หลังจากที่ ‘Spider-Man’ (2002) ผลงานการกำกับของ แซม ไรมี (Sam Raimi) เข้าฉายเมื่อ 22 ปีที่แล้ว ตัวหนังได้ปรากฏการณ์เอาไว้มากมายหลังจากนั้น เพราะนอกจากจะประสบความสำเร็จอย่างสูงด้วยตัวเลขรายได้ทั่วโลก 821 ล้านเหรียญ ทำรายได้สูงที่สุดเป็นอันดับ 3 ของปีนั้น รวมทั้งคำวิจารณ์ที่เป็นไปในทางบวกทั้งในแง่เนื้อเรื่อง ฉากแอ็กชัน และวิชวลเอฟเฟกต์

รวมทั้งการแสดงของนักแสดงทั้ง โทบีย์ แม็กไกวร์ (Tobey Maguire) เจ้าของบท ปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ หรือสไปเดอร์-แมน และ เคิร์สเตน ดันสต์ (Kirsten Dunst) ที่ได้รับคำชมว่าเป็นคู่พระนางที่เคมีเข้าขาได้อย่างน่ารักถูกใจผู้ชม ทั้งหมดนี้นับเป็นการปูรากฐานความสำเร็จของแฟรนไชส์หนัง ‘Spider-Man’ ที่มีออกมาทั้งภาคต่อ และเวอร์ชันอื่น ๆ ออกมาอีกมากมาย จนกลายเป็นซูเปอร์ฮีโรที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในภาพยนตร์ และนับได้ว่าเป็น 1 ในแม่แบบของบรรดาหนังซูเปอร์ฮีโรในเวลาต่อมาด้วย

แต่แม้ว่าจะเป็น 1 ในปัจจัยความสำเร็จที่ทำให้แฟน ๆ ยังคงจดจำบทบาทของเธอได้อย่างแม่นยำ แต่นักแสดงสาวอย่างดันสต์ เจ้าของบท แมรี เจน วัตสัน (Mary Jane Watson) ที่กำลังจะอายุครบ 42 ปีในเร็ว ๆ นี้ ได้เปิดเผยในบทสัมภาษณ์ล่าสุดของนิตยสาร Marie Claire ว่า เธอเองก็มีส่วนที่ไม่ชอบในระหว่างการถ่ายทำหนังเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน นั่นก็คือการถูกทีมงานเรียกขานเธอแบบกึ่งแซวกึ่งเอ็นดูว่า แม่สาวน้อย (‘Girly-Girl’) ในกองถ่าย ทั้งที่ตอนถ่ายทำภาคแรกเธอจะมีอายุครบ 20 ปีแล้วก็ตาม และนั่นก็สร้างความอึดอัดให้กับเธอ

Kirsten Dunst and Tobey Maguire in Spider-Man

ดันสต์เล่าพลางทำเลียนเสียงทีมงานด้วยน้ำเสียงเข้ม ๆ “ฉันหมายถึง… คือเอาจริงมันก็เป็นเรื่องตลกแล้วล่ะนะตอนนี้ แต่ในกองถ่าย ‘Spider-Man’ ฉันเคยถูกเรียกว่า ‘แม่สาวน้อย’ ด้วยค่ะ ตอนที่ทีมงานคุยกันผ่าน ว. พวกเขาจะบอกกันว่า ‘เอาแม่สาวน้อยมาเข้าฉากหน่อยสิ'”

แม้จริง ๆ แล้วเธอเองจะเข้าวงการมาตั้งแต่วัยเด็ก และมีผลงานในวงการมามากมายพอสมควร แต่บรรยากาศในกองถ่าย และอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่ขับเคลื่อนโดยผู้ชาย และการเคลื่อนไหวทางสังคมที่เรียกว่า #MeToo ที่ทำให้คนในอุตสาหกรรมตระหนักถึงการเลือกปฏิบัติ และการละเมิดสิทธิ์ของคนทำงานทุกเพศมากขึ้น แต่ก่อนจะมาถึงวันนี้ เธอเองไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่าเก็บงำเอาไว้

