บทสรุปเนื้อเรื่องนี้จะเขียนให้รูปแบบ Chronologically คือเรียงตามไทม์ไลน์ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่จากลำดับการเล่นในเกมหรือสิ่งที่ตัวละครรับรู้นะครับ เนื่องจากเชื่อว่าการเขียนลักษณะนี้จะครอบคลุมเนื้อหาและรายละเอียดได้มากกว่า

Undertale เป็นเกมอินดี้สองมิติซึ่งถูกพัฒนาโดย โทบี้ ฟ็อกส์ วางจำหน่ายบน Steam เมื่อปี 2015 และได้สร้างปรากฏการณ์ครั้งใหญ่ให้กับวงการเกม ด้วยชั้นเชิงการเล่าเรื่องที่แปลกใหม่ที่สอดประสานเกมเพลย์และเนื้อเรื่องเข้ากันได้อย่างน่าอัศจรรย์ บทประพันธ์เพลงที่ไพเราะและเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ Undertale ได้รับการยกย่องยอมรับจากทั้งผู้เล่นและสำนักรีวิวจำนวน และในปีนี้ Undertale ก็จะได้รับการพอร์ตลงจำหน่ายบนเครื่อง Playstation 4

สำหรับสรุปนี้จะเป็นตอนที่ 1 ของซีรี่ส์ สรุปเนื้อเรื่องเกม Undetale โดยจะเล่าถึงประวัติศาสตร์ของโลกแห่ง Undertale จนถึงจุดเริ่มต้นของเกม เป็นการปูพื้นฐานต่างๆก่อนจะเข้าสู่เหตุการณ์หลักที่จะเกิดขึ้นภายในเกม ใครที่สนใจอยากอ่านเรื่องราวของเหตุการณ์หลักในตัวเกม สามารถข้ามไปอ่านได้ที่ลิ้งก์ต่อไปนี้เลยครับ

สรุปเนื้อเรื่องเกม Undertale ตอนที่ 2 : โลกของเหล่ามอนสเตอร์

สรุปเนื้อเรื่องเกม Undertale ตอนที่ 3 : ราตรีสวัสดิ์

เอาล่ะ ถ้าพร้อมแล้วก็มาเริ่มกันเลย

กาลครั้งหนึ่ง…

นานมาแล้ว โลกนี้ถูกปกครองโดยสองชาติพันธุ์ มนุษย์ และ มอนสเตอร์ (สัตว์ประหลาด)

ทว่า สิ่งที่ทำให้ทั้งสองเผ่าพันธุ์แตกต่างกันไม่ได้มีเพียงแค่รูปร่างหน้าตาเท่านั้น ดวงวิญญาณของมนุษย์และมอนสเตอร์เองก็แตกต่างกันด้วย

วิญญาณของมนุษย์นั้นทั้งทรงพลังและแข็งแกร่ง ในขณะที่แม้มอนสเตอร์จะมีรูปร่างหน้าตาที่น่าเกรงขาม แต่วิญญาณของพวกเขากลับอ่อนแอกว่ามนุษย์มาก เรียกได้ว่าต้องใช้วิญญาณของมอนสเตอร์นับร้อยๆ ดวง เพื่อจะเทียบเท่าความแข็งแกร่งของวิญญาณมนุษย์เพียงดวงเดียวเลย

แต่ถึงกระนั้น ความแข็งแกร่งของวิญญาณมนุษย์ กลับกลายเป็นบ่อเกิดของความหวาดกลัวที่มนุษย์มีต่อมอนสเตอร์

เมื่อร่างกายของมอนสเตอร์ตายลง ดวงวิญญาณของมอนสเตอร์จะสูญสลายไปในแทบจะทันที แต่เมื่อร่างกายของมนุษย์ตายลง วิญญาณของมนุษย์คนจะยังคงสภาพไว้ได้ช่วงระยะเวลาหนึ่งก่อนจะสลายไป หากในตอนนั้น มีมอนสเตอร์ตัวใดดูดกลืนวิญญาณของมนุษย์ดวงนั้นเข้าไป จะทำให้มอนสเตอร์ตัวนั้นวิวัฒนาการไปเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังเหนือกว่ามอนสเตอร์และมนุษย์ทั้งมวล 

แม้ปรากฏการณ์ดังกล่าวจะไม่เคยเกิดขึ้นจริงๆ แต่นับวันมนุษย์ก็ยิ่งหวาดกลัวต่อความเป็นไปได้นั้นมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุด มนุษย์ก็เปิดฉากสงครามกับเหล่ามอนสเตอร์ ซึ่งผลของสงครามนั้น มนุษย์ก็เป็นฝ่ายชนะไปอย่างง่ายดายด้วยความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด

มนุษย์ได้ขับไล่มอนสเตอร์ลงไปอยู่ในโลกใต้พิภพ (Underground) ลึกลงใต้ภูเขาที่ชื่อ อีบอท(Ebott) และจัดการปิดผนึกทางเข้าไว้ด้วยเวทย์มนตร์บาเรียร์ (Barrier) จากพลังของจอมเวทย์ทั้งเจ็ด ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถเดินผ่านบาเรียร์นี้เข้าสู่โลกใต้พิภพได้ แต่หากผ่านไปแล้ว การจะกลับออกมาสู่โลกภายนอก ผู้นั้นจำเป็นต้องมีพลังวิญญาณที่มากพอจะผ่านออกมาได้ ซึ่งพลังวิญญาณที่ว่า ต้องเทียบเท่ากับการรวมพลังวิญญาณของมนุษย์และมอนสเตอร์เท่านั้น หรือหากต้องการจะทำลายบาเรียร์ ก็จำเป็นต้องใช้พลังเวทย์มนตร์ที่เทียบเท่ากับวิญญาณของมนุษย์ 7 คนแทน

ซึ่งแน่นอนว่าสำหรับเหล่าสัตว์ประหลาดที่ถูกขังไว้ในบาเรียร์ ทั้งสองทางล้วนแล้วแต่เป็นไปไม่ได้ทั้งนั้น เว้นเสียแต่ว่า จะมีมนุษย์สักคน ตกลงมายังโลกใต้พิภพ…

เมื่อถูกไล่ลงมาใหม่ๆ เหล่ามอนสเตอร์ได้อาศัยอยู่ที่บริเวณก้มหลุมใต้ภูเขา Ebott แอสกอร์ (Asgore) และ ทอเรียล (Toriel) พระราชาและพระราชินีของมอนสเตอร์ได้ตั้งชื่อสถานที่แห่งนี้ว่า บ้าน(Home)

เวลาผ่านไป ประชากรมอนสเตอร์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเกินกว่าที่ บ้าน จะรองรับได้ แอสกอร์และทอเรียลจึงได้นำเหล่ามอนสเตอร์ออกย้ายถิ่นฐาน ทำให้ บ้าน ถูกปล่อยทิ้งให้ร้าง และถูกเรียกว่า The Ruin (ซากปรักหักพัง) ในเวลาต่อมา

ระหว่างการย้ายถิ่นฐาน มอนสเตอร์จำนวนหนึ่งก็ได้ลงหลักปักฐาน สร้างชุมชนของตัวเองตามพื้นที่ต่างๆ เกิดเป็นหมู่บ้านย่อยๆอย่างเมือง Snowdin ก่อนที่แอสกอร์และทอเรียลจะพาประชากรส่วนใหญ่ เดินทางมาจนถึงพื้นที่ที่อยู่หน้าทางเข้าดินแดนใต้พิภพ ที่ซึ่งบาเรียร์อันขังพวกเขาเอาไว้ตั้งอยู่ ที่นี่ พวกเขาได้ตั้งรกรากและสร้างเมืองหลวง (Capital) ของอาณาจักรมอนสเตอร์ขึ้นมา รวมทั้งปราสาทหลังใหม่ที่มีหน้าตาเหมือนกับปราสาทหลังเดิมที่ The Ruin และตั้งชื่อปราสาทแห่งนี้ว่า บ้านหลังใหม่ (New Home)

