เวลาเหนื่อย ๆ เครียด ๆ อยากหาอะไรผ่อนคลาย เกมเมอร์อย่างเราก็มักจะหันไปพึ่งเกมแนว “แอ็กชัน” เพื่อใช้ระบายอารมณ์อยู่เนือง ๆ ประหนึ่งว่ามันเป็นของตายที่เอาไว้หยิบมาเล่นตอนไหนก็ได้ เพราะเกมประเภทนี้มักจะเหมาะกับการใช้เปิดเล่นฆ่าเวลา เหมือนกับพวกหนังแอ็กชันที่เน้นดูเอามันส์แบบทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ และมักจะโดนนักวิจารณ์หนังสับเละอย่างไม่เห็นค่า

แน่นอนว่าเกมแอ็กชันกาก ๆ น่าเบื่อ ๆ ที่ออกมาเพื่อหวังฉกเงินจากเกมเมอร์เป็นหลักก็มีเพียบ (เหมือนกับหนังแอ็กชันกาก ๆ ที่มีให้เห็นกันเกลื่อนกลาดในตลาดนั่นแหละ)​ แต่ในขณะเดียวกัน เพชรในตมเม็ดงามที่เรียกได้ว่าเป็นผลงานเกมแอ็กชันระดับมาสเตอร์พีซก็มีออกมาให้เห็นเช่นกัน ประสบการณ์ที่เกมเหล่านี้มอบให้จากการเล่นนี่เรียกได้ว่ายอดเยี่ยมกระเทียมดองไม่แพ้การได้ดูหนังแอ็กชันสุดคลาสสิกอย่าง Terminator, MAD MAX หรือ John Wick เลยทีเดียว และต่อไปนี้คือ 5 รายชื่อเพชรเม็ดงามที่สุดของที่สุด ในหมู่วงการเกมแนวแอ็กชันลุยแหลกที่มาครบทั้งปืนผาหน้าไม้กระบี่กระบอง มันคือเกมที่คุณควรหามาลิ้มลองสักครั้งในชีวิต เพื่อไม่ให้เสียชาติเกิดมาเป็นเกมเมอร์ (แต่ขอไม่นับรวมเกมแนว FPS และสายสยองขวัญนะ มันเยอะเกินไปจัดอันดับให้ไม่ไหว… )​ 

อันดับ 5: Max Payne 

ตำรวจนิวยอร์กปืนดุ ผู้ริเริ่ม “Bullet Time” 

แพลตฟอร์ม: PC, Mac OS, PlayStation 2 / 3, Xbox, Xbox 360, Android, iOS

Max Payne ภาคแรกคือเกมต้นตำรับที่ช่วยเบิกทางให้ระบบสโลว์โมชันฮิตเป็นเทน้ำเทท่าในวงการวิดีโอเกม พูดได้เต็มปากว่าถ้าไม่มี Max Payne ก็คงไม่ได้เห็นเอฟเฟกต์ “Bullet Time” ในเกมกันอย่างทุกวันนี้ จุดที่ทำให้คุณไม่ควรมองข้าม Max Payne แม้เกมจะมีอายุกว่า 20 ปี ก็คือฉากแอ็กชันในเกมที่ทั้งสนุกและท้าทาย ทำให้ผู้เล่นต้องงัดทุกกลยุทธ์สโลว์โมชันออกมาใช้ หากต้องการให้นายตำรวจพระเอกของเราเอาชีวิตรอดจากห่ากระสุนไปได้ ที่สำคัญเอฟเฟกต์ฝุ่นละอองข้าวของพังกระจุยในเกมนี้ยังจัดเต็มไม่แพ้หนังของเฮียจอห์น วู ทำให้เวลายิงกันสนั่นแต่ละทีฉากแอ็กชันในเกมจะดูเวอร์วังอลังการมาก 