“แต่ฉันไม่เคยได้พูดอะไรเลยนะ แบบว่า ‘อย่าเรียกฉันว่าแบบนั้นนะ’ แน่นอนว่ามันอาจจะดูน่ารักดีสำหรับคนบางคนนะคะ แต่คงไม่ใช่คนที่อยากจะเป็นศิลปินเหมือนกับที่ฉันอยากเป็น”

ก่อนที่เธอจะได้เป็นส่วนหนึ่งของไตรภาคสไปเดอร์-แมนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ดันสต์ตัดสินใจออดิชันบทนี้เพราะเธอทราบว่าแม็กไกวร์ได้รับเลือกให้เป็น ปีเตอร์ ปาร์กเกอร์แล้ว และเธอคิดว่าเขาจะทำให้เธอรู้สึกว่าหนังมีความเป็นหนังอิสระ มากว่าจะเป็นหนังบล็อกบัสเตอร์ เธอได้รับเลือกให้มารับบทเป็น แมรี เจน ก่อนจะเปิดกองเพียง 1 เดือน

แต่หลังจากหนังประสบความสำเร็จ เธอกลับเลือกที่จะเป็นนักแสดงที่ทำงานหลากหลาย รวมทั้งผู้กำกับหญิง มากกว่าเป็นดาราหนังที่ยึดติดกับคำว่าบล็อกบัสเตอร์อย่างเดียว เธอเล่าว่า ตอนยังเป็นนักแสดงวัยรุ่น เธอเคยเปิดอกคุยกับผู้จัดการถึงความไม่สบายใจบางอย่าง “ฉันรู้สึกเหมือนถูกจ้างมาเพราะว่าฉันอาจเป็นคนที่พวกเขาอยากจะนอนด้วยก็ได้นะ ฉันคิดว่านั่นอาจเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมฉันจึงย้ายไปทำงานกับผู้กำกับหญิงจำนวนมากตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะฉันไม่อยากจะต้องการที่จะรู้สึกแบบนั้น”

Kirsten Dunst and Tobey Maguire in Spider-Man

และนั่นก็น่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอไม่อยากใช้ประโยชน์จากชื่อเสียงของ ‘Spider-Man’ แต่ยังคงสนใจที่จะแสดงในหนังนอกกระแส ตั้งแต่ ‘Little Women’ (1994) ของผู้กำกับ กิลเลียน อาร์มสตรอง (Gillian Armstrong) และหลังจาก ‘Spider-Man’ เธอก็มีผลงานหนังนอกกระแสตามมา ทั้งการร่วมงานกับ โซเฟีย คอปโปลา (Sofia Coppola) ใน ‘Marie Antoinette’ (2006) และ ‘The Bling Ring’ (2013) ในยุคที่หนังซูเปอร์ฮีโรกำลังคืบคลาน “มันเป็นเพียงการเติบโตและการเคลื่อนย้ายไปยังสิ่งที่สื่อสารกับฉัน และฉันก็มักจะสำรวจมันด้วยหัวใจเสมอ”

แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้เธอปิดประตูหันหลังให้กับหนังซูเปอร์ฮีโรจากคอมิก เพราะเธอเองก็พร้อมที่จะกลับไปสู่โลกของหนังฮีโรอีกครั้งถ้ามันคุ้มค่ามากพอ เธอเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “ฉันอยากทำนะ แล้วทำไมฉันจะไม่ทำล่ะ ? น่าจะสนุกดีออก ฉันเองคงไม่ปฏิเสธอะไรแบบนั้นเด็ดขาด ถึงตอนนั้น ฉันคงเป็น แมรี เจน แก่ ๆ ที่มีลูกน้อยเป็นสไปดี้ไปแล้วก็ได้”

“แน่นอนค่ะ ถ้าได้ค่าตัวเยอะ ๆ น่ะนะคะ เพราะตอนนี้ฉันมีลูกแล้ว 2 คน และฉันก็ต้องเลี้ยงดูแม่ของฉันด้วย”