แอสกอร์และทอเรียลมีบุตรชายอยู่คนหนึ่ง ชื่อ แอสเรียล (Asriel)

การย้ายถิ่นฐานดังกล่าวทำให้ประชากรมอนสเตอร์อยู่อาศัยกระจัดกระจายกันไปทั่วโลกใต้พิภพ และแบ่งออกเป็นพื้นที่ต่างๆตามลำดับดังต่อไปนี้

  1. Snowdin หมู่บ้านหิมะอันเป็นพื้นที่แรกที่อยู่ติดกับ The Ruin
  2. Waterfall เขตพื้นที่น้ำตก ซึ่งมีดอก Echo Flower ดอกไม้ที่จะจดจำและพูดทวนประโยคสุดท้ายที่มันได้ยิน ขึ้นอยู่ทั่วไป
  3. Hotland ดินแดนเขตร้อนที่เต็มไปด้วยลาวา
  4. Capital นครหลวงของเหล่ามอนสเตอร์ที่ตั้งอยู่หน้าบาเรียร์ทางเข้าโลกใต้พิภพ

ในตอนนั้นมอนสเตอร์ที่ชื่อ W.D.Gaster นักวิทยาศาสตร์ประจำพระองค์ในขณะนั้นได้สร้างโรงงานผลิตพลังเวทย์มนตร์จากพลังงานความร้อนขึ้นในบริเวณพื้นที่ระหว่าง Hotland และ Capital ในชื่อ The Core สำหรับส่งพลังงานไปให้ชาว Capital ใช้ ก่อนที่ในภายหลัง W.D.Gaster จะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

เด็กน้อยผู้มาเยือน

ฝั่งบนผื้นผิวโลก หลังจากสิ้นสุดสงคราม เมื่อเวลาผ่านไปก็มีตำนานเล่าขานว่า มนุษย์คนใดที่ปีนเขาอีบอท จะไม่มีวันได้กลับมาอีก

ทว่าเด็กมนุษย์คนหนึ่งก็ได้เดินทางมาที่นี่ ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เขาเกลียดชังในมนุษยชาติ ไม่มีคำอธิบายแน่ชัดว่าเขามาที่นี่เพียงเพราะต้องการหนีจากมนุษยชาติเฉยๆ หรือเขารู้เรื่องที่มีมอนสเตอร์อาศัยอยู่ใต้พิภพอยู่แล้วกันแน่ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาได้กระโดดจากหลุมบนภูเขาอีบอทตกลงมายัง The Ruin และถูกพบโดยแอสเรียลที่ผ่านมาที่นี่พอดี 

แอสเรียลได้ช่วยเหลือและพาเด็กมนุษย์คนนั้นไปรักษาตัวที่ Capital แม้เด็กคนนี้จะเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เคยขับไล่เหล่ามอนสเตอร์ลงยังใต้พิภพ แต่แอสกอร์และทอเรียลก็ยินดีที่จะรับอุปการะเด็กคนนี้ไว้เป็นลูกบุญธรรม และเลี้ยงดูเขาเฉกเช่นเป็นลูกแท้ๆ ของตน 

เด็กคนนี้มีนามว่า คาร่า (Chara) หรือจะเป็นชื่อใดๆ ก็ตามที่เราตั้งให้กับ “The Fallen Human” (มนุษย์ที่ตกลงมา) ตอนเริ่มเกมนั่นเอง

แอสเรียลและคาร่าเติบโตขึ้นและสนิทสนมกันดั่งพี่น้อง สร้างความสุขและความหวังให้แก่เหล่ามอนสเตอร์เป็นอย่างมาก ด้วยทุกคนต่างเชื่อว่า คาร่า อาจจะเป็นสะพานเชื่อมสัมพันธ์ให้แก่พวกเขาและเหล่ามนุษย์อีกครั้งในอนาคตก็เป็นได้

จนกระทั่งวันหนึ่ง แอสเรียลและคาร่าได้ช่วยกันทำพายบัตเตอร์สก๊อตช์ให้แอสกอร์ แต่พวกเขาใส่ส่วนผสมผิดจากเนยเป็นดอกบัตเตอร์คัพซึ่งเป็นดอกไม้มีพิษแทน ส่งผลให้แอสกอร์ล้มป่วยไปช่วงหนึ่ง

แม้แอสเรียลรู้สึกผิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่สำหรับคาร่า เหตุการณ์นั้นได้นำมาซึ่งแผนการณ์ล้างแค้นมนุษยชาติของเขา…

คาร่าหลอกแอสเรียลให้เขาร่วมแผนการณ์ โดยบอกแอสเรียลว่าแผนการณ์นี้ จะเป็นการนำอิสรภาพกลับคืนสู่เหล่ามอนสเตอร์ แอสเรียลที่อยากออกไปเห็นโลกภายนอกและปลดปล่อยเหล่ามอนสเตอร์จึงตกลงเข้าร่วม

แผนการณ์ที่ว่าคือ คาร่าจงใจวางยาตัวเองด้วยการทานดอกบัตเตอร์คัพเข้าไปเพื่อฆ่าตัวตาย ก่อนที่คาร่าจะตาย เขาจะแสร้งทำเป็นอยากเห็นดอกไม้สีทอง (Golden Flowers) ซึ่งขึ้นเฉพาะที่บ้านเกิดของเขาบนโลกภายนอกเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อร่างกายของคาร่าตายแล้ว แอสเรียล จะต้องทำการดูดซับวิญญาณของคาร่าที่ยังคงสภาพไว้ได้ หลอมรวมกับวิญญาณตัวเอง กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีพลังเหนือล้ำ จากนั้นคาร่าก็จะใช้พลังที่เหลือในวิญญาณของตน ยึดการควบคุมร่างมาจากแอสเรียล อุ้มร่างของตนเองแล้วเดินทางข้ามผ่านบาเรียร์ออกไป โดยแสร้งว่าเพื่อจะนำร่างของคาร่าไปไว้ที่สวนดอกไม้สีทองดังกล่าว

เมื่อเดินทางมาถึงหมู่บ้าน มนุษย์ชาวบ้านที่ได้เห็นแอสเรียลอุ้มร่างของคาร่าไว้ก็นึกว่าแอสเรียสเป็นคนฆ่าเด็กคนนี้ จึงพากันออกมารุมทำร้าย ซึ่งตามแผนนั้น คาร่า ตั้งใจจะใช้จังหวะนี้ในการฆ่ามนุษย์ทุกคนในหมู่บ้าน โดยหลอกแอสเรียลไว้ว่า เขาจะฆ่าและดูดซับวิญญาณของมนุษย์เพียง 6 คน รวมกับของคาร่าเดิมเป็น 7 เพื่อให้เพียงพอต่อการทำลายบาเรียร์และปลดปล่อยเหล่ามอนสเตอร์เท่านั้น

ในตอนนั้นเองที่แอสเรียลรู้สึกตัวขึ้นว่านี่เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แอสเรียลจึงพยายามยึดร่างของตนคืนจากการควบคุมคาร่า ทำให้ร่างของแอสเรียลโดนชาวบ้านรุมทำร้ายไม่หยุด สุดท้ายแอสเรียลก็ยึดร่างคืนได้สำเร็จ แล้วรีบอุ้มร่างของคาร่ากลับไปยังโลกใต้พิภพ

เมื่อกลับมาถึงปราสาท แอสเรียลที่ถูกรุมทำร้ายไม่อาจทนพิษบาดแผลได้อีกต่อไป จึงตายลง พร้อมกับดวงวิญญาณที่มีทั้งวิญญาณของเขาและคาร่าอยู่ในนั้น ก็สลายกลายเป็นฝุ่นผงและกระจายไปทั่วสวน ไม่นานหลังจากนั้นดอกไม้สีทองก็งอกเงยขึ้นจากบริเวณที่ฝุ่นผงของแอสเรียลกระจายไปถึง กลายเป็นเสมือนของดูต่างหน้าถึงแอสเรียลและคาร่าแก่แอสกอร์และทอเรียล ส่วนร่างไร้ชีวิตของคาร่านั้นก็ได้ถูกนำไปเก็บไว้ในโลงศพ พร้อมๆ กับเรื่องราวแผนการณ์ของคาร่าที่ไม่มีใครรู้

artwork จากแชนแนลของ KUWA CHA บน Youtube

การตายของแอสเรียลและคาร่านำความโศกเศร้าและความสิ้นหวังมาสู่เหล่ามอนสเตอร์ แอสกอร์และทอเรียลต้องสูญเสียลูกถึงสองคนภายในค่ำคืนเดียว เป็นอีกครั้งที่มนุษย์แย่งชิงความสุขและความหวังไปจากมอนสเตอร์

ในการนั้น แอสกอร์จึงได้ประกาศสงครามกับมนุษยชาติ เขาสัญญากับเหล่ามอนสเตอร์ว่าจากนี้ไป มนุษย์คนใดก็ตามที่ตกลงมาดินแดนใต้พิภพแห่งนี้จะต้องถูกฆ่า และแอสกอร์จะเก็บวิญญาณของพวกเขาเอาไว้ จนกว่าจะถึงวันที่เขาสามารถรวบรวมวิญญาณของมนุษย์ได้จนครบ 7 ดวง เมื่อนั้น แอสกอร์จะดูดซับพลังวิญญาณของมนุษย์ทั้ง 7 ทำลายบาเรียร์ที่ขังพวกเขาไว้ แล้วนำทัพมอนสเตอร์ขึ้นต่อกรกับมนุษยชาติเพื่อช่วงชิงอิสรภาพคืนมาอีกครั้ง

คำประกาศเหล่านั้นได้สร้างความหวังให้กับเหล่ามอนสเตอร์อีกครั้ง พวกเขาต่างก็ตั้งหน้าตั้งตาเฝ้ารอวันที่แอสกอร์จะทำสำเร็จดังที่กล่าวไว้ ทว่า แท้จริงแล้วแอสกอร์ไม่ได้อยากจะทำเช่นนั้นเลย เขาไม่ได้อาฆาตแค้นมนุษย์แต่อย่างใด เขาแค่อยากจะทำอะไรสักอย่าง เพื่อให้ประชาชนของเขามีความหวังขึ้นมาก็เท่านั้นเอง แอสกอร์จึงได้แต่เฝ้าหวังว่าจะไม่มีมนุษย์คนใดตกลงมายังโลกใต้พิภพนี้อีก

ทางด้านทอเรียล เมื่อได้เห็นการประกาศสงครามของแอสกอร์ก็ไม่อาจรับได้  ไม่ใช่เพียงเพราะเธอคิดว่าการฆ่ามนุษย์ที่ตกลงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่เธอรู้ดีว่าลึกๆ แล้วแอสกอร์เองก็ไม่อยากทำเช่นนั้น ดังนั้นคำประกาศเหล่านั้นจึงเป็นเหมือนการให้ความหวังลวงๆ แก่ประชาชน ให้เหล่ามอนสเตอร์ตั้งหน้าตั้งตารออิสรภาพที่ไม่มีจริง ทอเรียลจึงได้ตัดขาดกับแอสกอร์ ชิงเอาร่างของคาร่าจากโลงศพแล้วหนีกลับไปอาศัยอยู่ที่ The Ruin สร้างประตูปิดผนึกทางเข้าไม่ให้มีมอนสเตอร์ตัวใดเข้ามายัง The Ruin ได้ (นอกจากมอนสเตอร์ตัวเล็กตัวน้อยที่อาศัยอยู่ใน The Ruin อยู่แล้ว) ด้วยตั้งใจว่าเมื่อใดก็ตามที่มีมนุษย์ตกลงมาจากหลุมในภูเขาอีบอท เธอจะเป็นคนแรกที่พบพวกเขาและสามารถปกป้องพวกเขาไม่ให้ออกไปนอก The Ruin และถูกแอสกอร์ฆ่า ส่วนร่างของคาร่า เธอก็ทำการฝังเอาไว้ ณ ก้นหลุมของภูเขาอีบอท ที่ๆ คาร่าตกลงมาเป็นที่แรก

โชคชะตาที่เริ่มขับเคลื่อน

แอสกอร์ได้แต่งตั้งคณะองครักษ์ (Royal Guard) ขึ้นเพื่อเป็นหน่วยรบในการไล่จับและสังหารมนุษย์ที่จะตกลงในโลกใต้พิภพ โดยมี อันไดน์ (Undyne) นักรบหญิงที่แอสกอร์ฝึกสอนมากับมือเป็นหัวหน้า

แอสกอร์ยังได้แต่งตั้งให้ อัลฟิส (Alphys) เพื่อนของอันไดน์ที่มาจากพื้นที่ทิ้งขยะ (Garbage Dump) ที่อยู่ในเขต Waterfall ขึ้นเป็นนักวิทยาศาสตร์ประจำพระองค์คนใหม่แทน W.D.Gaster ที่หายสาบสูญไปก่อนหน้า เนื่องจากประทับใจในผลงานการสร้างหุ่นยนต์ที่มีวิญญาณในชื่อ เมททาทอน (Mettaton) ก่อนที่แอสกอร์จะมอบหมายให้เธอทำการทดลองเกี่ยวกับวิญญาณเพื่อหาความเป็นไปได้อื่นๆ ในการทำลายบาเรียร์

โดยจริงๆแล้ว เมททาทอนไม่ใช่หุ่นยนต์ที่มีวิญญาณ แต่เป็นหุ่นยนต์ซึ่งเกิดจากการที่มอนสเตอร์ลักษณะคล้ายผีตัวหนึ่ง เข้าสิงสู่ในร่างหุ่นยนต์ที่อัลฟิสสร้างขึ้น มอนสเตอร์ตัวดังกล่าวนี้มีชื่อเดิมคือ แฮปสแต็บลุค (Happstablook) ผู้เป็นเพื่อนสนิทของอัลฟิส อัลฟิสและแฮปสแต็บลุครู้จักกันเนื่องจากต่างก็เป็นแฟนคลับของพวกมนุษย์ ทั้งสองสนใจและชื่นชอบสื่อบันเทิงของมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นหนังสือการ์ตูน ภาพยนตร์ รายการทีวี นั่นทำให้ แฮปสแต็บลุค ไหว้วานอัลฟิสในการสร้างร่างกายที่เหมาะสมให้เขาได้เข้าไปสิงสู่ ร่างที่แฮปสแต็บลุคจะสามารถเฉิดฉายและกลายเป็นดาราให้กับพวกมอนสเตอร์ได้ เขาจึงได้กลายมาเป็นเมททาทอน หุ่นยนต์ดาราเพียงหนึ่งเดียวของเหล่ามอนสเตอร์ ก่อนที่ความโด่งดังของเขาจะนำไปสู่ธุรกิจต่างๆ ในโลกใต้พิภพ ทั้งรายการทีวี โรงแรม ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด และแบรนด์สินค้าต่างๆ ภายใต้ชื่อ MTT (ย่อมาจาก Mettaton)

Artwork จาก Gigi D.G.