อีกจุดหนึ่งก็คือสไตล์อันโดดเด่นของ Max Payne ภาคแรก ทำให้มันเป็นเกมแอ็กชันที่ไม่เหมือนใคร ทั้งในแง่ของฉากหลังของเกมที่เป็นนครนิวยอร์กแนวฟิล์มนัวร์ เรื่องราวของนายตำรวจจิตตกที่ต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้ตัวเอง (ด้วยการล้างบางแก๊งอาชญากร) และฉากคัทซีนที่เล่าเรื่องในรูปแบบกราฟิกโนเวล องค์ประกอบเหล่านี้ทำให้ตัวเกมเหมือนกับหนังตำรวจฮ่องกงที่ให้คุณเล่นเป็นพี่โจวเหวินฟะด้วยตัวเอง

จริงอยู่ที่ Max Payne 2 ของ Rockstar มีเนื้อเรื่องและระบบยิงปืนที่ได้รับการพัฒนาจนดีกว่าภาคแรก แต่ถ้าเทียบกันในแง่สไตล์เกมและผลกระทบที่มันมีต่อวงการ ก็ต้องบอกว่า Max Payne ภาคแรกจาก Remedy นั้นโดดเด่นจนอยากแนะนำให้เล่นมากกว่า (แถมเดี๋ยวนี้คุณยังสามารถหาเล่นเกมนี้ได้จากเครื่องเกมทุกแบบเท่าที่นึกออก ไล่ตั้งแต่ PC ไปยันสมาร์ตโฟนเลย) หากคุณอยากลิ้มรสฟีเจอร์สโลว์โมชันของแท้และดั้งเดิมที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง นี่คือเกมแอ็กชันที่คุณไม่ควรพลาดครับ

อันดับ 4: Uncharted 4: A Thief’s End

หนังอินเเดียนา โจนส์ ที่เล่นได้สนุก มัน และกินใจที่สุด

แพลตฟอร์ม: PlayStation 4

ชื่อของซีรีส์ Uncharted ทุกภาคเป็นจุดขายของเครื่องเกม PlayStation อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม เกม Uncharted ทุกภาคมักจะมีจุดเด่นจากเกมเพลย์สนุกสะใจ ฉากหลังที่สวยงามอลังการจนคุณต้องอ้าปากค้าง แต่ก็มักจะตกม้าตายจากเส้นเรื่องที่อ่อนยวบยาบไม่ต่างจากการ์ตูนเช้าวันเสาร์ จนกระทั่ง Uncharted 4 เข้ามาลบคำสบประมาทด้วยแอ็กชันมันระห่ำพร้อมกับเรื่องราวผจญภัยปนดราม่าสุดเข้มข้นนี่แหละ 

Uncharted 4: A Thief’s end คือภาคที่ปรุงแต่งส่วนผสมของเกมผจญภัยออกมาได้อย่างกลมกล่อมจนดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว ประสบการณ์พัฒนาเกมกว่า 30 ปีของทีม Naughty Dog ผนวกกับเทคโนโลยี​ของเครื่อง PlayStation 4 ทำให้พวกเขาสามารถส่งมอบฉากแอ็กชันผจญภัยให้ออกมาได้อย่างยิ่งใหญ่อลังการที่สุด ภาพกราฟิกสวยงามสมจริงจนดึงศักยภาพของนักแสดงออกมาได้ดีที่สุด และที่สำคัญคือพวกเขาเชี่ยวชาญพอจนรู้จักวางจังหวะจะโคนการดำเนินเรื่องให้ดีขึ้นอย่างที่สุด ทำให้เกมนี้มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นกว่าทุกภาค

ทั้งนี้ ฉากแอ็กชันไฮไลต์แต่ละฉากใน Uncharted 4 นี่เรียกได้ว่าทำเอาหนังแอ็กชันฮอลลีวูดทั่วไปอายม้วนกันเลยทีเดียว โดยเฉพาะฉากขับรถไล่ล่าที่มาดากัสการ์ตอนกลางเรื่องที่ทำออกมาทั้งมัน ทั้งลุ้น ทั้งเสียวจนคนเล่นกำจอยแน่นซะเกือบลืมหายใจ ส่วนภาพในเกมก็สวยมากซะจนเอาไว้เล่นเป็นเกมสำหรับใช้พักร้อนได้เลย เหมือนกับนั่งดูภาพยนตร์มากกว่าเล่นเกมด้วยซ้ำ และที่น่าชมเชยที่สุดก็คือบทในเกมสนุกมาก โมเมนต์ที่ตลกก็กวนได้ใจ ส่วนช่วงหักมุมดราม่าก็แรงกระแทกใจจนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกันเลย

ที่สำคัญคือตัวละครทุกตัวมีความโดดเด่นของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นพระเอก Nathan Drake ที่ยังกวนแบบเปิ่น ๆ ไม่เปลี่ยน พี่ชาย Sam Drake ที่เกือบจะแย่งบทเด่นของพระเอกไปแล้ว ฝั่งตัวร้ายอย่าง Nadine Ross และ Rafe Adler ต่างก็มีแรงจูงใจของตัวเองที่น่าสนใจ แม้แต่ตัวละครเสริมอย่าง Sully และนางเอก Elena ก็มีช่วงที่ได้เฉิดฉายจากบทบาทดราม่าในภาคนี้ เกม Uncharted 4 เป็นบทสรุปส่งท้ายของนาย Nate ที่น่าประทับใจ ตอบโจทย์แฟนซีรีส์ได้อย่างเต็มที่ และแม้จะเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ก็สามารถสนุกไปกับเกมนี้ได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน นี่คือเกมแอ็กชันผจญภัยที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้อย่างไร้ข้อกังขา

อันดับ 3: Batman: Arkham City

เกมซูเปอร์ฮีโรที่มาพร้อมกับสุดยอดงานดีไซน์ Open World แบบเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเส้นเรื่อง

แพลตฟอร์ม: PC, OS X, Wii U, Playstation 3 / 4, Xbox 360 / One

สิ่งที่ทำให้อัศวินรัตติกาลเกมนี้น่าเกรงขามที่สุดคือการที่มันแสดงให้เห็นว่าเกม Open World ที่ดีไม่จำเป็นต้องมีขนาดแผนที่กว้างใหญ่มโหฬาร สิ่งสำคัญคือความน่าสนใจและรายละเอียดปลีกย่อยภายในโลกเปิดกว้างใบนั้นมากกว่า และหากมีเนื้อเรื่องแนวการ์ตูนซูเปอร์ฮีโรชั้นเลิศมาเป็นอีกส่วนผสมสำคัญก็ยิ่งทำให้มันยิ่งกลมกล่อมมากขึ้น Arkham City ได้ส่งมอบประสบการณ์การสวมบทเป็นอัศวินรัตติกาลในนครก็อตแธมอย่างสมบูรณ์ ด้วยเทคนิคการลอบเร้นเก็บพวกโจรเพื่อสร้างความกลัว การออกลีลาต่อสู้ประชิดตัวสุดเท่พร้อมกับระบบการเล่นที่ง่ายแต่ลุ่มลึก รวมไปถึงการใช้แกดเจ็ตค้างคาวกับไหวพริบเพื่อหาทางไขปริศนาและปราบแผนวายร้ายให้ได้ภายในเวลาหนึ่งคืน แน่นอนว่าคุณยังจะได้เจอวายร้ายตัวหลักของแบทแมนในเกมนี้อย่างครบถ้วน ไล่ตั้งแต่โจ๊กเกอร์, ทูเฟซ, มิสเตอร์ฟรีซ แม้แต่คาเลนดาร์แมนก็ยังมี เรียกว่านึกถึงวายร้ายหน้าไหน เดี๋ยวคุณได้ไปจ๊ะเอ๋แน่นอน

