หนึ่งในมาตรฐานอาหารที่สูงและผ่านยากที่สุดในโลกคือ NASA-STD-3001 เพราะสิ่งที่ส่งขึ้นไปให้นักบินอวกาศกิน “จะต้องปลอดภัยที่สุด” ซึ่งมีข้อกำหนดมากมาย ทำให้โครงการ “ไก่ไทยไปอวกาศ” กว่าจะทำสำเร็จ ต้องใช้เวลากว่า 3 ปี และมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งถูกบอกเล่าผ่าน 4 บุคคล 4 มุมมอง ที่อยู่ในโครงการนี้ตั้งแต่ คุณประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร CPF, ดร. ไพรัตน์ ศรีชนะ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สำนักวิชาการอาหารสัตว์ CPF, คุณหนุ่ย พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ จาก BT beartai, คุณเติ้ล ณัฐนนท์ ดวงสูงเนิน จาก Spaceth.co

วินาทีที่ไก่ไทยทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า รู้สึกอย่างไร ?

คุณประสิทธิ์ ในฐานะที่เป็นหัวเรือของภารกิจนี้ เล่าว่ารู้สึกหายเหนื่อยและคุ้มค่ากับความทุ่มเทตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ความเข้มงวดในกฎระเบียบของ NASA ทำให้ภารกิจนี้ถูกเลื่อนหลายครั้ง หากเป็นภารกิจที่มีแค่สัมภาระ (Payload) ก็คงจะง่ายกว่านี้ แต่ภารกิจ Axiom Mission 4 มีนักบินอวกาศเดินทางไป พร้อมกับ “ไก่ไทย” หรือเมนูอกไก่กะเพราจาก CPF จะมีความระมัดระวังและตรวจสอบอย่างละเอียดมาก ไม่สามารถผิดพลาดได้ หากมีความเสี่ยงก็จะเลื่อนทันที ทำให้มีการเลื่อนไปถึง 8 ครั้ง และมาสำเร็จในครั้งที่ 9

คุณหนุ่ยเล่าเสริมในมุมของนักสื่อสารด้านเทคโนโลยีว่า ค่าส่งสัมภาระขึ้นไปอวกาศ “แพงมาก” แต่ปัจจุบันราคาถูกลงเพราะมี “อวกาศยานเชิงพาณิชย์” เช่น SpaceX และ Blue Origin ที่นำจรวดกลับมาใช้ใหม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ “ไม่สามารถผิดพลาดได้” เพราะนี่เปรียบเสมือนนักบินอวกาศกำลังขี่ระเบิดเพื่อขึ้นไปบนอวกาศ จึงเกิดความผิดพลาดไม่ได้ แม้สงสัยว่ามีความเสี่ยงเพียง 0.1% ก็จะเลื่อนภารกิจทันที ตามคำขวัญของ NASA ที่ว่าไว้ใน Kennedy Space Center ว่า “Failure is not an option” (ความล้มเหลวไม่ใช่ทางเลือก)

นอกจากนี้คุณหนุ่ยยังเล่าความประทับใจตอนเจอ ไมค์ มาสสิมิโน (Mike Massimino) ในวันประกาศโปรเจกต์ว่า วิวในอวกาศหากมองไปทางอื่นจะเจอแค่สีขาวกับดำ แต่หันกลับมาที่โลกจะรู้สึกว่า เรากำลังอาศัยอยู่ในพาราไดซ์ เราเป็นดาวเคราะห์สีน้ำเงิน (Blue Planet) ที่สวยงามที่สุดในจักรวาล

ดร. ไพรัตน์ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังโปรเจกต์สำหรับดูแลเรื่องมาตรฐานแชร์ให้ฟังว่า รู้สึกภาคภูมิใจ โดยเฉพาะกับคำว่า “ไก่ไทย” และกล่าวว่านี่คือ DNA ของ CPF ที่ต้องทำ “Beyond Standard” (เหนือกว่ามาตรฐาน) มาโดยตลอด ตั้งแต่ที่เจียไต๋พิมพ์วันหมดอายุบนข้าวเมื่อ 100 ปีก่อน ซึ่งการส่งออกไก่ไปต่างประเทศ CP ทำได้อยู่แล้ว เพราะผ่านมาตรฐานทั่วโลก เหลือแค่มาตรฐานอวกาศที่ต้องทำให้ได้และก็ทำเสร็จ

ส่วนคุณเติ้ล ในฐานะนักสื่อสารวิทยาศาสตร์และอวกาศเล่าให้ฟังว่า ณ วันที่ประกาศโครงการ แม้จะไม่ได้อยู่ในงานตั้งแต่เริ่ม แต่ก็คิดว่าจะเป็นอย่างไร ถ้าวันที่ปล่อยจรวดแล้วเราไปอยู่ตรงนั้น ผ่านไปสามปีก็ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจ และรู้สึกดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งที่ได้บันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ และประกาศความสำเร็จให้คนทั่วประเทศ รวมถึงทำให้ทั่วโลกรับรู้