หลังจากนั้นก็มีมนุษย์คนแล้วคนเล่าตกลงมาที่ The Ruin ผ่านหลุมบนภูเขาอีบอทด้วยเหตุผลที่ไม่อาจทราบได้ ทุกครั้ง ทอเรียลจะหาทางโน้มน้าวให้พวกเขาอาศัยอยู่กับเธอที่ The Ruin เพื่อให้ปลอดภัยจากเงื้อมมือของแอสกอร์ แต่พวกเขาก็ล้วนแต่ปฏิเสธและออกเดินทางจาก The Ruin เพื่อหาทางกลับสู่โลกมนุษย์ ก่อนที่จะต้องพบกับความตาย

จนในที่สุด แอสกอร์ ก็สามารถรวบรวมวิญญาณของมนุษย์ได้ 6 ดวง เหลืออีกเพียงดวงเดียว แผนการณ์ของเขาก็จะเสร็จสมบูรณ์

ในช่วงเวลานั้นเองที่มอนสเตอร์สองตัวได้ปรากฏตัวขึ้นหมู่บ้าน Snowdin นั่นคือ แซนส์ (Sans) และ พาไพรัส (Papyrus) สองพี่น้องโครงกระดูกผู้สร้างเสียงหัวเราะ

ไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปของแซนส์และพาไพรัสมาก่อน เขาทั้งสองต่างก็อยู่ดีๆเดินทางมาอาศัยอยู่ที่ Snowdin แซนส์ผู้เป็นพี่ชายนั้นเป็นโครงกระดูกที่มีนิสัยขี้เกียจ ชอบเล่นมุกเล่นคำ (Pun Joke) ในขณะที่ พาไพรัส ที่เป็นน้องชายนั้น จะเป็นคนซื่อๆ ตรรกะพังๆ ชอบโวยวาย อยากทำตัวเท่ๆ แต่จริงๆแล้วเป็นคนไร้เดียงสา ถ้าใครที่ได้เล่นเกมนี้คงรู้ดีว่า ทั้งแซนส์และพาไพรัสนี่ถือเป็นตัวฮาสำคัญของเรื่องเลย

เมื่อทั้งสองมาอาศัยอยู่ที่ Snowdin พาไพรัสก็นึกอยากสมัครเข้าเป็นสมาชิกคณะองครักษ์ขึ้นมา ด้วยหวังว่าหากเขาได้เป็นคณะองครักษ์แล้วเขาจะได้มีเพื่อนมากมาย จึงได้ไปไหว้วานอันไดน์ผู้เป็นหัวหน้าคณะองครักษ์เพื่อขอให้รับเข้าเป็นสมาชิกถึงบ้าน แต่เพราะความซื่อบื้อ พาไพรัสได้ไปหาเธอตอนเที่ยงคืน ทำให้อันไดน์ไล่เขากลับบ้านในทันที ทว่า พาไพรัสกลับยืนรออันไดน์อยู่หน้าบ้านทั้งคืน เธอจึงใจอ่อนและตกลงที่จะฝึกการต่อสู้ให้แก่พาไพรัสเพื่อเตรียมเขาให้พร้อมเข้าเป็นสมาชิกคณะองครักษ์ จากนั้นพาไพรัสก็เฝ้ารอวันที่จะมีมนุษย์ปรากฏตัวขึ้นมา เพื่อที่เขาจะได้จับมนุษย์คนนั้นส่งให้อันไดน์ เป็นการพิสูจน์ตัวเองว่าเขาเหมาะสมที่จะเป็นสมาชิกคณะองครักษ์

ในขณะที่แซนส์นั้น ก็ได้รับงานในการเฝ้าระวังพื้นที่ชายแดนของเมือง Snowdin เพื่อคอยสอดส่องหากมีมนุษย์ย่างเข้ามาในโลกใต้พิภพ แซนส์ได้พบกับประตูทางเข้า The Ruin ที่ถูกปิดตายโดยทอเรียล เขาจึงลองเคาะประตูเพื่อซ้อมเล่นมุกก๊อก ก๊อก ก๊อก แก้เบื่อ แต่เขาก็ต้องแปลกใจเมื่อมีเสียงผู้หญิงตอบกลับมา ซึ่งนั่นก็คือเสียงของทอเรียลนั่นเอง ทอเรียลหัวเราะให้กับมุกเล่นคำของแซนส์อย่างจริงใจ รวมทั้งยังเล่นมุกตอบโต้กลับใส่แซนส์ด้วย ทั้งสองจึงสนิทกันทั้งที่ไม่ได้เห็นหน้าหรือรู้ชื่อของกันและกันด้วยซ้ำ อยู่มาวันหนึ่ง ทอเรียลก็ได้ขอร้องให้แซนส์สัญญากับเธออย่างหนึ่ง นั่นคือ หากวันใดก็ตามที่มีมนุษย์เข้ามาที่โลกใต้พิภพนี้ ขอให้แซนส์ช่วยปกป้องคุ้มครองเขาด้วย แซนส์ที่ชื่นชมในความอ่อนโยนของหญิงชราอย่างทอเรียลจึงไม่อาจปฏิเสธคำขอนั้นได้

สำหรับตัวตนที่แท้จริงของแซนส์และพาไพรัสนั้น ไม่ได้มีคำอธิบายที่แน่ชัดปรากฏอยู่ในเกม แต่ตัวเกมจะบอกใบ้ที่มาที่ไปผ่านทางเนื้อหาลับของเกม ซึ่งจะถูกกล่าวถึงในภายหลัง

การทดลองที่ผิดพลาด

ทางด้านอัลฟิส การทดลองเกี่ยวกับวิญญาณของเธอก็ได้นำไปสู่ผลลัพธ์สองอย่าง คือ

1. การค้นพบสสารที่เรียกว่า ปณิธาน (Determination)

อย่างที่บอกไปว่าวิญญาณของมอนสเตอร์นั้นจะสลายไปอย่างรวดเร็วเมื่อแยกออกจากร่างกายที่เป็นภาชนะ การทดลองกับวิญญาณของมอนสเตอร์จึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ในขณะนั้น ทำให้อัลฟิสต้องนำวิญญาณของมนุษย์ที่แอสกอร์สังหารไปมาทดลองแทน และในการทดลองนั้นก็ทำให้เธอค้นพบกับสสารชนิดหนึ่งที่มีอยู่เฉพาะในวิญญาณของมนุษย์ และไม่สามารถพบได้ในวิญญาณของมอนสเตอร์ตัวไหนๆ สิ่งนั้นคือ ปณิธาน (Determination)

ปณิธาน เป็นสิ่งที่ทำให้วิญญาณของมนุษย์แข็งแกร่งกว่าวิญญาณของมอนสเตอร์ และทำให้วิญญาณของมนุษย์ยังคงสภาพอยู่ได้แม้จะแยกออกจากร่างกายแล้วก็ตาม เป็นพลังงานที่ผลักดันมนุษย์ให้ลุกขึ้นได้ทุกครั้งที่ล้มเหลวหรือพ่ายแพ้

