GPT-5 เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว หลังจากที่ ChatGPT เปลี่ยนวิธีที่ผู้คนใช้งาน AI ไปตลอดกาลเมื่อ 32 เดือนก่อน จากวันแรกที่มีผู้ใช้ 1 ล้านคนในสัปดาห์เดียว จนวันนี้มีผู้ใช้งานกว่า 700 ล้านคนทุกสัปดาห์ คำถามสำคัญก็คือ GPT-5 เป็นแค่การอัปเกรดธรรมดา ๆ หรือเป็นการก้าวกระโดดที่จะเปลี่ยนโลกอีกครั้ง ? เรามาวิเคราะห์ไปพร้อมกันครับ

จาก “นักเรียน” สู่ “ด็อกเตอร์”

สิ่งแรกที่ แซม อัลต์แมน (Sam Altman) CEO ของ OpenAI ย้ำคือความแตกต่างของ GPT-5 เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าครับ เขาเปรียบเทียบได้น่าสนใจและเห็นภาพมาก ๆ ครับ

  • GPT-3 เหมือนการคุยกับ “นักเรียนมัธยมปลาย” ที่มีความฉลาดเป็นครั้งคราว แต่ก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง
  • GPT-4 เหมือนได้คุยกับ “นักศึกษามหาวิทยาลัย” ที่มีความฉลาดและประโยชน์ใช้สอยอย่างแท้จริง
  • GPT-5 ก้าวกระโดดไปสู่การเป็น “ผู้เชี่ยวชาญระดับ PhD. หรือด็อกเตอร์” ที่คุณสามารถปรึกษาได้ทุกเรื่องตามต้องการ

นี่ไม่ใช่แค่การเปรียบเปรยนะครับ แต่มันสะท้อนถึงความสามารถที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ลองนึกภาพว่าเรามีทีมผู้เชี่ยวชาญระดับด็อกเตอร์อยู่ในกระเป๋า ที่พร้อมจะช่วยงานเราทุกอย่าง มันคือพลังพิเศษที่ในอดีตเราไม่เคยจินตนาการถึงด้วยซ้ำ

หัวใจสำคัญ : “Reasoning” ที่คิดก่อนตอบ

แล้วอะไรที่ทำให้ GPT-5 ฉลาดขึ้นขนาดนั้น ? คำตอบอยู่ที่สิ่งที่ OpenAI เรียกว่า “Reasoning Paradigm” หรือกระบวนการให้เหตุผลครับ โดยผู้บริหารฝ่ายวิจัยอธิบายว่า โมเดลรุ่นก่อนหน้าบังคับให้ผู้ใช้ต้องเลือกระหว่างคำตอบที่ “เร็วแต่ธรรมดา” กับคำตอบที่ “ฉลาดแต่ช้า” แต่ GPT-5 ได้ทลายกำแพงนั้นลง มันถูกออกแบบมาให้ “หยุดคิด” ในเวลาที่เหมาะสมที่สุด เพื่อให้ได้คำตอบที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับคำถามนั้น ๆ แบบอัตโนมัติ

สิ่งนี้ทำให้ GPT-5 มีความสามารถในการให้เหตุผลเชิงลึกในศาสตร์ที่ซับซ้อน เช่น คณิตศาสตร์, ฟิสิกส์ หรือแม้กระทั่งกฎหมายได้ในระดับผู้เชี่ยวชาญ

ไม่ใช่แค่ “พูด” แต่ “ลงมือทำ” ได้จริง

จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดของ GPT-5 อาจไม่ใช่แค่ความฉลาดในการตอบคำถาม แต่เป็นความสามารถในการ “ลงมือทำ” (Do stuff for you) ในงานเปิดตัวเราได้เห็นการสาธิตที่น่าทึ่งหลายอย่างที่แสดงให้เห็นถึงแนวคิด “Software on Demand” หรือการสร้างซอฟต์แวร์ตามสั่งได้ทันที