Batman: Arkham City ยังโดดเด่นกว่าเกม Open World อื่น ๆ จากงานดีไซน์เมือง Arkham City ในเกมที่ได้รับการออกแบบมาให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเส้นเรื่อง ทั้งยังมีขนาดของแผนที่แบบพอดีคำ ไม่ได้ใหญ่จนล้นแบบเกม Open World ทั่วไป​ โดยฉากต่าง ๆ ในเมือง Arkham City จะเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุการณ์ของเส้นเรื่องหลัก ซึ่งผู้เล่นก็จะได้รับการไกด์ให้ไปอยู่ถูกที่ถูกทางเสมอ สามารถเสพเนื้อเรื่องในเกมต่อได้แบบไม่ขาดตอน แต่ในขณะเดียวกันผู้เล่นก็ยังมีอิสระในการออกสำรวจพื้นที่ต่าง ๆ ระหว่างทางได้ตามใจ งานดีไซน์โลกของเกมแบบนี้ส่งผลให้ผู้เล่นอินกับเนื้อเรื่องในเกมแนว Open World ได้แบบไม่เสียอรรถรส ซึ่งเป็นจุดแข็งที่เกมแนวนี้มักจะตกม้าตายเป็นแถบ ๆ (แม้แต่ภาคต่ออย่าง Arkham Knight ก็ยังติดปัญหานี้)

อีกจุดที่เป็นดั่งน้ำจิ้มรสเลิศก็คือเนื้อเรื่องของ Arkham City ทำให้เกมเมอร์ได้เห็นรูปแบบความสัมพันธ์อันแสนสลับซับซ้อนระหว่างแบทแมนและโจ๊กเกอร์ คู่ปรับตลอดกาลที่เหมือนน้ำกับน้ำมันแต่ต่างคนต่างก็มีบทบาทที่มีผลกับเส้นทางชีวิตของอีกฝ่าย เกมทำให้เราได้เสพเรื่องราวอีกบทหนึ่งของอัศวินรัตติกาลที่สนุกกระแทกใจที่สุด รับรองว่าแฟน ๆ แบทแมนได้ฟินจนน้ำตาเล็ดกันแน่นอน

อันดับ 2: The Legend of Zelda: Breath of the Wild

เกมแอ็กชันผจญภัยในโลกเปิดกว้างที่เปิดอิสระให้แก่ผู้เล่นแบบ 100%

แพลตฟอร์ม: Wii U, Nintendo Switch

หากคุณกำลังหาเหตุผลเพื่อซื้อเครื่องเกม Nintendo Switch อยู่ล่ะก็ แค่คุณซื้อมาเพื่อใช้เล่นเกมนี้เกมเดียวก็เป็นข้ออ้างที่ดีเกินพอแล้วล่ะ ทั้งนี้ เกม The Legend of Zelda: Breath of the Wild เป็นดั่งเกม Open World ที่อยู่บนขั้วตรงข้ามกับ Batman: Arkham City ในขณะที่อีกเกมหนึ่งเลือกที่จะวางเหตุการณ์สำคัญตามเนื้อเรื่องให้คอยกำกับจังหวะการเล่นในโลกเปิดกว้าง Breath of the Wild กลับเลือกที่จะปล่อยมือผู้เล่นอย่างเต็มที่ ให้เกมเมอร์เป็นผู้กำหนดจังหวะเกมด้วยตัวเองอย่างแท้จริง โดยที่ทีมพัฒนาเกมคอยช่วยยืนดูอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น

ความเหนือชั้นของ Breath of the Wild คือการดีไซน์โลกเกมให้เปิดอิสระแก่ผู้เล่นโดยไม่มีการเอากำแพงเลเวลตัวละคร ประตูปิดตาย หรือศัตรูที่ปราบไม่ได้ตัวใดมาขวางทางไม่ให้เกมเมอร์เล่นผ่าน คำถามสำคัญข้อเดียวคือคุณมีไหวพริบและฝีมือเพียงพอที่จะเคลียร์เกมไหวหรือยัง? หากคุณหาญกล้าพอก็สามารถวิ่งรี่ไปหาบอสใหญ่แล้วซัดกันให้รู้เรื่องไปเลยก็ได้ ไม่มีใครว่า แต่หากคุณรู้ตัวว่าไม่ไหวและค่อย ๆ ออกสำรวจโลก Hyrule เกมก็จะค่อย ๆ มอบของสำหรับช่วยให้คุณผ่านด่านมาทีละอย่างสองอย่าง เช่น เครื่องยกของแบบไร้แรงโน้มถ่วง ลูกระเบิด ธนู เป็นต้น คุณแค่ต้องคิดให้ออกว่าจะใช้อุปกรณ์พวกนี้กับระบบฟิสิกส์ในเกมยังไงให้บรรลุเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้แก้ปริศนาหรือปราบศัตรูตัวใหม่ก็ตาม ซึ่งเกมก็ไม่ได้กำหนดให้คุณต้องทำแค่วิธีใดวิธีหนึ่งด้วย 