อัลฟิสได้ทำการสกัดปณิธานออกมาจากวิญญาณของมนุษย์ได้สำเร็จ และนำปณิธานที่ได้นั้นมาใช้ทดลองกับวิญญาณของมอนสเตอร์ต่อทันที เธอได้ขอแอสกอร์ให้ประกาศรับร่างของมอนสเตอร์ที่ใกล้ตายเพื่อนำไปใช้ในการทดลองโดยสัญญากับครอบครัวของมอนสเตอร์เหล่านั้นว่าจะนำฝุ่นผงจากร่างของพวกเขาส่งคืนให้เมื่อการทดลองเสร็จสิ้น อัลฟิสทำการทดลองโดยการฉีดปณิธานไปในร่างกายมอนสเตอร์ที่ใกล้ตายเหล่านั้น ด้วยคาดหวังว่าจะทำให้วิญญาณของมอนสเตอร์เหล่านั้นทรงพลังขึ้นและแข็งแกร่งพอที่จะคงสภาวะไว้ได้หลังจากที่ร่างของพวกเขาตายลง แล้วจึงจะนำวิญญาณเหล่านั้นไปทดลองต่อ

แต่เมื่อฉีดปณิธานลงไปแล้ว มอนสเตอร์ที่ใกล้ตายเหล่านั้นกลับฟื้นขึ้นมาพร้อมสติสัมปชัญญะครบสมบูรณ์ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำให้อัลฟิสไม่สามารถทดลองกับวิญญาณของมอนสเตอร์เหล่านี้ต่อไปได้ดั่งที่ตั้งใจ แต่ก็ถือเป็นเรื่องน่ายินดีเพราะอย่างน้อยก็เท่ากับว่าเธอได้ช่วยชีวิตของมอนสเตอร์ที่ใกล้ตายเหล่านั้นและพร้อมจะส่งพวกเขากลับสู่อ้อมอกของครอบครัว

ทว่าเหตุการณ์ก็กลับตาลปัตรไปอีก เมื่อไม่ทันที่จะได้ส่งพวเขากลับไปหาครอบครัว ร่างกายของมอนสเตอร์ที่ฟื้นขึ้นมาเหล่านั้นก็ค่อยๆ หลอมละลาย ตอนนั้นเองที่อัลฟิสได้ค้นพบว่าร่างกายของมอนสเตอร์นั้นไม่มีมวลสารมากพอที่จะรองรับพลังงานที่เข้มข้นของ ปณิธาน ได้ แต่ก็สายไปเสียแล้ว ร่างของมอนสเตอร์เหล่านั้นได้ละลายหลอมเป็นเนื้อเดียวกัน กลายเป็นมอนสเตอร์ชนิดใหม่ที่มีสติสัมปชัญญะปะปนทับซ้อนกันจากมอนสเตอร์หลายๆตัว เรียกว่า Amalgamates

แม้ Amalgamates จะไม่ดุร้ายหรือมีภัยอะไร แต่อัลฟิสก็รู้สึกผิดอย่างมาก เธอไม่มีฝุ่งผงจากร่างกายของมอนสเตอร์เหล่านั้นที่จะส่งคืนให้กับครอบครัวของพวกเขาได้ตามสัญญา แต่จะส่งตัวพวกเขาที่เป็น Amalgamates อยู่นี้กลับคืนไปก็ทำไม่ได้ อัลฟิสจึงตัดสินใจดูแลเหล่า Amalgamates ไว้ภายในห้องทดลองของเธอต่อไป เก็บผลการทดลองทั้งหมดไว้เป็นความลับและทำการปิดผนึกห้องแล็บนี้จากคนภายนอก หลบอยู่ในบ้านของเธอไม่ยอมตอบจดหมายจากครอบครัวของเหล่ามอนสเตอร์ที่เธอใช้ทดลอง

2. การกำเนิดของ ฟลาววี่ (Flowey)

ในระหว่างการทดลองฉีดปณิธานลงในร่างของมอนสเตอร์ที่ใกล้ตาย อัลฟิสก็ได้ตระเตรียมพาชนะสำหรับรองรับวิญญาณของมอนสเตอร์เมื่อร่างกายของพวกเขาตายลง ซึ่งหนึ่งในตัวอย่างที่เธอเลือกก็คือ ดอกไม้สีทองดอกแรกที่ขึ้นบนสวนในประสาทของแอสกอร์ อันเป็นดอกไม้ดอกแรกที่โตขึ้นตรงที่ที่แอสเรียลสิ้นลม

แต่อย่างที่รู้กันว่าการทดลองล้มเหลว สุดท้ายแล้วเธอก็ไม่สามารถนำวิญญาณของมอนสเตอร์เหล่านั้นมาใช้ทดลองต่อได้ ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจทดลองนำปณิธานมาฉีดลงในดอกไม้สีทองดอกนั้นแทน ด้วยความสงสัยว่าหากเธอฉีดปณิธานลงในสิ่งที่ไร้วิญญาณแล้วจะเกิดอะไรขึ้น โดยหารู้ไม่ว่าดอกไม้สีทองดอกนั้น มีเศษเสี้ยววิญญาณของแอสเรียลอยู่ภายใน

ปณิธานที่ถูกฉีดเข้าไปทำให้เศษเสี้ยววิญญาณของแอสเรียลทรงพลังขึ้นมากพอจะรื้อฟื้นความทรงจำและสติสัมปชัญญะกลับมาได้ เมื่อได้สติขึ้นมา แอสเรียลที่พบว่าตัวเองอยู่ในร่างของดอกไม้จึงตกใจมาก เขาร่ำไห้เรียกหาพ่อและแม่ของเขา จนในที่สุด แอสกอร์ก็มาพบเขาเข้า

แอสเรียลได้เล่าเรื่องทุกอย่างให้แอสกอร์ฟัง ทันทีที่แอสกอร์รู้ว่าดอกไม้ที่อยู่ตรงหน้าคือลูกชายของตนที่คิดว่าตายไปแล้ว เขาก็ร่ำไห้และปลอบประโลมแอสเรียล ตอนนั้นเองที่แอสเรียลค้นพบความผิดปกติในตัวเอง เขาพบว่าไม่ว่าแอสกอร์จะทำดีกับเขามากเท่าไหร่ เขาก็ไม่มีความสุขและรู้สึกรักผู้เป็นพ่อของเขาเหมือนก่อนได้เลย แอสเรียลที่สับสันจึงหนีจากปราสาทและได้ไปพบกับทอเรียลที่ The Ruin แต่ผลลัพธ์ก็ไม่ต่างกัน แอสเรียลจึงได้เข้าใจว่าตัวเขาในตอนนี้ไม่สามารถรู้สึกรักใครได้อีกต่อไปแล้ว ที่เป็นแบบนี้ เพราะลำพังเศษเสี้ยวของวิญญาณที่เหลืออยู่ในดอกไม้สีทองและปณิธานที่ถูกฉีดเข้ามา ไม่เพียงพอที่จะดึงความสามารถในการ “รู้สึก” กลับมาได้

แอสเรียลที่สูญเสียความสามารถในการรู้สึกใดๆจึงสูญเสียความหมายในการดำรงอยู่ไปด้วย เขาคิดว่าโลกที่เขาไม่อาจรู้สึกรักหรือแคร์ใครซักคนได้มันไร้ความหมาย สุดท้ายแอสเรียลจึงตัดสินใจฆ่าตัวตาย ทว่า ในวินาทีแห่งความตายนั้น เศษเสี้ยวนึงของเขากลับหวาดกลัวความตายขึ้นมา “ไม่! ฉันยังไม่อยากตาย” เมื่อรู้สึกตัวอีกที แอสเรียลก็พบว่าตัวเองได้กลับไปยัง ณ เวลาและสถานที่ที่เขาตื่นขึ้นมาเป็นครั้งแรก เขากลับมายังสวนในปราสาทอีกครั้งในเวลาก่อนที่แอสกอร์จะมาพบเขาเข้า ตอนนั้นเองที่แอสเรียลได้รับรู้พลังที่แท้จริงของปณิธาน พลังที่ทำให้มนุษย์ลุกขึ้นมาได้ทุกครั้งที่ล้มเหลว พลังในการ Save และ Load

กล่าวคือ ในโลกของ Undertale นั้น การ Save และ Load เกม ไม่ได้เป็นเพียงแค่ระบบการเล่นเท่านั้น แต่ยังเป็นคอนเส็ปต์ที่มีอยู่ในเนื้อเรื่องของเกมจริงๆอันเกิดจากพลังของปณิธาน ผู้ใดก็ตามที่มีปณิธานอันแรงกล้ามากพอ เมื่อคนผู้นั้นทำสิ่งใดพลาดหรือตายลง เขาจะสามารถ Load ทุกอย่างไปยังเวลาและสถานที่ที่เขาได้ทำการ Save ไว้ แล้วแก้ไขความผิดพลาดดังกล่าวได้ เป็นการอุปมาอุปมัยการไม่ยอมแพ้ต่อความล้มเหลวของมนุษย์นั่นเอง

แอสเรียลรู้สึกสนใจพลังนี้เป็นอย่างมาก เขาทดลองฆ่าตัวตายอีกหลายต่อหลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่เขาตั้งมั่นที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ เขาก็จะฟื้นกลับมาที่จุด Save ได้เสมอ แอสเรียลได้ทิ้งตัวตนเดิมของตนเองและใช้ชื่อ ฟลาววี่ (Flowey) มานับตั้งแต่นั้น เขาทดลองใช้พลังนี้ทั้งในการช่วยเหลือและกลายเป็นที่รักของมอนสเตอร์ตัวอื่นๆ ทั้งในการกลั่นแกล้งและกลายเป็นที่รังเกียจ ตลอดจนใช้มันเพื่อเข่นฆ่าทุกคนในโลกใต้พิภพทิ้ง แต่ไม่ว่าจะลองทำแบบไหนสุดท้ายมันก็ทำให้เขาเบื่อ เขาพบว่ามอนสเตอร์ทุกตัวนั้นช่างคาดเดาง่าย หากเขารู้ว่าจะตอบอะไรคำถามอย่างไรหรือมอบของชิ้นไหนให้ใครแล้วคนๆนั้นจะตอบสนองอย่างไร เขาก็สามารถควบคุมพฤติกรรมของใครก็ได้ได้ดั่งใจ 

จนกระทั่งวันหนึ่ง ตัวตนที่มีปณิธานอันแรงกล้ากว่า ได้ปรากฏตัวขึ้นที่โลกใต้พิภพ…และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวใน Undertale

มนุษย์คนที่เจ็ด

เมื่อผู้เล่นกดเริ่มเกมใหม่เป็นครั้งแรก เราจะได้เห็นฉากอินโทรเป็นภาพของเด็กน้อยที่พลัดตกลงไปในหลุมของภูเขาอีบอท ผู้เล่นจะได้ตั้งชื่อของเด็กคนนั้นราวกับเป็นตัวแทนของผู้เล่น ก่อนที่เกมจะเริ่มต้นเมื่อเด็กที่ดูเหมือนจะเป็นตัวละครของเราตื่นขึ้นบนสวนดอกไม้สีทองที่กุ้นหลุมของเขาอีบอท

แต่แท้จริงแล้ว เหตุการณ์ในฉากอินโทรของเกมนั้นคือภาพเหตุการณ์ในอดีต ตอนที่คาร่าตกลงมาที่โลกใต้พิภพด้วยความตั้งใจของตัวเองต่างหาก รวมถึงชื่อที่เราตั้งนั้น ก็จะเป็นชื่อของคาร่าที่ปรากฏอยู่ในการเล่นของเราด้วย ในขณะที่ตัวตนของเด็กน้อยที่เรารับบทบาทอยู่ในปัจจุบันนั้น ไม่ได้ถูกระบุไว้อย่างชัดเจน แต่จะมีทฤษฏีที่เป็นที่ถกเถียงกันอยู่ 2 ทฤษฏี

ทฤษฏีแรก ว่าด้วยแนวคิดที่ว่าเด็กคนนั้นคือร่างของคาร่าที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมา

อย่างที่บอกไปว่าหลังจากแอสกอร์ประกาศจะสังหารมนุษย์ทุกคนที่ตกลงมายังโลกใต้พิภพนั้น ทอเรียลก็ได้ออกจาก Capital และมาอาศัยอยู่ที่ The Ruin โดยนำร่างไร้ชีวิตของคาร่ามาฝังที่ก้นหลุมของภูเขาอีบอทด้วย โดยที่ทอเรียลไม่รู้เลยว่า แท้จริงแล้วภายในร่างไร้ชีวิตของคาร่านั้น ยังคงเหลือเศษเสี้ยววิญญาณของเขาอยู่ เฉกเช่นเดียวกับกรณีที่เศษเสี้ยววิญญาณของแอสเรียลยังคงหลงเหลืออยู่ในดอกไม้สีทอง ซึ่งในตอนที่ผู้เล่นกดเริ่มเกมนั่นเอง ที่ปณิธานของผู้เล่นได้แทรกซึมเข้าไปในร่างของคาร่า ส่งผลให้วิญญาณของคาร่ากลับมามีชีวิตอีกครั้ง เกิดเป็นมนุษย์คนใหม่ที่มีชื่อว่า ฟริสก์ (Frisk) นั่นจึงทำให้เด็กคนนี้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนคาร่า ใส่ชุดลายขวางเหมือนคาร่า พร้อมกับสีหน้าที่ไร้อารมณ์ ผิวสีเหลืองซีด ผิดกับคาราที่ผิวขาวตาแป๋วแก้มแดง ทฤษฏีนี้จะสามารถอธิบายความเหมือนกันของฟริสก์และคาร่าได้ดีและยังได้รับการสนับสนุนจากการที่เมื่อเริ่มเกมมา เครื่องป้องกันชิ้นแรกที่ฟริสก์ใส่จะเป็น ผ้าพันแผล (Bandage) ซึ่งในช่วงท้ายของเกมหากเราสำรวจโลงศพของคาร่าในปราสาทของแอสกอร์ จะพบว่ามีเศษผ้าพันแผลอยู่ภายใน ทว่า ทฤษฏีนี้ก็ยังคงถูกถกเถียงเนื่องจากความไม่สมเหตุสมผลบางอย่าง เช่น การที่ตัวละครทุกตัวที่เคยรู้จักคาร่า กลับจำฟริสก์ที่อยู่ในร่างของคาร่าไม่ได้ หรือการที่สีเสื้อของฟริสก์กับคาร่านั้นไม่ตรงสีกัน

ทฤษฏีที่สอง ว่าด้วยแนวคิดที่ว่าเด็กคนนั้นเป็นมนุษย์อีกคนที่ชื่อฟริสก์ไปเลย เขาได้ตกลงมายังโลกใต้พิภพผ่านทางหลุมในภูเขาอีบอทเหมือนกับคาร่าและมนุษย์คนอื่นๆ

ทฤษฏีตั้งอยู่บนฐานเดียวกับทฤษฏีข้างต้น คือภายในร่างของคาร่าที่ถูกฝังอยู่นั้น ยังมีเศษเสี้ยววิญญาณของคาร่าหลงเหลืออยู่ จากนั้นเมื่อฟริสก์ซึ่งเป็นเด็กอีกคนตกลงมาวิญญาณของคาร่าและปณิธานของผู้เล่นจึงได้เข้าควบคุมร่างของฟริสก์แทน ทฤษฏีนี้จะสมเหตุสมผลกับการที่ไม่มีใครคิดว่าฟริสก์เป็นคาร่าเลย แต่ก็ทำให้ความเหมือนกันในหลายๆด้านของฟริสก์และคาร่าเป็นแค่ความบังเอิญเท่านั้น 

ไม่ว่าจะด้วยทฤฏีไหนก็ตาม สิ่งที่เหมือนกันคือในร่างของฟริสก์นั้นมีวิญญาณของคาร่าและปณิธานของผู้เล่นเป็นตัวขับเคลื่อนเรื่องราว ซึ่งในทีแรก แม้วิญญาณของคาร่าจะฟื้นขึ้นมาด้วยปณิธานของผู้เล่น แต่มันก็ไม่มากพอที่จะนำความทรงจำและตัวตนของคาร่ากลับคืนมาด้วย ทำให้ฟริสก์เป็นเหมือนเพียงภาชนะตัวแทนของผู้เล่นเท่านั้น ผู้เล่นจึงมีหน้าที่ในการควบคุมฟริสก์ให้ดำเนินเกมไปตามที่ผู้เล่นตั้งใจ ซึ่งตรงนี้เองที่เนื้อเรื่องของเกมจะถูกแบ่งออกเป็นสามเส้นทาง นำไปสู่บทสรุปของเรื่องราวที่แตกต่างกันตามแต่แนวทางการเล่นของผู้เล่น ดังนี้

1. Pacifist Route คือเนื้อเรื่องแบบที่เราบังคับฟริสก์ให้ไม่ฆ่ามอนสเตอร์ตัวไหนเลยซักตัวเดียวที่เราเจอ ตลอดจนทำอีเวนท์ต่างๆเพื่อกลายเป็นเพื่อนกับทุกคน โดยบทสรุปนี้จะเล่าจากมุมมองของเส้นทางนี้เป็นหลัก
2. Genocide Route คือเนื้อเรื่องแบบที่เราบังคับฟริสก์ให้ฆ่าล้างมอนสเตอร์ทุกตัวที่พบเจอ
3. Neutral Route คือเนื้อเรื่องแบบที่เราบังคับฟริสก์ให้ฆ่ามอนสเตอร์บางตัวบ้างไม่ฆ่าบ้าง ซึ่งจะส่งผลต่อผลลัพธ์เล็กๆน้อยๆที่ต่างกันไปจาก Pacifist Route แต่ก็แค่ในระดับบทสนทนาเท่านั้น จึงจะขอไม่พูดถึงมากนักและให้ความสำคัญกับ Pacifist Route และ Genocide route ที่เป็นเส้นทางหลักของเกมมากว่า

โดยต่อจากนี้ผมจะขอแทน ฟริสก์ ว่า เรา ในฐานะของผู้เล่นไปก่อน เนื่องจากตลอดเรื่องราวนั้นผู้เล่นจะเป็นผู้ควบคุมการกระทำของฟริสก์ ในขณะที่ตัวฟริสก์นั้นไม่ได้มีเจตจำนงเป็นของตัวเอง ทำให้การกระทำทุกอย่างของฟริสก์ล้วนเกิดแต่เพียงจากการตัดสินใจของผู้เล่นทั้งสิ้น และการตัดสินใจนั้นจึงจะนำไปสู่ตัวตนสุดท้ายของเขาที่แตกต่างกัน

เมื่อเราตื่นขึ้นมา เราจะได้พบกับฟลาววี่ที่ออกมาต้อนรับ เขาจะเข้าใจว่าเราเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งที่พลัดตกลงในโลกไต้พิภพ หลอกล่อเราด้วยการทำตัวเป็นมิตร และสอนเราว่าหากเราต้องการแข็งแกร่งขึ้นและมีชีวิตรอดอยู่ในโลกใต้พิภพนี้ เราต้องสะสม EXP และ LOVE (ย่อว่า LV) ให้มากขึ้น ก่อนที่จะฉวยโอกาสหาทางกำจัดเราทิ้งซะ ด้วยหวังจะช่วงชิงวิญญาณมนุษย์ในตัวของเราไป ทว่า ทอเรียลก็ได้ปรากฏตัวออกมาช่วยเราไว้ได้ทันท่วงที ทอเรียลเองก็เข้าใจเหมือนกับฟลาววี่ว่าเราแค่พลัดตกลงมาเท่านั้น ซึ่งทอเรียลก็ได้ทำตามความตั้งใจของเธอ นั่นคือหาทางปกป้องเราจากเงื้อมมือของแอสกอร์

ตรงนี้ขออธิบายก่อนว่า ค่า EXP และ LV ที่ฟลาววี่พูดถึงนั้น ไม่ใช่ค่า ประสบการณ์ (Experience) กับค่า เลเวล (Level) เหมือนที่ใช้ในเกมอื่นๆ แต่แท้จริงแล้ว ค่า EXP นั้นย่อมาจาก Execution Point หรือ ค่าการสังหาร ในขณะที่ LV ย่อมาจาก Level of Violence หรือ ระดับความโหดเหี้ยม กล่าวคือ เมื่อเราฆ่ามอนสเตอร์ตัวใดก็ตามที่เราพบในเกม ค่า EXP และ LV ของเราก็จะค่อยๆสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เราแข็งแกร่งขึ้นจากความโหดเหี้ยมและไร้ปราณีนั่นเอง ในขณะที่หากเราเลือกที่จะไม่ฆ่าใครเลย ค่า EXP และ LV ของเราก็จะยังเป็น 0 เราจะยังเป็นฟริสก์ที่อ่อนแอและไม่พร้อมจะฆ่าฟันผู้อื่นได้

ซึ่งตรงนี้แหละคือแก่นของความแตกต่างระหว่าง Pacifist Route และ Genocide Route เพราะแท้จริงแล้ว ความแข็งแกร่งที่มากขึ้นของเราเมื่อได้รับ EXP และ LV ที่มากขึ้น ไม่ได้เป็นเพียงความแข็งแกร่งของเราเองเท่านั้น หากแต่เป็นเศษเสี้ยววิญญาณของคาร่าที่ซ่อนอยู่ในภายในที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆด้วยเช่นกัน ยิ่งเราฆ่าฟันมอนสเตอร์ที่พบเจอมากเท่าไหร่ จิตแห่งการทำลายล้างที่โตขึ้นก็จะกลายเป็นเหมือนเชื้อไฟให้กับความอาฆาตของคาร่า ตลอดการเดินทางในเส้นทาง Genocide Route จึงเป็นเหมือนการค่อยๆปลุกคาร่าขึ้นมาครอบครองร่างอย่างสมบูรณ์ 

ในขณะที่ Pacifist Route ซึ่งเป็นเส้นทางของที่ไม่ฆ่ามอนสเตอร์ใดๆเลยนั้น จะทำให้ค่า EXP และ LV ไม่เพิ่มขึ้น เป็นการปิดผนึกวิญญาณของคาร่าไว้อย่างสมบูรณ์ พร้อมกันนั้น สายสัมพันธ์กับผองเพื่อนมอนสเตอร์ที่เราพบเจอตลอดการเดินทาง จะทำให้ฟริสก์ค่อยๆ พัฒนาอัตตาและตัวตนของตนเองขึ้นมาใหม่ตามทฤษฏีแรก หรือหากคิดตามทฤษฏีที่สอง ก็จะเป็นการที่ฟริสก์ทวงคืนร่างและเจตจำนงที่ดีงามของตัวเองคืนมา

อ้อมกอด

หลังจากที่เราได้รับการช่วยเหลือจากทอเรี่ยลแล้ว เธอก็จะสอนพื้นฐานต่างๆในการผจญภัยให้กับเรา (เป็นช่วง Tutorial ของเกมนั่นเอง) ซึ่งเธอก็จะสอนวิธีการหลีกเลี่ยงหรือยุติการต่อสู้อย่างสันติกับมอนสเตอร์ที่เราพบเจอ ซึ่งจะเป็นเงื่อนไขสำคัญในการทำ Pacifist Route นั่นเอง หนึ่งในนั้นคือเธอจะสอนให้เราลองพูดคุยกับตุ๊กตาซ้อมการต่อสู้เพื่อซ้อมๆ ว่าเวลาไปเจอมอนสเตอร์ตัวอื่น ก็ให้พยายามผูกมิตรแบบนี้ ก่อนที่เธอจะมอบมือถือให้เราหนึ่งเครื่องเพื่อใช้ติดต่อสื่อสารกับเธอ

ระหว่างทางนั้นเราจะได้พบและเข้าปะทะกับ แนพสแต็บลุค (Napstablook) มอนสเตอร์ผีผู้ขาดความมั่นใจที่มานอนขวางทาง ไม่ว่าเราจะสู้กับเขาหรือไม่ เราก็ไม่สามารถสังหารเขาที่เป็นผีได้อยู่ดี (เพราะเขาเป็นผี…) จากนั้นแนพสแต็บลุคจะตื่นเต้นที่ได้คุยกับคนแปลกหน้าจนหนีไป ถัดจากนั้นเราจะได้เจอแมงมุมขายขนม Spider Bake Sale ซึ่งหากเราซื้อขนมที่ของพวกเขามา จะเป็นตัวช่วยให้กับการเล่นใน Pacifist Route ในภายหลังได้

ทางด้านฟลาววี่นั้น หลังจากโดนทอเรี่ยลมาขัดขวางทำให้พลาดชิงวิญญาณมนุษย์ของเราไป จึงคิดจะใช้พลังของการ Save และ Load เพื่อย้อนกลับไปแก้ไข ทว่า เขากลับใช้มันไม่ได้เสียแล้ว ฟลาววี่เชื่อว่าเป็นเพราะมีปณิธานที่แรงกล้ากว่าปรากฏขึ้นในโลกใต้พิภพ ซึ่งนั่นก็คือปณิธานของผู้เล่นที่อยู่ในตัวของฟริสก์นั่นเอง

ทอเรียลจะพาเรามายังบ้านของเธอ ก่อนที่เธอจะทำพายให้เราทานและให้เราพักผ่อนในห้องนอนเก่าของแอสเรียล ซึ่งตอนนี้เราจะสำรวจบ้านของทอเรียลได้ ตรงจุดนี้ตัวเกมจะทำให้เราสงสัยในเจตนาของทอเรียล แต่ไม่ว่าจะสำรวจสิ่งใดๆในบ้าน ก็ไม่มีสัญญาณของเจตนาไม่ดีเลย โดยจะมีห้องที่เข้าไปไม่ได้อยู่ห้องหนึ่งอันเป็นห้องนอนเก่าของแอสกอร์ที่ไม่ได้ใช้นั่นเอง

ทอเรียลชักชวนให้เราอาศัยอยู่กับเธอที่นี่อย่างสงบสุขตลอดไป หากเราต้องการจะเดินเรื่องต่อก็จำเป็นต้องถามหาทางออกจากโลกใต้พิภพแห่งนี้ เมื่อถามแบบนั้นไปแล้ว ทอเรียลจะขอตัวแล้วลงไปยังห้องใต้ดินของบ้าน เมื่อเราตามลงไปทอเรียลจะบอกให้เราฟังว่าหากเราออกไปจะต้องถูกแอสกอร์ตามฆ่าเป็นแน่ ดังนั้นเธอจะทำลายประตูที่เชื่อมระหว่าง The Ruin และพื้นที่อื่นๆของโลกใต้พิภพ เพื่อบังคับให้เราอยู่ในนี้และปลอดภัยจากแอสกอร์ แน่นอนว่าเราจะไม่ยอม ทอเรียลจึงตัดสินใจเข้าต่อสู้กับเราเพื่อทดสอบว่าเราแข็งแกร่งพอจะเอาตัวรอดในโลกใต้พิภพได้หรือไม่

ตรงนี้หากเราเล่น Pacifist Route เราจะสามารถเลือกที่จะไม่ตอบโต้ทอเรียลกลับได้ ซึ่งจะทำให้เราพบว่าหากเธอโจมตีจนเลือดเราเหลือน้อยมากพอ เธอจะแสร้งทำเป็นโจมตีเราไม่โดนเอง เพราะแท้จริงแล้ว ทอเรียลไม่ได้ต้องการทำร้ายเราจริงๆ เมื่อถึงจุดหนึ่งเธอก็หยุดและยอมแพ้ให้กับความมุ่งมั่นของเรา ก่อนจะกอดบอกลาเราและอวยพรให้เราโชคดีกับการเดินทางเพื่อกลับโลกภายนอก

หากเราเล่น Genocide Route เราจะใช้เพียงการโจมตีเดียวก็สามารถสังหารทอเรียลได้ทันที เป็นการอุปมาถึงความโหดเหี้ยมของคาร่าที่ฟื้นคืนขึ้นมาอีกครั้ง

เมื่อเดินออกจากประตูมาจะพบกับฟลาววี่ที่รอเราอยู่ ตรงนี้ หากในการต่อสู้กับทอเรียลเราเผลอฆ่าเธอไปแล้วโหลดเซฟกลับมาแก้ไขเพื่อไว้ชีวิตเธอได้ ฟลาวลี่จะบอกว่าเขารู้ถึงสิ่งนั้น เขารู้ว่าเราใช้พลังในการ Save และ Load ของเราในการแก้ไขอดีต และสักวันเขาจะช่วงชิงพลังนั้นคืน เป็นการบอกใบ้ว่าแม้ฟลาววี่จะสูญเสียความสามารถในการใช้พลังนั้นไป แต่เขาก็ยังรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นหากมีคนใช้พลังนี้ด้วยนั่นเอง (หรือก็คือ ทุกอย่างที่เราทำ ต่อให้เราโหลดเซฟกลับมาแก้ไข ฟลาววี่ก็จะรู้อยู่ดี) จากนั้นเราจะออกมาจาก The Ruin ได้สำเร็จ พร้อมกับประตูที่ปิดตายอยู่เบื้องหลัง เป้าหมายของเราตอนนี้คือการหาทางออกจากโลกใต้พิภพ และกลับออกไปยังโลกของมนุษย์

ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางไหน เราก็จะเดินทางออกจาก The Ruin ไปผจญภัยในโลกใต้พิภพอันกว้างใหญ่อย่างแท้จริงเสียที

To Be Continue…

ติดตามตอนต่อไปได้ที่ สรุปเนื้อเรื่องเกม Undertale ตอนที่ 2 : โลกของเหล่ามอนสเตอร์