บทสรุปเนื้อเรื่องนี้จะเขียนให้รูปแบบ Chronologically คือเรียงตามไทม์ไลน์ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่จากลำดับการเล่นในเกมหรือสิ่งที่ตัวละครรับรู้นะครับ เนื่องจากเชื่อว่าการเขียนลักษณะนี้จะครอบคลุมเนื้อหาและรายละเอียดได้มากกว่า และแน่นอนว่าสปอยล์หนักหน่วงมาก ใครที่ยังไม่ได้เล่นหรืออยากเสพย์เนื้อเรื่องของเกมซีรี่ส์นี้ด้วยตัวเองก่อนก็ระวังกันด้วยนะครับ

สำหรับสรุปนี้จะเป็นตอนที่ 1 ของซีรี่ส์ สรุปเนื้อเรื่องจักรวาลเกม Nier Automata นะครับ  ซึ่งจะเป็นเรื่องราวใน Nier ภาคแรกและที่มาที่ไปก่อนจะนำไปสู่เหตุการณ์ในเกม Nier Automata นะครับ ใครที่สนใอยากรู้เรื่องราวเฉพาะใน Nier Automata สามารถข้ามไปอ่านได้ที่ลิ้งค์นี้เลยครับ สรุปเนื้อเรื่องจักรวาลเกม Nier Automata ตอนที่ 2 : เรื่องราวของ Nier Automata

เอาล่ะ ถ้าพร้อมแล้วก็มาเริ่มกันเลย

วันที่ 12 มิถุนายน ปี 2003 ได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นใจกลางย่านชินจูกุ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อสิ่งมีชีวิตลึกลับขนาดยักษ์ปรากฏตัวขึ้นจากฟากฟ้า พร้อมกับมังกรสีแดงหนึ่งตัวและมนุษย์ที่เป็นเหมือนผู้ควบคุมมังกรตัวนั้น พวกมันได้ทำการต่อสู้กันจนในที่สุด สิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ก็พ่ายแพ้ ร่างกายของมันแตกสลายเป็นสสารที่เสมือนโซเดียมคลอไรด์ฟุ้งกระจายหายไปในอากาศ ไม่รอช้า ทางกองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่นก็ยิงมิสไซล์ใส่มังกรสีแดงจนถึงแก่ชีวิต ส่งผลให้ร่างของมันตกลงบนโตเกียวทาวเวอร์ ก่อนจะถูกทางรัฐบาลญี่ปุ่นนำไปตรวจสอบและทดลองต่อในเวลาต่อมา

เหตุการณ์นี้คือฉากจบ E ของเกม Drakengard ภาคแรก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดในจักรวาลของซีรี่ส์ Nier หลายคนอาจจะงงๆ เพราะมันดูมีความเมากาวนิดหน่อย แต่ก็อยากให้รู้ถึงเหตุการณ์นี้ไว้เพราะสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาล้วนแล้วแต่เป็นผลจากเหตุการณ์นี้ทั้งสิ้น

เหตุการณ์ดังกล่าวถูกตั้งชื่อว่า 6-12th Incident ตามวันที่ของเหตุการณ์ เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดความอลหม่านไปทั่วโลก แม้ทางรัฐบาลญี่ปุ่นจะพยายามปกปิดเรื่องนี้ แต่คลิปและรูปภาพของเหตุการณ์ที่แพร่กระจายไปทั่วโลกก็ทำให้เกิดกระแสมากมาย มีการจัดการประชุมระดับนานาชาติขึ้นที่ญี่ปุ่นเพื่อหารือ หลายประเทศเริ่มเคลื่อนไหวต่อเหตุการณ์นี้เนื่องด้วยความกังวลต่อความมั่นคงของชาติ

ต่อมาในเดือนกันยายนของปีเดียวกัน ได้เกิดโรคระบาดปริศนาขึ้นในย่านชินจูกุ ในชื่อ White Chlorination Syndrome ขอเรียกย่อๆ ว่า WCS

อาการของโรค WCS นี้จะทำให้ผู้ป่วยค่อยๆเกิดอาการคลุ้มคลั่งมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดผู้ป่วยจะพบกับผลลัพธ์ที่เป็นไปได้สองอย่าง อย่างแรกคือร่างกายของผู้ป่วยค่อยๆ แปรสภาพไปเป็นสสารที่เหมือนกับโซเดียมคลอไรด์และแตกสลายไป คล้ายคลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ในเหตุการณ์ 6-12th Incident กับอย่างที่สอง คือร่างกายของผู้ป่วยจะค่อยๆ แปรสภาพไปเป็นสิ่งมีชีวิตสีขาวโพลนที่มีพละกำลังเหนือมนุษย์ สูญเสียสติสัมปชัญญะ เข้าทำร้ายและสังหารมนุษย์ไม่เลือกหน้า เราเรียกสิ่งมีชีวิตนี้ว่า The Legion

จุดเริ่มต้นของหายนะ

โรค WCS แพร่ระบาดจากพื้นที่ชินจูกุไปทั่วญี่ปุ่น และขยายออกไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก พร้อมๆ กับการปรากฏตัวของ Legion ที่มากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นปัญหาระดับโลก

ในปี 2010 ศูนย์วิจัยเหตุการณ์ 6-12th Incident ได้ตั้งทฤษฏี Multi-Origin Theory ขึ้น ว่าด้วยแนวคิดถึงการมีตัวตนของโลกคู่ขนาน โดยเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์และมังกรที่ปรากฏตัวขึ้นในเหตุการณ์ 6-12th นั้นต่างมาจากโลกคู่ขนานดังกล่าว ทฤษฏีนี้นำไปสู่ค้นพบการมีอยู่ของอนุภาคสีดำที่เชื่อว่ามาจากต่างมิติพร้อมๆกับเหตุการณ์ 6-12th Incident ในชื่อ Maso พวกเขาเชื่อว่าอนุภาค Maso นี่แหละที่เป็นต้นเหตุของโรค WCS แต่ถึงกระนั้น การค้นพบอนุภาค Maso นี้ก็นำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีในหลายสาขาเพื่อประยุกต์มันมาใช้งาน