ถอดรหัส “ไก่ไทยสู่อวกาศ” ด้วยแนวคิด Beyond Standard

ดร. ไพรัตน์ เล่าให้ฟังว่า ความสำเร็จครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นข้ามคืน แต่เกิดจาก DNA ขององค์กรที่ “คิดก่อน ทำก่อน” และมุ่งมั่นที่จะไปให้ “Beyond Standard” (เหนือกว่ามาตรฐาน) มาโดยตลอด ทีมงานได้นำนวัตกรรมระดับเดียวกับการแพทย์ของมนุษย์มาใช้กับไก่ โดยเริ่มตั้งแต่การ “ถอดรหัสพันธุกรรม” (DNA) ของเชื้อจุลินทรีย์ในตัวไก่ เพื่อคัดเลือก “โพรไบโอติกส์” (Probiotics) ที่ดีที่สุดและเหมาะสมที่สุดสำหรับไก่ไทยโดยเฉพาะ

นอกจากนี้ ไก่ทุกตัวยังได้รับการเลี้ยงดูด้วยสูตรอาหารที่แตกต่างกันถึง 4 สูตรตามช่วงวัย อุดมไปด้วยวิตามินถึง 17 ชนิด (ซึ่งหลายชนิดเป็น Bio-based) เพื่อให้ไก่มีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์จากภายในโดยไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ ทำให้ได้เนื้อไก่ที่ปลอดภัย สะอาด และมีคุณภาพสูงสุด และยังช่วยลดของเสีย

คุณเติ้ล เล่าเสริมว่า NASA หรือว่าการทำงานอวกาศต้องมีความปลอดภัยสูงมาก หากเกิดความผิดพลาด อาจส่งผลถึงขั้นเสียชีวิต เลยต้องมีมาตรฐาน NASA-STD-3001 ที่จะช่วยให้มั่นใจได้ว่า นักบินอวกาศจะต้องปลอดภัยตั้งแต่อากาศที่หายใจ น้ำที่ดื่ม ไปจนถึงอาหารที่กิน ภารกิจส่งไก่ไทยไปอวกาศจึงเปรียบเสมือน “Legacy” หรือมรดกตกทอดให้คนรุ่นหลัง

ส่วนคุณหนุ่ยเล่าเสริมว่า ได้ไปดูมาตรฐานไก่ไทยที่ส่งไปอวกาศ ตั้งแต่โรงเลี้ยงไก่ที่มีไก่ประมาณ 80,000 ตัว แต่กลับมีกลิ่นรบกวนค่อนข้างน้อย และเล่าต่อว่าไก่ที่ส่งไปอวกาศ กับไก่ที่เรากินนิ่มเหมือนกัน รสชาติเหมือนกัน โดยสาเหตุที่อกไก่นิ่ม เข้าเนื้อ เพราะเอาไก่ 1,300 กิโลกรัม ไปหมักกับเครื่องเทศ 1,600 กิโลกรัม ในถังสุญญากาศ ทำให้วัตถุดิบซึมเข้าเนื้อ อีกทั้งภารกิจนี้ยัง “เปิดประตู” ให้กับประเทศไทยในเวทีอวกาศโลก เห็นได้จากการที่เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นสนใจที่จะร่วมมือกับไทย

คุณประสิทธิ์ เล่าให้ฟังว่า การจะส่งไก่ไปได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากพาร์ตเนอร์ หรือ GISTDA 4 หน่วยงาน ที่ช่วยประสานจนสำเร็จ และก็ได้พิสูจน์ว่าคนไทยทำได้ สร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นต่อไป “ถ้าคนอื่นเห็นว่าเราทำได้ เขาก็ทำได้เหมือนกัน” และนำเสนอความเป็นไทยมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ผ่าน “รสชาติกะเพรา”

จากอวกาศ สู่ปากคนไทย

ท้ายที่สุด Mission to Space, Mission for Health ก็ได้บรรลุเป้าหมาย คุณประสิทธิ์ ได้ทิ้งท้ายว่า หน้าที่ของเรา คือการพัฒนาอาหารที่ลูกค้าทานให้มีความปลอดภัย และความอร่อยขึ้นทุก ๆ วัน

ส่วนคุณเติ้ลสรุปว่า อะไรที่เกี่ยวกับอวกาศมันยากมาก ๆ เพราะต้องแลกกับองค์ความรู้มหาศาล และอวกาศมันไม่ใช่เรื่องของภาครัฐเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของทุกคน ถ้าเราช่วยกันก็จะเปิดขุมทรัพย์ความรู้มหาศาล

และคุณหนุ่ยพูดเสริมว่า มนุษย์ไม่ได้รู้ไปซะหมด มีอีกหลายเรื่องที่เรายังไม่รู้ และยังทำไมได้ ถ้าเราฟังคนอื่นว่าทำไม่ได้ เราก็จะทำไม่ได้ เรื่องนี้เราจะทำได้แค่ทำให้เต็มที่แล้วจริงจังกับทุก ๆ เรื่อง เหมือนคนญี่ปุ่น และโครงการไก่อวกาศที่ทำสำเร็จไปแล้ว สำหรับผมและองค์กร BT ก็ได้รับแรงบันดาลใจในเรื่องนี้เหมือนกัน

ส่วน ดร. ไพรัตน์ พูดปิดท้ายว่ามีสิ่งสำคัญ 2 เรื่องคือ ต้องมีความภาคภูมิใจ แล้วก็ทำให้เต็มที่กับทุกอย่าง

นี่คือบทพิสูจน์ว่า มาตรฐานอาหารอวกาศที่เข้มงวดที่สุดซึ่ง NASA ยอมรับนั้น คือมาตรฐานเดียวกับที่คนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ภารกิจนี้จึงไม่ใช่แค่การส่งไก่ไปอวกาศ แต่คือการยกระดับมาตรฐานอาหาร และตอกย้ำว่า “คนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก” อย่างแท้จริง