รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เข้าซื้อหุ้น Intel ผู้ผลิตไมโครชิปยักษ์ใหญ่ ในสัดส่วนประมาณ 10% มีมูลค่าการซื้อหุ้นอยู่ที่ประมาณ 8.9 พันล้านเหรียญของบริษัท ภายใต้ข้อตกลงของกฎหมาย CHIPS Act และโครงการ Secure Enclave ทำให้กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด

เพื่อสนับสนุนการผลิตและขยายโรงงานผลิตชิปในสหรัฐอเมริกา โดยการเข้ามาถือหุ้นของรัฐบาลเป็นการแทรกแซงที่สำคัญในภาคธุรกิจเอกชนของสหรัฐฯ และเป็นดีลที่เกิดขึ้นภายใต้การเจรจาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการช่วย Intel ให้มีเงินทุนใช้ในการพัฒนาและแข่งขันในตลาดชิปโลก.

โดยทั่วไปในระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมของสหรัฐฯ รัฐบาลจะปล่อยให้กลไกตลาดเป็นผู้ตัดสินผู้ชนะและผู้แพ้ แต่ในยามวิกฤตหรือสงคราม รัฐบาลก็อาจเข้าแทรกแซงเพื่อรักษาเสถียรภาพ เช่น การเข้าควบคุมกิจการรถไฟและโทรเลขในช่วงสงครามโลก หรือการเข้าอุ้มบริษัทที่ใหญ่เกินกว่าจะล้ม อย่าง AIG, Chrysler และ General Motors ในช่วงวิกฤตการเงินปี 2007-2009

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจของรัฐบาลทรัมป์ในการเข้าซื้อหุ้นในสัดส่วนประมาณ 10% ของ Intel ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2025 ถือเป็นเรื่องที่ผิดปกติอย่างยิ่ง เพราะไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ

แต่มีเหตุผลมาจากความต้องการที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตไมโครชิปขั้นสูงภายในประเทศ เพื่อรับมือกับการแข่งขันที่ดุเดือดกับจีนในสมรภูมิปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในห่วงโซ่อุปทาน

ฝั่งผู้เชี่ยวชาญมองว่า เหตุผลหลักที่รัฐบาลต้องเข้ามาอุ้ม Intel เนื่องจากบริษัทคู่แข่งในเอเชียอย่าง TSMC ของไต้หวัน และ Samsung ของเกาหลีใต้ ได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาดการผลิตชิปขั้นสูงไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคของสมาร์ทโฟนและ AI ซึ่ง Intel ไม่สามารถตามทันได้ แม้จะพยายามอย่างหนัก

แต่ถึงอย่างนั้น เจคอบ เฟลด์กอยส์ (Jacob Feldgoise) นักวิเคราะห์จาก Georgetown University Center for Security and Emerging Technology กล่าวว่า Intel ยังคงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเพียงหนึ่งเดียวที่สหรัฐฯ มีสำหรับความพยายามที่จะทวงคืนตำแหน่งผู้นำในอุตสาหกรรมการผลิตชิปขั้นสูง

เพราะบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอื่น ๆ อย่าง Nvidia และ AMD ซึ่งเป็นผู้ออกแบบชิปสำหรับ AI ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด กลับไม่ได้มีโรงงานผลิตเป็นของตัวเอง แต่พึ่งพา TSMC ในการผลิตแทน