ในปี 2014 โปรเจ็คต์ Gestalt ได้ถูกพัฒนาขึ้นโดยมีจุดประสงค์ในการควบคุมการระบาดของโรค WCS

โปรเจ็คต์ Gestalt เป็นโปรเจ็คต์ที่ว่าด้วยวิทยาการ Gestaltize คือกระบวนการแยก วิญญาณ ออกจากร่างกายของมนุษย์ผ่านเทคโนโลยี Maso แล้วจึงทำการคืนวิญญาณนั้นกลับสู่ร่างเดิมในภายหลังด้วยเทคโนโลยีเดียวกัน โดยในช่วงต้นนี้ แม้การทดลองใช้เทคโนโลยีจะประสบความสำเร็จ แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนเท่าไหร่นัก เนื่องจากความหวาดกลัวที่มีต่อความเสี่ยงในกระบวนแยกวิญญาณออกจากร่างกาย

ต่อมาในปีเดียวกัน เทคโนโลยี Maso ก็ทำให้มนุษย์ค้นพบวิธีการสร้างสสารใหม่ขึ้นเปล่าๆโดยไม่ต้องใช้วัตถุดิบ วิทยาการนี้ได้กลายเป็นการใช้เวทมนตร์ในจักรวาล Nier นั่นเอง

การรุกรานของ The Legion ได้ขยายตัวขึ้นไปสู่ระดับสงคราม ส่งผลให้ในปี 2018 ได้มีการก่อตั้งศูนย์วิจัยอาวุธและยุทโธปกรณ์แห่งชาติ (National Research Weapons Laboratory) สำหรับทดลองและผลิตอาวุธในการต่อกรกับ The Legion โดยมุ่งเน้นไปที่การนำเทคโนโลยี Maso มาประยุกต์ใช้กับร่างกายมนุษย์เพื่อพัฒนาขีดจำกัดทางการรบและการใช้เวทมนตร์

ในการทดลองนั้น พวกเขาได้รวบรวมเด็กกำพร้ามาใช้เป็นหนูทดลองโดยหลอกเด็กเหล่านั้นว่าที่นี่เป็นสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ในบรรดาเด็กเหล่านี้มีฝาแฝดอยู่คู่หนึ่ง คือ ฮาลัว (Halua) ผู้เป็นพี่สาว และ อีมิล (Emil) ผู้เป็นน้องชาย รวมอยู่ด้วย

ในปี 2025 การทดลองสร้างและใช้งาน Replicant ประสบความสำเร็จ โดย Replicant คือร่างกายมนุษย์เปล่าๆ ที่ถูกเพาะเลี้ยงจากข้อมูลทางพันธุกรรมของมนุษย์แต่ละคนเพื่อใช้เป็นภาชนะสำหรับใส่วิญญาณของมนุษย์ที่ถูกแยกออกจากร่างด้วยกระบวนการ Gestaltize

ความสำเร็จนี้ทำให้ความเสี่ยงและข้อครหาที่ประชาชนมีต่อโปรเจ็คต์ Gestalt ลดลงไปอย่างมาก เริ่มมีประชาชนที่ยอมรับและยินยอมเข้าร่วมโปรเจ็คต์ Gestalt มากขึ้นเรื่อยๆ

ในปี 2026 ที่ศูนย์วิจัยอาวุธและยุทโธปกรณ์แห่งชาติ ฮาลัวโดนจับให้เข้ารับการทดลองแปรสภาพร่างกายด้วยวิทยาการ Maso และประสบความสำเร็จ ฮาลัวกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพละกำลังและพลังเวทมนตร์ที่มหาศาล แต่ก็แลกมาด้วยร่างกายที่เปลี่ยนไปเป็นสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ที่มีแขนขาเหมือนโครงกระดูกและหัวกลมโตที่มีหน้าตาน่าสยดสยอง

ฮาลัวที่สูญเสียร่างกายมนุษย์และได้รับรู้ความจริงของศูนย์วิจัยแห่งนี้รับรู้ได้ทันทีว่าอีมิลอาจจะต้องถูกทดลองเป็นรายต่อไปจึงคลุ้มคลั่งและออกอาละวาด เธอทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในศูนย์วิจัย สังหารนักวิจัยทุกคนที่ปรากฏตรงหน้า ด้วยหวังว่าความวินาศนี้จะเปิดโอกาสให้อีมิลหนีออกไปจากศูนย์วิจัยนี้ แต่ก็สายไปเสียแล้ว เพราะอีมิลเองก็ได้รับการทดลองไปแล้วเช่นกัน ผลการทดลองทำให้ดวงตาของอีมิลกลายเป็นอาวุธที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาจ้องมองกลายเป็นหิน อีมิลถูกส่งมาเพื่อหยุดยั้งฮาลัว ในที่สุดร่างของฮาลัวก็กลายเป็นหิน และถูกขังไว้ที่ห้องลึกสุดของศูนย์วิจัย

เหตุการณ์อาละวาดของฮาลัวส่งผลให้การทดลองของศูนย์วิจัยอาวุธและยุทโธปกรณ์แห่งชาติหยุดชะงักลง

การดิ้นรนของมนุษยชาติ

ในปี 2030 มนุษย์ได้รับชัยชนะในสงครามกับ The Legion ทว่า โรค WCS ยังคงระบาดอย่างไม่หยุดยั้งและยังไม่มีหนทางในการรักษา จนกระทั่งปี 2532 ในที่สุดโปรเจ็คต์ Gestalt และโปรเจ็คต์ Replicant ก็ได้รับจากอนุมัติและดำเนินการกับประชาชนอย่างเป็นทางการ

อย่างที่บอกไปว่าโปรเจ็คต์ Gestalt คือการแยกวิญญาณของมนุษย์ออกจากร่างกายที่ติดเชื้อ WCS  ส่วนโปรเจ็คต์ Replicant คือการสร้างร่างมนุษย์ของแต่ละคนขึ้นมาอีกร่างเพื่อเป็นภาชนะใหม่ให้แก่วิญญาณนั้น โดยมีแนวทางในการรักษาการอยู่รอดของมนุษยชาติดังนี้

  1. แยกวิญญาณของมนุษย์ที่เข้าร่วมโครงการแล้วเก็บรักษาเอาไว้
  2. ให้เหล่าแอนดรอยด์ (Android) หุ่นยนต์รูปร่างเหมือนมนุษย์ที่ถูกผลิตขึ้นและบรรจุ A.I. ให้มีเป้าหมายเพื่อปกป้องมนุษยชาติและเฝ้าดูแลโปรเจ็คต์ Gestalt ให้ลุล่วง ทำการแยกอนุภาค Maso ส่วนที่ทำให้เกิดโรค WCS แล้วส่งมันกลับไปที่มิติเดิมของมันด้วยเทคโนโลยีจากอนุภาค Maso เอง
  3. เมื่อโลกปราศจากอนุภาค Maso ส่วนที่ทำให้เกิดโรค WCS แล้ว จึงนำวิญญาณของมนุษย์ที่เก็บเอาไว้มาบรรจุใส่ร่าง Replicant เป็นการเสร็จสิ้นโปรเจ็คต์ และนำมนุษยชาติกลับมาใช้ชีวิตอีกครั้ง

ในการนั้น แอนดรอยด์ฝาแฝดในชื่อรุ่น เดโวล่า และ โปโปล่า (Devola & Popola) ก็ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อให้เป็นผู้ดูแลและเตรียมเหล่า Replicant ให้สมบูรณ์พร้อมรับวิญญาณของมนุษย์ โดยจะถูกผลิตออกมาเป็นคู่ๆ แล้วส่งตามศูนย์ดูแล Replicant ทั่วโลก

ในขั้นต้น โปรเจ็คต์ทั้งสองถูกทยอยนำไปใช้กับพวกเศรษฐีหรือผู้มีฐานะก่อน

ปี 2033 ได้มีการริเริ่มโปรเจ็คต์ Grimoire เป็นโปรเจ็คต์ที่ว่าด้วยการบรรจุวิญญาณของมนุษย์ที่แยกออกมาด้วยกระบวนการ Gestaltize ลงในหนังสือที่เรียกว่า Sealed Book หรือ Grimoire โดยหนังสือ Grimoire พวกนี้ถูกสร้างด้วยวิทยาการ Maso เพื่อให้มีพลังเวทมนตร์มหาศาล มีทั้งหมด 13 เล่ม บรรจุวิญญาณของมนุษย์ 13 คน แต่มี 2 เล่มที่พิเศษกว่าเล่มอื่นและได้รับความสามารถในการพูดได้ คือ Grimoire Weiss กับ Grimoire Noir ทั้งสองเล่มจะเป็นเหมือนสวิตช์ฉุกเฉินสำหรับสิ้นสุดโปรเจ็คต์ Gestalt โดนเมื่อนำทั้งสองเล่มมาทำปฏิริยาตอบสนองกัน จะส่งผลให้วิญญาณของมนุษย์ทั้งหมดที่ถูกแยกด้วยกระบวนการ Gestaltize บรรจุเข้าสู่ร่าง Replicant ของพวกเขาโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องจับวิญญาณมาบรรจุใส่ร่าง Replicant ทีละคนตามวิธีปกติ

ปี 2049 ขณะที่โปรเจ็คต์ Gestalt ทยอยแยกวิญญาณมนุษย์ออกจากร่างกายที่ติดเชื้อ WCS ก็มีการค้นพบว่า วิญญาณของมนุษย์ที่ถูกแยกเก็บไว้นั้น มีโอกาสที่จะเกิดความไม่เสถียรและมีอาการบ้าคลั่งได้ เราเรียกอาการนี้ว่า Relapse

ในการนั้น พวกเขาจึงได้ทำการศึกษาและพบว่า การจะรักษาความเสถียรของวิญญาณมนุษย์ที่ถูกแยกมาเก็บไว้ได้จำเป็นต้องคอยป้อนอนุภาค Maso ที่มีความเสถียรสูงให้กับวิญญาณเหล่านั้น ซึ่งจะสามารถสกัดได้จากวิญญาณของมนุษย์ที่ถูกแยกด้วยกระบวนการ Gestaltize แล้วยังเข้มแข็งพอที่จะรักษาสภาวะทางสติสัมปชัญญะและร่างกายเสมือนมนุษย์ไว้ได้ (ปกติเมื่อวิญญาณถูกแยกจากร่างแล้ว ตัววิญญาณจะมีลักษณะเป็นเหมือนควันดำๆ มีแขนขาแต่ไม่สมส่วนซะทีเดียว แต่วิญญาณที่ต้องการนี้จะมีหน้าตาเหมือนตอนมีร่างกายมนุษย์เลย)

ทางทีมวิจัยจึงได้บรรจุคำสั่งในการปฏิบัติการ Gestaltize ลงใน Grimoire Noir และสร้างเล่มก็อปปี้ของ Noir ที่มีคำสั่งเดียวกัน เพื่อให้ Noir กระจายกันออกไปทำหน้าที่ออกตามหามนุษย์ที่เหมาะสม แล้วจัดการ Gestaltize เพื่อแยกวิญญาณออกมาจากร่างได้ทันที โดยเราจะเรียกคนๆ นั้นว่า Original Gestalt

ชะตากรรมอันน่าเศร้าของเนียร์และโยนาห์

ไม่นานหลังจากเริ่มการค้นหา Grimoire Noir ก็ได้พบกับมนุษย์ที่เหมาะสมจะเป็น Original Gestalt ที่ซากของซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น มนุษย์คนนั้นก็คือ เนียร์ (Nier) พระเอกคนแรกของซีรี่ส์นี้นั่นเอง

เนียร์นั้นจะมีสองเวอร์ชั่น ขึ้นอยู่กับว่าเราเล่นตัวเกมภาคแรกในเวอร์ชั่นไหน ถ้าเราเล่นภาค Nier Gestalt ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษ ก็จะได้เนียร์เวอร์ชั่นแก่  แต่ถ้าเราเล่นภาค Nier Replicant ซึ่งเป็นภาษาญี่ปุ่น ก็จะได้เนียร์เวอร์ชั่นหนุ่ม ทั้งสองตัวละครคือตัวเดียวกัน เนื้อเรื่องของพวกเขาเหมือนกัน ต่างกับแค่อายุ และสถานะต่อโยนาห์ (Yonah) เด็กสาวที่มาด้วยกัน หากเป็นเนียร์หนุ่ม ก็จะเป็นพี่ชายของโยนาห์ หากเป็นเนียร์แก่ ก็จะเป็นพ่อของโยนาห์ (ประมาณว่าคนละจักรวาล แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเดียวกัน)

Grimoire Noir ได้พบกับเนียร์และโยนาห์ที่ซากของซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งขณะกำลังหนีจากวิญญาณของพวกมนุษย์ที่บ้าคลั่งจากการ Relapse โดย Noir ได้ยื่นข้อเสนอที่จะมอบพลังให้แก่เนียร์หากเขายอมเข้ารับการ Gestaltize ซึ่งสุดท้ายเนียร์ก็ยอม ทำให้วิญญาณของเนียร์แยกออกมาจากร่างกาย วิญญาณของเนียร์ยังคงหน้าตาเหมือนมนุษย์และมีสติสัมปชัญญะเหมือนปกติทุกอย่าง ทำให้เขากลายเป็น Original Gestalt โดยมี Grimoire ให้ยืมพลังเวทมนตร์ในการต่อสู้ ทว่า ทางด้านโยนาห์เองก็ดันไปทำ Gestaltize กับเล่มก็อปปี้ของ Grimoire Noir ทำให้วิญญาณของเธอเองก็แยกออกมาจากร่างกายด้วย วิญญาณของโยนาห์ที่อ่อนแอก็เกิดการ Relapse อย่างรวดเร็ว

ทางด้านทีมพัฒนาโปรเจ็คต์ Gestalt จึงได้ยื่นข้อเสนอให้กับวิญญาณของเนียร์ ว่าหากเขายอมทำหน้าที่ในฐานะ Original Gestalt ด้วยการถูกสกัดอนุภาค Maso มาใช้ป้อนให้กับวิญญาณของมนุษย์คนอื่นๆ ที่ถูกเก็บไว้เพื่อป้องกันการ Relapse จนกว่าโปรเจ็คต์ทั้งหมดจะลุล่วง (ก็คือโลกปราศจาก WCS และพร้อมที่จะให้เหล่าวิญญาณบรรจุเข้าสู่ Replicant ของตน) ทางทีมพัฒนาก็ช่วยยื้อวิญญาณของโยนาห์เอาไว้ด้วยเทคโนโลยีการจำศีล แล้วพอถึงวันที่โปรเจ็คต์ทั้งหมดลุล่วง ทั้งเขาและโยนาห์ก็จะได้รับการบรรจุเข้าสู่ Replicant ของตัวเอง และได้ใช้ชีวิตใหม่อีกครั้งพร้อมๆ กับมนุษยชาติในอนาคต ซึ่งแน่นอนว่าเนียร์ก็ตอบตกลง

และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวใน Nier ภาคแรก

หลังจากที่เนียร์ตอบตกลงในการเป็น Original Gestalt แล้ว โปรเจ็คต์ Gestalt ก็เริ่มเข้าสู่ช่วงดำเนินการอย่างเป็นทางการ โยนาห์เข้ารับกระบวนการจำศีล ส่วนเนียร์ก็ต้องคอยใช้อนุภาค Maso จากร่างวิญญาณของตนคอยป้อนให้กับเหล่าวิญญาณมนุษย์ที่ถูกเก็บไว้เพื่อป้องกันการ Relapse มนุษย์ที่เหลืออยู่ก็ทยอยเข้ารับการ Gestaltize ไปเรื่อยๆ จนในที่สุด โลกก็เหลือเพียงแอนดรอยด์และเหล่า Replicant ที่อาศัยอยู่ตามศูนย์ต่างๆ ในลักษณะของเมืองหรือหมู่บ้าน

ผ่านไปเกือบๆพันปี ช่วงต้นปี 3000 ก็เกิดปัญหาขึ้น เมื่อเหล่า Replicant ค่อยๆ ทยอยพัฒนาสติสัมปชัญญะ มีความรู้สึกนึกคิดและบุคลิกภาพเป็นของตนเองทีละคนๆ (อย่างที่บอกไปว่า Replicant นั้นควรจะเป็นเหมือนร่างเปล่า เพื่อเป็นภาชนะรองรับวิญญาณของมนุษย์) สิ่งนี้ทำให้เหล่าแอนดรอยด์วิตกกังวลเป็นอย่างมากโดยเฉพาะบรรดาเดโวล่าและโปโปล่าที่รับหน้าที่ดูแลเหล่า Replicant ทั้งหลาย เนื่องจากเหตุการณ์นี้อาจทำให้เกิดปัญหาในกระบวนการบรรจุวิญญาณของมนุษย์เข้าสู่ร่าง Replicant ได้ แม้เดโวล่าและโปโปล่าส่วนใหญ่จะตัดสินใจจะดูแลเหล่า Replicant ไปตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้ Replicant รับรู้ถึงโปรเจ็คต์ Gestalt แต่ก็มี Replicant บางส่วนที่เริ่มออกไปสร้างอารยธรรมของตัวเองที่ปราศจากการดูแลจากแอนดรอยด์

ลางร้ายที่เริ่มก่อตัว

ในปี 3288 หลังจากเวลาผ่านไปเกือบพันปี ในที่สุดอนุภาค Maso ที่ทำเกิดให้โรค WCS ก็หมดไปจากโลกอย่างสมบูรณ์ ตลอดจนสามารถกำจัดพวก Legion ที่เหลืออยู่ได้จนหมด โลกเข้าสู่สภาวะที่พร้อมให้มนุษยชาติกลับมาใช้ชีวิตต่อแล้ว

เหล่าแอนดรอยด์ได้ทำการปลุกวิญญาณของมนุษย์ทั่วโลกขึ้นมาเพื่อเตรียมการบรรจุเข้าสู่ Replicant ของพวกเขา ทว่าด้วยความที่ Replicant ส่วนใหญ่มีสตินึกคิดเป็นของตัวเองแล้ว ทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านขึ้นระหว่างวิญญาณและ Replicant ของคนนั้นๆ ส่งผลให้วิญญาณทั้งหลายเกิดการ Relapse ขึ้นแม้จะได้รับการป้อนอนุภาค Maso จากวิญญาณของเนียร์ที่เป็น Original Gestalt ก็ตาม ส่วนร่างกายพวก Replicant เองก็ค่อยๆ เสื่อมสภาพ เกิดเป็นปานดำตามร่างกาย โรคนี้ถูกเรียกว่า Black Scrawl เมื่อถึงจุดหนึ่ง Replicant คนนั้นก็จะตายลง ซึ่ง Replicant ของโยนาห์ ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่เป็นโรคนี้

เหล่าวิญญาณของมนุษย์ที่เกิดอาการ Relapse คุ้มคลั่งและออกอาละวาด ร่างวิญญาณของพวกเขาค่อยๆ กลายสภาพเป็นสัตว์ประหลาดที่ไร้การควบคุม เหล่า Replicant ที่ไม่รู้เรื่องโปรเจ็คต์ Gestalt และตัวตนที่แท้จริงของสัตว์ประหลาดเหล่านี้ได้ตั้งชื่อพวกมันว่า Shade ขณะที่ทางเดโวล่าและโปโปล่าทั้งหมดก็ยังไม่ยอมบอกความจริงพวก Replicant เพราะกลัวว่าจะยิ่งทำให้พวก Replicant แตกตื่น

ปี 3361 สถานการณ์ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ วิญญาณของเนียร์ที่เป็น Original Gestalt ในตอนนั้นเห็นท่าไม่ดี กังวลว่าหากเป็นแบบนี้การบรรจุวิญญาณของโยนาห์เข้าสู่ร่าง Replicant ของตัวเองอาจจะล้มเหลวได้ จึงร่วมมือกับเดโวล่าและโปโปล่าคู่หนึ่งที่ดูแลศูนย์ที่ Replicant ของเนียร์และโยนาห์อาศัยอยู่ วางแผนในการใช้ปฏิกิริยาระหว่าง Grimoire Weiss และ Grimoire Noir ในการบังคับให้วิญญาณของมนุษย์ทั้งหมดถูกบรรจุเข้าสู่ร่าง Replicant โดยอัตโนมัติ

ในการนั้นพวกเขาจึงปลุก Grimoire Noir ขึ้นมาแล้วให้วิญญาณของเนียร์จับคู่กับ Grimoire Noir แล้วใช้ชื่อ Shadowlord เพื่อไม่ให้พวก Replicant รู้ตัวตนของเขา จากนั้นก็ให้เดโวล่าและโปโปล่าไปชี้นำร่าง Replicant ของเนียร์ ให้ไปปลุกและจับคู่กับ Grimoire Weiss ที่สูญเสียความทรงจำและตอนนี้ยังมีพลังเวทย์ไม่เพียงพอต่อการเกิดปฏิกิริยา ให้ออกผจญภัยเพื่อรวบรวม Sealed Verse เพื่อฟื้นคืนความทรงจำและพลังเวทย์ให้กับ Weiss โดยเดโวล่ากับโปโปล่าหลอก Replicant ของเนียร์ว่า การตามหา Sealed Verse เพื่อคืนพลังให้แก่ Weiss และปราบคนที่ชื่อ Shadowlord จะทำให้โรค Black Scrawl ที่ Replicant ของโยนาห์เป็นอยู่หายไป

นั่นก็คือ เนียร์ที่เราเล่นในเกมนั้น จริงๆแล้วคือ Replicant ของเนียร์ ในขณะที่วิญญาณของเนียร์ตัวจริงนั้นคือ Shadowlord ที่เป็นบอสใหญ่

Replicant ของเนียร์และ Weiss ออกเดินทางตามคำหลอกลวงของเดโวล่าและโปโปล่า ระหว่างทางก็ได้เพื่อนใหม่เป็น ไคเน่ (Kaine) นักรบสาวที่มีครึ่งร่างเป็น Replicant ครึ่งร่างเป็น Shade และอีมิล ที่สูญเสียความทรงจำและมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้

ตรงนี้จะเป็นเนื้อเรื่องของไคเน่ซึ่งถือไม่ได้ส่งผลต่อเนื้อเรื่องหลักเท่าไหร่ หากใครอยากข้ามไปเนื้อเรื่องหลักต่อก็ต่อไปย่อหน้าถัดไปได้เลย.

เรื่องราวของไคเน่

ไคเน่เป็น Replicant ที่อยู่ในหมู่บ้าน Aerie โดยร่างมนุษย์เดิมของเธอนั้นเป็นผู้หญิง ทว่าด้วยความผิดพลาดบางอย่าง ร่าง Replicant นี้จึงเป็น Intersex คือเป็นหน้าตา หน้าอก สัดส่วน เป็นผู้หญิงปกติ แต่กลับมีอวัยวะเพศชาย ทำให้ไคเน่ค่อนข้างถูกมองว่าเป็นตัวประหลาดในหมู่บ้านมาตั้งแต่เด็ก ทว่าเรื่องก็ยิ่งเลวร้ายลง เมื่อในวันหนึ่ง Kali คุณยายที่คอยดูแลเธอตลอดมา ได้ถูก Shade ที่ชื่อว่า Hook สังหาร ไคเน่ที่พยายามหยุดยั้งก็ถูก Hook ทำร้ายจนสูญเสียแขนและขาซ้ายไป ในตอนนั้นเองที่ Shade อีกตนที่ชื่อ Tyrann เข้ามาเสนอรวมร่างกับเธอ ทำให้เธอรอดและได้รับพลังเหนือมนุษย์มา แต่ก็แลกกับการที่ร่างกายของเธอจะค่อยๆ ถูกควบคุมโดย Tyrann ไปเรื่อยๆ

จากนั้นมาไคเน่ก็มีชีวิตอยู่เพื่อล้างแค้น Hook จนกระทั่งได้มาเจอกับ Replicant ของเนียร์ ทั้งสองช่วยกันล้ม Hook ได้สำเร็จ เพื่อตอบแทน ไคเน่ก็เลยร่วมเดินทางไปด้วยเพื่อช่วย Replicant ของเนียร์ในการตามหา Sealed Verse ตามฉะนี้แล

ถึงจุดหนึ่ง Shadowlord ก็หมดความอดทนกับแผนการนี้ เขาจึงเลือกที่จะลักพาตัว Replicant ของโยนาห์ไป และบังคับให้วิญญาณของโยนาห์บรรจุเข้าสู่ร่าง Replicant นั้น ส่วน Noir ก็พยายามเกลี้ยกล่อม Weiss ให้มาทำปฏิกิริยากับตนเองเพื่อให้ Shade บรรจุเข้าสู่ร่าง Replicant โดยอัตโนมัติ แต่ Weiss ไม่ยอมจึงเข้าปะทะกัน ส่งผลให้ Shadowlord และ Noir หนีไปก่อน ในเหตุการณ์นั้น อีมิลจำใจต้องใช้ดวงตาของตนทำให้ไคเน่กลายเป็นหินพร้อมๆ กับบานประตูที่อยู่ข้างหลังเธอเพื่อปิดผนึก Shade ขนาดยักษ์ที่ถูก Shadowlord ส่งมา

การต่อสู้เพื่อทวงคืนคนสำคัญ

5 ปีหลังจากเหตุการณ์ที่ Replicant ของโยนาห์โดนจับตัวไป ในปี 3366 Replicant ของเนียร์และ Weiss ได้ออกเดินทางเพื่อตามหา Shadowlord อีกครั้ง ในการนั้น อีมิลได้ขอร้องให้เนียร์ช่วยพาเข้าตะลุยเข้าไปในซากของศูนย์วิจัยอาวุธและยุทโธปกรณ์แห่งชาติ ด้วยหวังว่าจะหาทางทำให้ไคเน่หายจากการเป็นหินได้ ที่นั่น อีมิลได้พบกับร่างของฮาลัวที่ถูกขังไว้อยู่ ทำให้ความทรงจำของอีมิลกลับคืนมา อีมิลรวมร่างตัวเองเข้ากับฮาลัว ทำให้เขาได้รับพลังเวทย์มหาศาล แลกกับการที่ร่างกายของเขากลายเป็นเหมือนโครงกระดูกคล้ายๆกับร่างของฮาลัว ด้วยพลังเวทย์นั้น เขาก็ปลดปล่อยไคเน่จากการกลายเป็นหินได้สำเร็จ

เมื่อมากันพร้อมหน้าแล้ว ทั้งหมดก็ออกเดินทางเพื่อไปต่อสู้กับ Shadowlord

ที่ปราสาทของ Shadowlord นั่นเอง พวกเขาก็ได้พบกับเดโวล่าและโปโปล่า ทั้งสองได้คืนความทรงจำให้กับ Weiss ทำให้ทุกคนได้รับรู้เรื่องราวของโปรเจ็คต์ Gestalt ความจริงที่ว่าพวกเขาคือ Replicant และ Shadowlord ต่างหากคือวิญญาณของเนียร์ตัวจริง แต่ถึงกระนั้น Replicant ของเนียร์และพรรคพวกก็ปฏิเสธที่จะยอมให้เป็นไปตามแผนของเดโวล่าและโปโปล่า จึงเกิดการปะทะขึ้น สุดท้ายอีมิลก็ได้เสียสละตนเองเพื่อปกป้องพวกพ้อง ก่อนที่ภายหลังจะพบว่าเขารอดมาได้

Replicant ของเนียร์ และ Weiss เข้าปะทะกับ Shadowlord และ Noir สุดท้าย Weiss ได้เสียสละตัวเองทำลาย Noir ไปพร้อมๆกับตน เหตุการณ์นี้ทำให้แผนการที่จะบังคับให้วิญญาณของมนุษย์ที่ตอนนี้กลายเป็น Shade ถูกบรรจุเข้าสู่ร่าง Replicant ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในที่สุด

ทางด้านวิญญาณของโยนาห์ที่ตอนนี้อยู่ในร่าง Replicant ของตัวเอง เมื่อได้เห็น Replicant ของเนียร์ทำทุกอย่างเพื่อจะช่วย Replicant ของโยนาห์ จึงรู้สึกสงสาร และออกจากร่าง Replicant ด้วยตัวเอง เพื่อคืน Replicant ของโยนาห์ ให้แก่ Replicant ของเนียร์

จากตรงนี้ก็จะเป็นฉากจบของ Nier ภาคแรก ซึ่งผลลัพธ์หลังจากนี้จะแตกต่างกันไปตามแต่การเล่นของผู้เล่น แต่ฉากจบที่นำไปสู่ Nier Automata คือฉากจบ D

ในฉากจบ D นี้ หลังจากจบการต่อสู้กับ Shadowlord และ Replicant ของโยนาห์ได้กลับมาหา Replicant ของเนียร์แล้ว Tyrann ที่เป็น Shade ในร่างของไคเน่ก็เกิดอาการ Relapse อย่างรุนแรง และเนื่องจากร่างของไคเน่ไม่ใช่ Replicant ของ Tyrann จึงเกิดอาการต่อต้าน ส่งผลให้ไคเน่คลุ้มคลั่งและเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว หากปล่อยไว้เธอก็จะตาย Replicant ของเนียร์ตัดสินใจเสียสละชีวิตและการมีตัวตนของเขาเพื่อทำให้ไคเน่กลับกลายเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ซึ่งการกระทำนี้ นอกจาก Replicant ของเนียร์จะตายแล้ว ทุกคนที่รู้จักเขาจะลืมการมีอยู่ของเขาไปด้วย เสมือนว่าเขาไม่เคยมีตัวตนอยู่

เหตุการณ์นี้ไม่มีการอธิบายอย่างชัดเจนในเกมหรือแม้แต่นิยายของซีรี่ส์นี้ภาคไหนๆ ว่าจริงๆ มันคืออะไรยังไงกันแน่ แต่ก็คาดกันว่า Replicant ของเนียร์ได้ใช้พลังเวทย์จากตัวตนของเขาในมิตินี้ เพื่อบังคับให้ Tyrann ถูกบรรจุเข้าสู่ร่างของไคเน่อย่างสมบูรณ์แม้ทั้งสองจะไม่ใช่วิญญาณและ Replicant ของกันและกัน ทำให้ไคเน่ได้กลายเป็นมนุษย์จริงๆ

หลังจากนั้นไคเน่ก็ใช้ชีวิตอยู่กับ Replicant ของโยนาห์ ก่อนจะได้พบกับอีมิลที่รอดมาได้เช่นกัน โดยต่อจากนี้จะเป็นเนื้อเรื่องในนิยายภาค The Lost World หรือที่ถูกเรียกว่าฉากจบ E ซึ่งเป็นส่วนต่อเติมจากฉากจบ D ที่กล่าวถึงไป หากใครอยากข้ามไปเนื้อเรื่องหลักต่อก็ต่อไปย่อหน้าถัดไปได้เลย

สรุปเนื้อเรื่องในนิยาย The Lost World

หลังจากเหตุการณ์ในฉากจบ D ของ Nier ภาคแรก ไคเน่ก็ได้พาโยนาห์กลับมาอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านเดิม อย่างที่รู้กันว่า Replicant ของเนียร์ได้เสียสละการมีตัวตนของเขาเพื่อทำให้ไคเน่และ Tyrann รวมร่างกันอย่างสมบูรณ์และทำให้เธอได้กลายเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง ในตอนนี้จึงไม่มีใครจำการมีตัวตนอยู่ของ Replicant ของเนียร์ได้เลย ทั้งโยน่าห์ ไคเน่ หรือใครก็ตาม ไคเน่จำได้เพียงแต่ว่าเธอบุกไปปราบ Shadowlord และช่วยเด็กที่ชื่อโยน่าห์มา แต่เธอทำไปเพราะอะไร และนอกจากอีมิลแล้วใครอีกคนที่ร่วมต่อสู้กับเธอ เธอกลับนึกไม่ออกเลย

หลังจากนั้นเป็นต้นมาไคเน่ก็ฝันร้ายถึงเรื่องนี้ทุกคืน เธอรู้สึกเสมอว่ามีใครบางคนที่สำคัญกับเธอมากแต่เธอกลับนึกไม่ออกว่าเป็นใคร ฝันร้ายนี้ทำให้เธออยู่ไม่เป็นสุข เธอจึงหาทางระบายความเครียดด้วยการเดินทางไปยัง Forest of Myth (เป็นแอเรียหนึ่งในเกม) เพื่อหา Shade มาฆ่าเล่น….

เมื่อมาถึง เธอกลับพบว่า Forest of Myth ได้มีสายไฟฟ้าระโยงระยางเต็มไปหมด ป่าทั้งป่ากลับกลายเป็นเหมือนเครื่องจักรไปซะครึ่ง เมื่อเดินสำรวจเข้าไปเธอก็ได้พบกับต้นไม้ที่เป็นเหมือนศูนย์กลางของเครื่องจักรนี้ ที่นั่น สายไฟต่างๆได้รวมตัวพัวพันกันก่อเป็นร่างของเด็กหนุ่มคนนึง เขาบอกกับไคเน่ว่าเขาคือ Overseer (ผู้เฝ้ามอง)

แท้จริงแล้ว ที่ใจกลางของ Forest of Myth แห่งนี้ เคยเป็นศูนย์วิจัยอนุภาค Maso และเป็นศูนย์กลางการดำเนินโปรเจ็คต์ทุกอย่างที่เกี่ยวกับกับ Maso ซึ่งก็รวมถึงโปรเจ็คต์ Gestalt และ Replicant ด้วย ตลอดเวลาที่ผ่านมา ที่นี่เป็นทั้งโรงงานผลิต Replicant และสถานที่ป้อนอนุภาค Maso เสถียรจาก Original Gestalt เข้าสู่วิญญาณของมนุษย์ที่ถูกเก็บมาตลอด โดยมี Overseer ผู้เป็นวิญญาณของมนุษย์ที่ถูกบรรจุใส่เครื่องจักร(เหมือนกับพวก Grimoire ที่ถูกบรรจุใส่หนังสือ) เป็นผู้ดูแลการทำงานของที่นี่

แต่ก็อย่างที่รู้กัน มาถึงตอนนี้ โปรเจ็คต์ Gestalt ได้ล้มเหลวลงแล้ว Original Gestalt หรือ Shadowlord ได้ตายไป ก็เท่ากับว่าไม่มีอนุภาค Maso เสถรียรมาป้อนให้กับวิญญาณมนุษย์ที่กำลัง Relapse อีก Grimoire Weiss กับ Noir ก็ถูกทำลายไปแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องสร้าง Replicant เพิ่มอีก เมื่อเห็นดังนั้น Overseer จึงสรุปได้ว่าโลกนี้ไม่มีอนาคตอีกต่อไปแล้ว ทั้งตัวเขาและศูนย์วิจัยแห่งนี้ก็ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป ศูนย์วิจัยแห่งนี้จึงเข้าสู่ Shut Down Sequence หรือกระบวนการปิดตัวเอง

ทว่า Overseer กลับรู้ถึงเหตุผลที่ไคเน่มาที่นี่ เค้าได้บอกไคเน่ว่าเค้าจะตอบคำถามของไคเน่ให้ว่า “คนสำคัญ” ที่ไคเน่นึกไม่ออกนั้นคือใคร จากนั้นเค้าก็สร้างเครื่องจักรที่มีหน้าตาเหมือนไคเน่ออกมาต่อสู้กับไคเน่ ในตอนนั้นเองที่อีมิล ซึ่งรอดชีวิตมาจากเหตุการณ์การต่อสู้กับเดโวล่าและโปโปล่า ปรากฏตัวออกมาพอดี อีมิลได้เข้าช่วยเหลือไคเน่ในการต่อสู้จนสามารถเอาชนะเครื่องจักรนั้นลงได้ พร้อมกับทำลายต้นไม้ที่เสมือนเป็นศูนย์กลางการทำงานของป่าแห่งนี้

การทำลายนั้นทำให้ Overseer พึงพอใจมาก เพราะมันพิสูจน์ว่า Replicant อย่างไคเน่สามารถพัฒนาศักยภาพให้สามารถใช้พลังเวทย์มนตร์ได้ถึงเพียงนี้ ก่อนที่จะหายไปพร้อมๆกับป่าทั้งหมด

ในตอนนั้นไคเน่เหมือนเข้าไปสู่นิมิตหนึ่ง เธอได้พบกับ “คนสำคัญ” คนนั้นที่เธอนึกไม่ออก เค้าพยายามห้ามไม่ให้เธอเข้าใกล้ แต่ครั้งนี้ไคเน่จะไม่ยอมเสียคนที่สำคัญสำหรับเธออีกต่อไปแล้ว เธอเอื้อมมือไปคว้าร่างนั้น พร้อมกับได้ยินเสียงกระซิบว่า “ฉันขอฝากหนุ่มน้อยคนนี้ไว้กับเธอละกัน”

ไคเน่ได้สติกลับมีกครั้ง คราวนี้เธออุ้มร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งไว้ พร้อมกับอีมิลที่เข้ามาหาด้วยความยินดี ใช่แล้ส เด็กคนนั้นคือ Replicant ของเนียร์นั่นเอง ดูเหมือนว่าก่อนที่จะศูนย์การวิจัยแห่งนี้จะปิดตัวเองอย่างสมบูรณ์ Overseer ได้มอบคำสั่งให้สร้าง Replicant ของเนียร์ขึ้นมาใหม่ด้วยข้อมูลดั้งเดิมที่มีอยู่ นั่นจึงทำให้ Replicant ของเนียร์ที่เกิดมานั้น เกิดมาเป็นสภาพตอนยังเป็นเด็กกว่าในเกม

แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับไคเน่และอีมิล จากนั้นทั้งสามรวมถึงโยน่าห์ ก็ได้ชีวิตอยู่ร่วมกันไปอีกสักพัก ก่อนที่ทุกคนจะค่อยๆตายจากไป เหลือเพียงอีมิลคนเดียวที่เป็นอมตะ

จุดจบของมนุษยชาติ

เหตุการณ์ทั้งหมดในเกม Nier ภาคแรกที่กล่าวถึงไปทั้งหมดนี้ได้นำไปสู่จุดจบของโปรเจ็คต์ Gestalt เนื่องจาก Grimoire Weiss และ Grimoire Noir ได้ถูกทำลายไปเรียบร้อย จึงไม่สามารถใช้ปฏิกิริยาจากทั้งสองเล่มในการบรรจุวิญญาณของมนุษย์ที่ตอนนี้กลายเป็น Shade ทั้งหมดเข้าสู่ Replicant ได้อีกต่อไป เหล่า Replicant ก็ค่อยๆ ล้มตายลงด้วยโรค Black Scrawl ไปเรื่อยๆ เหล่าแอนดรอยด์และเดโวล่ากับโปโปล่าตัวที่เหลืออยู่ต่างก็จนปัญญาในการทำให้โปรเจ็คต์ Gestalt ดำเนินต่อไปได้ สิ่งสุดท้ายที่พวกเขาทำได้ คือการส่งข้อมูลทางพันธุกรรมและผลการวิจัยจากทั้งโปรเจ็คต์ Gestalt และ Replicant ขึ้นไปบนศูนย์จัดเก็บข้อมูลบนดวงจันทร์

ในตอนนั้นเหล่าแอนดรอยด์ต่างพากันโทษว่าเป็นความผิดของโมเดลเดโวล่าและโปโปล่าที่เป็นผู้ดูแลศูนย์ Replicant แม้เดโวล่าและโปโปล่าคู่ที่ทำพลาดจะตายไปแล้วจากเหตุการณ์ในเกมก็ตาม ทำให้เดโวล่าและโปโปล่าตัวอื่นๆ ที่เหลืออยู่โดนจับมารีโปรแกรมให้เกิดความรู้สึกผิดร่วมกันด้วยหวังว่าจะทำให้โมเดลเดโวล่าและโปโปล่าทั้งหลายไม่ทำผิดซ้ำสองอีก แต่พวกเขาก็ยังโดนรังเกียจและถูกกลั่นแกล้งโดยแอนดรอยด์ตัวอื่นๆ อยู่ดี

เวลาล่วงเลยผ่านไป จนในที่สุด ในปี 4198  Shade ตัวสุดท้ายหรือก็คือวิญญาณมนุษย์คนสุดท้าย ก็ได้ตายลง เท่ากับว่ามนุษยชาติได้สูญพันธ์ในที่สุด ไม่มี Replicant ไม่มีวิญญาณของมนุษย์หลงเหลือบนโลกอีกต่อไป เหลือเพียงเหล่าแอนดรอยด์… และอีมิลที่เป็นอมตะ

แต่ในตอนนั้นแอนดรอยด์ส่วนหนึ่งที่รับรู้ถึงการสูญพันธุ์ของมนุษยชาติ ได้ตกลงกันที่จะปกปิดความจริงนี้จากแอนดรอยด์ตัวอื่นๆ ด้วยกังวลว่าจะส่งผลต่อขวัญกำลังใจในการดำรงอยู่ของพวกเขา เนื่องจากแอนดรอยด์นั้นถูกสร้างขึ้นมาด้วยเป้าหมายในการปกป้องมนุษยชาติ

เป็นอันสิ้นสุดเหตุการณ์ที่ทั้งหมด ก่อนเรื่องราวใน Nier Automata จะเกิดขึ้น…

ติดตามต่อได้ที่ สรุปเนื้อเรื่องจักรวาลเกม Nier Automata ตอนที่ 2 : เรื่องราวของ Nier Automata

สรุปเนื้อเรื่องจักรวาลเกม Nier Automata ตอนที่ 2 : เรื่องราวของ Nier Automata