บลูออริจิน (Blue Origin) บริษัทการบินและอวกาศสัญชาติสหรัฐฯ ของ เจฟฟ์ เบโซส (Jeff Bezos) เผยว่ากำลังตั้งเป้าจะปล่อยจรวดนิวเชปเพิร์ด (New Shepard) ในภารกิจ NS-24 (การบินครั้งที่ 24 ของจรวดนิวเชปเพิร์ด) ในเที่ยวบินไร้คนขับที่บรรทุกสิ่งของทางวิทยาศาสตร์ 33 ชิ้น และงานการวิจัย 38,000 ชิ้น รวมทั้งสัมภาระอื่น ๆ ไปสู่ขอบอวกาศในแนวตั้ง (Suborbital) ในวันที่ 18 ธันวาคม หลังจากถูกระงับเที่ยวบินมานานกว่า 15 เดือน

12 กันยายน 2022 บลูออริจินได้ปล่อยจรวด New Shepard ในเที่ยวบินไร้คนขับไปสู่อวกาศในแนวตั้งภายใต้ภารกิจ NS-23 แต่เกิดปัญหาตรงหัวฉีดของเครื่องยนต์ส่งผลให้เกิดการยกเลิกเที่ยวบินอัตโนมัติ ซึ่งแคปซูลอวกาศได้แยกจากออกบูสเตอร์แล้วแคปซูลสามารถลงจอดได้อย่างปลอดภัย ส่วนบูสเตอร์ได้เกิดระเบิดเมื่อตกลงมาสู่พื้นโลก จากนั้นบริษัทก็ได้ถูกสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐฯ (FAA) สั่งระงับการใช้งานและเข้าสู่กระบวนการสอบสวนถึงความล้มเหลว

เดือนกันยายน 2023 FAA ได้สรุปปิดการสอบสวนเหตุการณ์ระเบิดอย่างเป็นทางการ โดยสั่งให้บลูออริจิน ดำเนินการแก้ไข 21 รายการ ได้แก่ การออกแบบเครื่องยนต์และส่วนประกอบหัวฉีดใหม่ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงองค์กร

ล่าสุดกำหนดการปล่อยภารกิจ NS-24 แสดงให้เห็นว่าบลูออริจินได้แก้ไขปัญหาทั้งหมดแล้ว และได้รับใบอนุญาตการปล่อยภารกิจที่ได้แก้ไขจาก FAA ซึ่งจากข้อมูลในเว็บไซต์ของ FAA เผยว่าใบอนุญาตที่ได้แก้ไขจะหมดอายุในเดือนสิงหาคม 2025 และจำกัดการปล่อยภารกิจได้เฉพาะจากโรงงาน West Texas ของบลูออริจินเท่านั้น

จนถึงปัจจุบันจรวด New Shepard ได้ทำการบินมาแล้วกว่า 22 ครั้ง ซึ่งพาผู้โดยสารขึ้นไปท่องเที่ยวยังขอบอวกาศมาแล้วกว่า 31 คน โดยรวมซีอีโอเบโซสอยู่นั้นด้วย

นอกจากนี้บลูออริจินยังมีโครงการอวกาศที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา ได้แก่ จรวด New Glenn สำหรับบรรทุกน้ำหนักขนาดใหญ่ ซึ่งตั้งเป้าว่าจะบินในปลายปี 2024 โดยมีความสำคัญต่อการปล่อยดาวเทียมบรอดแบนด์ในโครงการ Kuiper ของแอมะซอน และยังมียานลงจอดบนดวงจันทร์ที่ชื่อว่า Blue Moon ซึ่งได้รับสัญญามูลค่า 3,400 ล้านเหรียญ (121,488 ล้านบาท) จากนาซา (NASA)

ที่มา : techcrunch.com

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส