กรุงเทพฯ, 5 สิงหาคม 2568 – ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทายและผลกระทบจากเหตุโครงข่ายขัดข้องชั่วคราว บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ยังคงรักษาความสามารถในการทำกำไรได้อย่างแข็งแกร่ง โดยประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 2/2568 มีกำไรสุทธิ 2.0 พันล้านบาท นับเป็นการทำกำไรต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สอง สะท้อนความสำเร็จในการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีนัยสำคัญหลังการควบรวมกิจการ แม้รายได้จะชะลอตัวลง

หัวใจสำคัญของผลงานในไตรมาสนี้คือความสามารถในการควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างยอดเยี่ยม โดยค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (ไม่รวมค่าเสื่อมราคา) ลดลงถึง 8.0% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เป็นผลโดยตรงจากการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม (Synergy) การปรับปรุงโครงข่ายให้ทันสมัยซึ่งช่วยประหยัดค่าไฟฟ้า และการปรับกลยุทธ์ด้านการตลาดและการขายให้มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ EBITDA (กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย) ยังคงเติบโต 2.6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 25.0 พันล้านบาท

ทรู คอร์ปอเรชั่น มุ่งเน้นการสร้างฐานลูกค้าที่มีคุณภาพ จากความพยายามลดจำนวนผู้ใช้งานใหม่จากการหมุนเวียนของฐานลูกค้าเดิมลง (rotational gross adds) รวมทั้งการปรับปรุงโครงสร้างค่าใช้จ่ายด้านคอมมิชชั่นให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ จำนวนผู้ใช้บริการยังได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศไทยลดลง

จากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในไตรมาส 3/2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 47.5 ล้านเลขหมาย ลดลง 2.9 ล้านเลขหมาย หรือลดลง 5.8% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา ขณะที่จำนวนผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตบ้านเพิ่มขึ้น 2.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อยู่ที่ 3.8 ล้านราย และ ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 จำนวนผู้ใช้บริการ 5G มีจำนวน 14.7 ล้านเลขหมาย

นายซิกเว่ เบรกเก้ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ผลการดำเนินงานนี้แสดงให้เห็นว่าเราสามารถทำกำไรได้ต่อเนื่องตามคำมั่นสัญญา แม้จะอยู่ท่ามกลางปัจจัยลบก็ตาม การที่เราชนะการประมูลคลื่นความถี่เมื่อเร็วๆ นี้ จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับคุณภาพเครือข่ายและผลักดันบริการดิจิทัลใหม่ๆ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว”

จากผลกระทบที่เกิดขึ้นและภาวะเศรษฐกิจมหภาค ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้ปรับเป้าหมายการดำเนินงานปี 2568 โดยคาดว่ารายได้จากการให้บริการจะทรงตัวถึงเติบโต 1% ขณะที่คงเป้าหมายการเติบโตของ EBITDA ไว้ที่ 7-8% และยืนยันว่าจะยังคงรักษาผลกำไรได้ตลอดทั้งปี 2568 ซึ่งทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในการบริหารจัดการภายในองค์กรที่สามารถชดเชยปัจจัยลบจากภายนอกได้เป็นอย่างดี