  • สร้างแอปฯ เรียนภาษาฝรั่งเศส : หนึ่งในการสาธิตที่น่าประทับใจคือการสั่งให้ GPT-5 สร้างเว็บแอปฯ สำหรับเรียนภาษาฝรั่งเศส โดยมีฟีเจอร์ครบครันทั้งแฟลชการ์ด, แบบทดสอบ, การติดตามความคืบหน้า และที่เหนือชั้นคือมีมินิเกมที่ดัดแปลงจากเกมงู ให้กลายเป็นหนูไล่กินชีส ซึ่งทุกครั้งที่กินชีส จะมีการออกเสียงคำศัพท์ภาษาฝรั่งเศสใหม่ ๆ ออกมา ทั้งหมดนี้สร้างเสร็จจากโคดหลายร้อยบรรทัดในเวลาเพียงไม่กี่นาที
  • สร้างแดชบอร์ด (Dashboard) สำหรับ CFO : อีกตัวอย่างคือการสร้างแดชบอร์ดทางการเงินสำหรับผู้บริหารระดับสูง (CFO) จากข้อมูลดิบ GPT-5 สามารถสร้างหน้าแดชบอร์ดที่สวยงาม มีการจัดลำดับชั้นของข้อมูลชัดเจน และมี Interactive กราฟที่สามารถใช้งานได้จริง
  • สร้างเกม 3 มิติ : หรือแม้กระทั่งการสร้างเกม 3 มิติเล็ก ๆ เป็นฉากปราสาทที่มีทหารเดินตรวจตรา, มีปืนใหญ่ให้ยิง และมีมินิเกมยิงบอลลูน

ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า GPT-5 ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือสำหรับนักพัฒนาอีกต่อไป แต่เป็นเครื่องมือสำหรับทุกคนที่อยากจะสร้างสรรค์ไอเดียให้เป็นจริงได้โดยไม่จำเป็นต้องเขียนโคดเป็นเลย

ความก้าวหน้าในด้านอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

นอกเหนือจากความสามารถในการเขียนโคดแล้ว GPT-5 ยังมีการปรับปรุงในด้านอื่น ๆ อีกมากครับ

  • การเขียนที่ดีขึ้น : มีการเปรียบเทียบการเขียนบทไว้อาลัยให้โมเดลรุ่นเก่าระหว่าง GPT-4o และ GPT-5 ซึ่งผลลัพธ์จาก GPT-5 มีจังหวะและความลึกซึ้งทางอารมณ์ที่เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังคุยกับเพื่อนที่มีทั้ง IQ และ EQ สูง
  • ลดปัญหาข้อมูลมั่ว (Hallucination) : OpenAI ให้ความสำคัญกับการปรับปรุงความแม่นยำของข้อมูลเป็นอย่างมาก ทำให้ GPT-5 เป็นโมเดลที่น่าเชื่อถือและมีข้อผิดพลาดทางข้อเท็จจริงน้อยที่สุดเท่าที่เคยมีมา
  • ความปลอดภัยที่ฉลาดขึ้น : GPT-5 นำเสนอแนวทางใหม่ที่เรียกว่า “Safe Completions” แทนที่จะปฏิเสธคำสั่งที่สุ่มเสี่ยงไปเลย โมเดลจะพยายามให้คำตอบที่เป็นประโยชน์สูงสุดภายใต้กรอบความปลอดภัย เช่น การให้ข้อมูลภาพรวม, แนะนำแนวทางที่ปลอดภัย หรืออธิบายเหตุผลที่ไม่สามารถให้ข้อมูลโดยตรงได้
  • การเชื่อมต่อกับชีวิตจริง : อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าตื่นเต้น (ซึ่งจะเริ่มเปิดให้ใช้กับผู้ใช้ Pro) คือการอนุญาตให้ ChatGPT เข้าถึง Gmail และ Google Calendar ของเราได้ ทำให้มันสามารถช่วยวางแผนตารางเวลาในแต่ละวัน, ค้นหาอีเมลที่ยังไม่ได้ตอบ หรือแม้กระทั่งเตรียมรายการของที่ต้องจัดกระเป๋าเดินทางได้โดยอัตโนมัติ
  • การใช้งานด้านสุขภาพ : GPT-5 ถูกพัฒนาให้เป็นโมเดลที่ดีที่สุดสำหรับเคสการใช้งานด้านสุขภาพ โดยในงานได้มีการเชิญผู้ใช้งานจริงที่ใช้ ChatGPT ช่วยทำความเข้าใจผลตรวจมะเร็งที่เต็มไปด้วยศัพท์เทคนิค และช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตัดสินใจเลือกแนวทางการรักษาที่ซับซ้อน ซึ่ง GPT-5 สามารถทำหน้าที่เป็นคู่คิดที่เชื่อมโยงข้อมูลและมองเห็นภาพรวมได้ดียิ่งขึ้นไปอีก