นอกจากนี้ Breath of the Wild ยังมาพร้อมกับงานศิลป์ที่สวยงามสบายตา แม้จะดูเรียบง่ายแต่ก็มีความโดดเด่นไม่ซ้ำใครในตัว ส่วน AI ของศัตรูแต่ละตัวยังได้รับการออกแบบให้มีพฤติกรรมในโลกที่แตกต่างกันออกไป และยังมีวิธีรับมือกับผู้เล่นแตกต่างตามบุคลิกของตัวเองด้วย จุดนี้ช่วยให้ดินแดน Hyrule ดูมีชีวิตชีวา ประหนึ่งเป็นสถานที่ที่มีอยู่จริง เมื่อบวกกับการที่เกมเป็นเหมือนลูกผสมระหว่างเกมแนว Sand Box (เช่น Deus Ex หรือ Dishonored เป็นต้น) และ Open World เข้าด้วยกัน ส่งผลให้มันเป็นเกมที่ให้อิสระเปิดกว้างแก่ผู้เล่นอย่างเต็มที่ที่สุดเท่าที่จะหาได้แล้วในเกมแนวแอ็กชัน นอกจากผู้เล่นจะสามารถสรรหาวิธีจัดการกับศัตรูต่าง ๆ บนแผนที่ได้ตามใจชอบ พวกเขายังสามารถเลือกเดินไปทางไปตรงจุดไหนของแผนที่ก่อนก็ได้ 

Breath of the Wild เลือกที่จะไม่จูงมือผู้เล่น เพียงแค่คอยช่วยให้ผู้เล่นหาทางไปในโลกได้สะดวกขึ้นผ่านการวางจุดสังเกตต่าง ๆ ให้เห็นบนแผนที่ แล้วค่อยร้อยเรียงจุดเหล่านี้เข้าด้วยกันเพื่อให้เกมเมอร์สามารถหาทางไปต่อได้ จุดนี้ช่วยให้คนที่เล่นเกมนี้รู้สึกเหมือนได้ออกผจญภัยเปิดโลกใหม่จริง ๆ และในขณะเดียวกันก็ไม่รู้สึกเบื่อแม้แต่นิดเดียว นี่คือผลงานการออกแบบเกมแอ็กชัน Open World ที่ล้ำหน้ากว่าทุกเกม โดยมีใจความสำคัญคือการเปิดให้คุณได้ “เล่นเกม” ด้วยตัวเองในแบบที่อยากเล่นอย่างแท้จริง

อันดับ 1: God of War (2018)

เทพสงครามที่สมบูรณ์ครบองค์สาม ทั้งงานภาพ เกมเพลย์ และเนื้อเรื่อง

แพลตฟอร์ม: PlayStation 4

God of War คือสุดยอดเกมแอ็กชันผจญภัยที่ลงตัวในทุกองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นด้านภาพกราฟิกและงานศิลป์ชั้นเลิศ เนื้อเรื่องที่เข้มข้นกินใจ และที่สำคัญคือระบบเกมเพลย์การต่อสู้ที่แน่นปึ้ก ทั้งเล่นสนุกทั้งท้าทาย จนไม่รู้ว่าจะไปหักคะแนนจากจุดไหนดี 

ถ้าจะพูดแบบโหล ๆ หน่อยก็คือ God of War เขา “มีดีในทุกด้าน ตอบโจทย์เกมเมอร์ได้ทุกแนว” ไม่ว่าจะเป็นคนเล่นเกมสายเสพเนื้อเรื่อง เกมเมอร์ที่โจ้เกมเอามันจากระบบเกมเพลย์มันหยดติ๋ง หรือเกมเมอร์ที่ชอบการผจญภัยในแดนแฟนตาซีสวยสดเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ ข้อนี้เป็นจุดที่หายากมากในเกมแนวแอ็กชันส่วนใหญ่ที่มักจะตกม้าตายเพราะเกมเพลย์ไม่ลุ่มลึกหรือไม่ก็เนื้อเรื่องอ่อนปวกเปียก แต่แอ็กชันในเกมนี้กลับสนุกสะใจด้วยระบบการต่อสู้ที่แน่นปึ้ก แม้จะท้าทายได้ใจแต่ก็แฟร์กับผู้เล่นมาก ๆ หากคุณคุ้นเคยกับระบบเกมเมื่อไหร่ ไม่ว่าศัตรูจะโหดแค่ไหนคุณก็สามารถรับมือได้ ทั้งยังมีระบบอัปเลเวลแบบเกม RPG เต็มรูปแบบมาด้วย ซึ่งมันส่งผลกับเกมการเล่นจากการมอบท่วงท่าหรือเทคนิคการต่อสู้ใหม่ ๆ ให้แก่ผู้เล่น โดยที่ไม่ทำให้เกมเสียความสมดุลไปแต่อย่างใด 

ในด้านงานออกแบบฉากในเกมก็ได้รับการวางมาอย่างรัดกุม นอกจากจะดูสวยงามตระการตาเหมือนพาเราไปเที่ยวประเทศนอร์เวย์ เส้นทางในฉากยังเปิดให้ผู้เล่นแวะตรงนั้นตรงนี้ได้เรื่อย ๆ ขณะเดียวกันก็ไม่ได้กว้างจนทำให้ผู้เล่นรู้สึกเคว้ง และยิ่งคุณเล่นเกมนี้ไปไกลแค่ไหน คุณก็จะยิ่งได้รับพลังหรืออุปกรณ์ใหม่ให้ย้อนกลับมาปลดล็อกทางเก่าเพื่อเก็บไอเทมใหม่ได้มากขึ้น (สไตล์เกม Castlevania)​ ช่วยให้การวิ่งสำรวจตามพื้นที่ต่าง ๆ ไม่น่าเบื่อ

ส่วนเนื้อเรื่องที่ยาวกว่า 20 ชั่วโมงก็ตีความปกรนัมเทพไวกิ้งใหม่ทั้งหมด โดยใช้ความแฟนตาซีอลังการเป็นฉากหน้า แต่ใจความสำคัญของเส้นเรื่องที่แท้จริงอยู่ที่การสานความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกตระกูล Kratos อันลึกซึ้งกินใจ ทำให้ผู้เล่นติดตามเนื้อเรื่องได้ง่ายและยังอินกับเหตุการณ์ในเรื่องไปพร้อมกับตัวละครอีกด้วย

นี่คือเกมที่เกิดขึ้นมาจากการกลั่นประสบการณ์การพัฒนาเกมแอ็กชันทั้งหมดที่ทีม Santa Monica Studio สั่งสมมาจากซีรีส์เทพสงคราม ตั้งแต่พวกเขาออกเกม God of War ภาคแรกมาให้ยลโฉมในปี 2005 ตามมาด้วยภาคต่ออีก 3 ภาค บทเรียนทั้งหมดในช่วงระยะเวลา 13 ปี ทำให้พวกเขาสามารถสร้างเกมแอ็กชันที่ใกล้เคียงกับคำว่า “สมบูรณ์ที่สุด” ออกมาได้ในเกมนี้

***ใครอ่านจบแล้วรู้สึกว่ายังมีเกมแอ็กชันเกมไหนที่ตกอันดับไป แต่แท้จริงแล้วมันคู่ควรแก่การหยิบมาเล่นขณะที่ยังมีลมหายใจมาก ๆ ก็ช่วยแนะนำกันมาให้ไว เพราะฮาร์ดคอร์เกมเมอร์อย่างพวกเรามีชีวิตอยู่เพื่อเล่นเกมแอ็กชันงานดีระดับขึ้นหิ้งอยู่แล้ว!!!

อ่านต่อ: 5 อันดับเกม FPS โคตรเด็ด ที่เกมเมอร์ควรเล่นก่อนตายไม่ให้เสียชาติเกิด!

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส