ถ้าจะบอกว่าหนังเรื่อง ‘Barbie’ ของค่าย Warner Bros. คือหนึ่งในหนังแห่งปี 2023 ก็คงไม่ใช่เรื่องเกินเลยอีกต่อไปแล้ว เพราะด้วยการที่ตัวหนังประสบความสำเร็จอย่างมาก ด้วยรายได้ Box Office ทั่วโลกกว่า 1,441 ล้านเหรียญ คะแนนนักวิจารณ์จากเว็บไซต์ Rotten Tomatoes สูงถึง 88% และล่าสุดยังเตรียมปักหมุดสายกล่อง ด้วยการมีชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำปี 2024 สูงที่สุดถึง 9 สาขา

แต่กว่าตุ๊กตาบาร์บี้ ของเล่นไอคอนแห่งบริษัทแมตเทล (Mattel) จะเดินทางสู่หนังที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดแห่งปีนี้ ในอดีต โปรเจกต์หนังเรื่องนี้ก็เคยติดอยู่ในลูปนรกแห่งการพัฒนา (Development Hell) มาก่อน และ ผู้ที่เคยเกี่ยวข้องกับโปรเจกต์นี้มาก่อนก็คือ นางเอกสาวตากลม แอนน์ แฮททาเวย์ (Anne Hathaway) ซึ่งเคยถูกวางตัวให้มาเป็นผู้สวมรองเท้าส้นสูงในหนังไลฟ์แอ็กชันฉบับของ Sony ก่อนที่โปรเจกต์นี้จะแท้งอย่างถาวร

เธอได้เปิดใจถึงบทบาทที่ไม่เคยได้เป็น และ ‘Barbie’ ฉบับที่ไม่ได้สร้างในพอดแคสต์ Happy Sad Confused ว่าการที่หนังเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น นับเป็นเรื่องโชคดี เพราะหนัง ‘Barbie’ ฉบับที่ลงมือกำกับและเขียนบทร่วมโดย เกรตา เกอร์วิก (Greta Gwerwig) และได้ มาร์โกต์ ร็อบบี (Margot Robbie) รับบทเป็นบาร์บี้นั้น สามารถไปถึงเป้าหมายที่เธอมองว่า เผลอ ๆ จะดีกว่าเวอร์ชันที่เธอเกือบจะได้แสดงเองเสียด้วยซ้ำ

“สิ่งที่น่าตื่นเต้นมาก ๆ สำหรับฉันก็คือสิ่งที่ทั้งผู้กำกับ (เกอร์วิก) และมาร์โกต์ รวมทั้งทีมงานทุกคนได้ทำมันขึ้นมา คือพวกเขาสามารถตีโจทย์ได้แตก ทำให้ทั้งโลกได้รู้สึกถึงความปีติยินดีนี้ คือถ้าหากว่าลองจินตนาการถึงเวอร์ชันนั้นนะคะ มันใช้พลังงานเยอะ มีความคาดหมายมากมาย เต็มไปด้วยอารมณ์อันท่วมท้น แต่ว่ามันไม่ใช่เวอร์ชันที่โอเคเท่าไหร่ จริง ๆ ฉันคิดว่าเป็นอะไรที่โชคดีแล้วล่ะค่ะที่มันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมา”

แฮททาเวย์ยังได้กล่าวชื่นชม 2 กำลังหลักของหนังเรื่องนี้ ทั้งเกอร์วิก และร็อบบี ที่สร้างผลงานอันยอดเยี่ยม ที่ช่วยสามารถโค่นล้มยักษ์ใหญ่ ที่เธอเปรียบได้กับการเหมารวม และมุมมองที่เป็นอุปสรรคของคนทั่ว ๆ ไปให้เห็นถึงความหลากหลายที่อยู่ในสังคมนี้ได้

“มาร์โกต์นี่เป็นคนที่เลิศมาก ๆ เลยค่ะ สิ่งที่เธอทำในฐานะบุคคลที่มีความคิดสร้างสรรค์ และโปรดิวเซอร์ที่น่าตื่นเต้นและสร้างแรงบันดาลใจอย่างมาก พวกเขาโค่นล้มยักษ์ใหญ่ที่หวงเรื่องราวเอาไว้ไม่ให้ผู้คนได้มีโอกาสพัฒนาด้วยหนัง (‘Barbie’) ของพวกเขา พวกเขามีพัฒนาการอันก้าวกระโดดที่จะก้าวข้ามสิ่งเหล่านั้นไปได้อย่างเฉิดฉาย”

