เหล็กกำลังก่อตัวเพื่อเตรียมพลิกขั้ว โดยขั้วใต้จะกลายเป็นขั้วแม่เหล็กเหนือ และเป็นช่วงที่จุดดับบนดวงอาทิตย์และเปลวสุริยะมีความเคลื่อนไหวมากที่สุด
ทำไมดวงอาทิตย์ถึงหมุนกลับ ?
สนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์พลิกขั้วได้ เพราะดวงอาทิตย์ไม่ได้หมุนเป็นก้อนเดียวเหมือนลูกบอลแข็ง ๆ บริเวณเส้นศูนย์สูตรของดวงอาทิตย์จะหมุนเร็วกว่า 26 วัน ส่วนบริเวณขั้วจะหมุนช้ากว่า 33 วัน เมื่อเส้นแม่เหล็กบิดจนทนไม่ไหว มันก็จะเกิดความไม่เสถียร ทำให้ขั้วเหนือและใต้ของสนามแม่เหล็กสลับตำแหน่งกันในที่สุด การหมุนที่ไม่เท่ากันนี้ทำให้เส้นสนามแม่เหล็กที่พาดผ่านดวงอาทิตย์ถูกยืดและบิดพันกันไปมานั่นเอง
สนามแม่เหล็กนี้จะช่วยกำหนดลักษณะและกิจกรรมทั้งหมดได้ โดยคาดว่าในอีก 5-6 ปีข้างหน้า ดวงอาทิตย์จะเข้าสู่ช่วงกิจกรรมต่ำสุด (Solar minimum) อย่างไรก็ตาม แบบจำลองปัจจุบันยังไม่สามารถคาดการณ์ความรุนแรงของวัฏจักรสุริยะ 11 ปีได้อย่างแม่นยำ ส่วนภารกิจ Solar Orbiter จะยังคงโคจรและเพิ่มมุมเอียงในการสำรวจต่อไป