ใครจะได้ใช้ และราคาเท่าไหร่ ?

ข่าวดีที่สุดคือ ผู้ใช้งานฟรีจะได้ใช้ GPT-5 เป็นครั้งแรก โดยจะเริ่มทยอยเปิดให้ใช้งานตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปสำหรับผู้ใช้ทั่วไป (Free, Plus, Pro, Team)

  • ผู้ใช้ฟรี : จะได้เริ่มต้นด้วย GPT-5 และเมื่อใช้งานถึงขีดจำกัด จะถูกสลับไปใช้ GPT-5 Mini ซึ่งเป็นโมเดลที่เล็กกว่าแต่ยังคงความสามารถสูง
  • ผู้ใช้ Plus : จะได้โควตาการใช้งานที่สูงกว่าผู้ใช้ฟรี
  • ผู้ใช้ Pro : จะได้ใช้งาน GPT-5 แบบไม่จำกัด

สำหรับนักพัฒนาที่ใช้งานผ่าน API จะมีโมเดลให้เลือก 3 ตัวคือ GPT-5, GPT-5 Mini และ GPT-5 Nano โดยมีราคาดังนี้

  • GPT-5 : ราคา 1.25 เหรียญสหรัฐฯ (Input) และ 10.00 เหรียญสหรัฐฯ (Output) ต่อ 1 ล้านโทเคน
  • GPT-5 mini : ราคา 0.25 เหรียญสหรัฐฯ (Input) และ 2.00 เหรียญสหรัฐฯ (Output) ต่อ 1 ล้านโทเคน
  • GPT-5 nano : ราคา 0.05 เหรียญสหรัฐฯ (Input) และ 0.40 เหรียญสหรัฐฯ (Output) ต่อ 1 ล้านโทเคน

บทสรุปและคำถามที่ต้องจับตา

การมาถึงของ GPT-5 ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของวงการ AI อย่างไม่ต้องสงสัยครับ มันได้เปลี่ยนนิยามของ “แชตบอต” ไปอย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่เป็นเพียง “ผู้ให้ข้อมูล” กลายเป็น “ผู้ลงมือทำ” และ “ผู้เชี่ยวชาญส่วนตัว”

คำถามที่น่าคิดต่อจากนี้คือ เมื่อเครื่องมือที่ทรงพลังขนาดนี้อยู่ในมือของคนทั่วไป เราจะเห็นการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ เกิดขึ้นอีกมากน้อยแค่ไหน การเข้าถึงความรู้ระดับผู้เชี่ยวชาญจะเปลี่ยนโฉมหน้าการศึกษาและการทำงานไปอย่างไร และแน่นอนว่า OpenAI จะสร้างสมดุลระหว่างความสามารถที่เพิ่มขึ้นกับความปลอดภัยที่รัดกุมต่อไปได้อย่างไร ?

นี่คือสิ่งที่น่าตื่นเต้นและต้องจับตาดูกันต่อไปอย่างใกล้ชิดครับ แล้วเราจะนำความคืบหน้ามารายงานให้ทราบกันอีกครั้งที่ BT แห่งนี้แน่นอนครับ