เดือนเมษายน ปี 2014 บริษัท Mattel เจ้าของลิขสิทธิ์ตุ๊กตาบาร์บี้ ได้จับมือร่วมกับ Sony Pictures เพื่อร่วมพัฒนาโปรเจกต์หนังไลฟ์แอ็กชัน ‘Barbie‘ โดยก่อนหน้านั้นมีการคัดเลือกรายชื่อผู้กำกับและเขียนบทไว้แล้ว แต่สุดท้ายก็ได้ เดียโบล โคดี (Diablo Cody) มือเขียนบทเจ้าของรางวัลออสการ์จาก ‘Juno’ (2007) มารับหน้าที่เขียนบท

และวางตัว เอมี ชูเมอร์ (Amy Schumer) นักแสดงตลกมารับบทเป็นบาร์บี้ แค่สุดท้ายในปี 2016 หลังจากโดนวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่เหมาะกับบท และรวมทั้งความแตกต่างในด้านการสร้างสรรค์ ก็ทำให้ชูเมอร์ถอนตัวออกไป ส่วนโคดีเองก็ถอนตัวจากโปรเจกต์นี้เช่นกันเพราะมองว่าบาร์บี้นั้นไม่ใช่ตัวแทนที่เหมาะสมในการนำเสนอความเป็นสตรีนิยมสักเท่าไร

ปี 2017 โปรเจกต์ก็เริ่มเดินหน้าต่อ โดยได้ รวมทั้งได้แฮททาเวย์มารับหน้าที่เป็นบาร์บี้คนใหม่ และ Sony ได้ว่าจ้างให้ โอลิเวีย มิลช์ (Olivia Milch) มือเขียนบทจาก ‘Ocean’s 8’ (2018) และได้ อะเลเธีย โจนส์ (Alethea Jones) ผู้กำกับหญิงชาวออสเตรเลีย มารับหน้าที่กำกับ โดยมีกำหนดการฉายในช่วงฤดูร้อน หรือในเดือนกรกฎาคม ปี 2018

Barbie

แต่จนแล้วจนรอด โปรแกรมก็ต้องเลื่อนไปจนถึงปี 2020 พร้อมกับสิทธิ์ในการสร้างหนังของ Sony ที่หลุดลอยไปอยู่ที่ Warner Bros. ซึ่งทางสตูดิโอได้วางตัวให้ แพตตี เจนกินส์ (Patty Jenkins) ผู้กำกับเจ้าของผลงาน ‘Wonder Woman’ ทั้ง 2 ภาคมากำกับ ก่อนที่มาร์โกต์ และบริษัท LuckyChap Entertainment จะเข้ามาดูแลโปรเจกต์นี้ต่อ และดึงเอาเกอร์วิกมาร่วมเขียนบทและกำกับในที่สุด

แฮททาเวย์ยังได้กล่าวถึงแรงกระเพื่อมที่หนังเรื่องนี้ได้สร้างเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยมว่า “ในฐานะคนดูหนังคนหนึ่งเหมือนกัน และฉันเองก็เป็นผู้หญิงที่อยู่ในฮอลลีวูดมาตั้งแต่เด็ก ฉันรู้สึกตื่นเต้นกับพัฒนาการนี้มาก ๆ ฉันเชื่อว่าเวอร์ชันที่ฉัน (เกือบจะ) ได้แสดงก็คงจะทำเช่นนั้นได้ ซึ่งฉันอาจจะรู้สึกกับมันแตกต่างออกไป แต่ฉันเองคิดว่าหนังของพวกเขาเป็นเวอร์ชันที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้แล้วล่ะ พวกเขาทำให้ฉันรู้สึกตื่นเต้นและมีความสุขได้”

“ฉันเป็นคนที่ชอบเห็นผู้หญิงทำอะไรประสบความสำเร็จเหมือนกัน แบบว่าฉันรักมัน! ฉันอยากจะทำมัน! เพราะว่าฉันรักมัน! ลุยเลย! และทำผลงานออกมาได้ดีจนถึงขั้นทำลายสถิติแบบที่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ ฉันว่านี่แหละมันจะทำให้สิ่งต่าง ๆ มันดีขึ้นมาได้”


ที่มา: Entertainment Weekly, Deadline, Variety, Vanity Fair

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส