ถ้าพูดถึงหนังตลกซ้อนหนังสงครามที่จิกกัดวงการฮอลลีวูด ก็คงหนีไม่พ้น ‘Tropic Thunder’ (2008) ผลงานการกำกับ ร่วมเขียนบท และร่วมแสดงของ เบน สติลเลอร์ (Ben Stiller) ที่นอกจากจะแซวฮอลลีวูดทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังแบบแสบ ๆ คัน ๆ รวมทั้งล้อจริตหนังสงครามไปด้วยพร้อม ๆ กันแล้ว ตัวหนังก็ยังเต็มไปด้วยมุกบูลลีห่าม ๆ ตั้งแต่การล้อเลียนสีผิว เชื้อชาติ ความพิการ ร่างกาย ฯลฯ ที่กลายมาเป็นข้อถกเถียงถึงความเหมาะสมมาจนถึงทุกวันนี้

1 ในนักแสดงที่กลายมาเป็นข้อถกเถียงก็คงหนีไม่พ้นตัวละคร เคิร์ก ลาซารัส นักแสดงหนังแนว Method Acting ชาวออสเตรเลียเจ้าของ 5 รางวัลออสการ์ ที่อินกับการรับบทเป็น จ่าลินคอล์น โอไซริส (Sergeant Lincoln Osiris) ทหารผิวดำจนถึงขนาดทุ่มทุนด้วยการทำศัลยกรรมย้อมสีผิว ที่ตลกก็คือ บทบาทนี้ดันรับบทโดย โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ (Robert Downey Jr.) ที่ตีบทนักแสดงแนว Method แบบเพี้ยน ๆ จนได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมเป็นครั้งแรก (และกว่าจะได้รางวัลจริง ๆ อีกทีก็จากหนัง ‘Oppenheimer’ (2023) โน่นเลย)

ถ้าในแง่ของความเหมาะสม แน่นอนว่าดาวนีย์ จูเนียร์ ก็เคยออกมาปกป้องบทบาทนี้ของเขาว่ามันไม่ใช่แค่การเอาคาแรกเตอร์คนดำมาล้อเลียน แต่เป็นการหยิบเอาแนวคิด (Trope) บางอย่างที่มีมาอย่างยาวนาน และกลายมาเป็นแนวคิดที่ไม่ถูกต้องในเวลานี้มาเสนอ โดยเฉพาะการแสดงแบบ Blackface หรือการใช้คนผิวขาวมาแต่งหน้าเพื่อแสดงเลียนแบบท่าทางของคนดำ (ของฮอลลีวูดในอดีต) ต่างหาก

Danny McBride in Tropic Thunder

ส่วนในแง่ของฝีมือการแสดง คนหนึ่งที่ยืนยันในความเข้าถึงของดาวนีย์ จูเนียร์ ที่ต้องรับบทบาทอันแสนจะวุ่นวายนี้ได้อย่างอยู่หมัดก็คือ แดนนี แม็กไบรด์ (Danny McBride) ซึ่งเขารับบทเป็น โคดี อันเดอร์วูด (Cody Underwood) ผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิดในกองถ่ายหนังสงคราม Tropic Thunder ที่ดันผิดคิวไปกดระเบิดตอนที่ยังไม่ทันจะเดินกล้อง จนทำให้กองถ่ายเสียหายหลายล้านเหรียญ และนำไปสู่ไอเดียของผู้กำกับ ที่ล่อให้เหล่านักแสดงไปถ่ายหนังสงคราม ด้วยการผจญภัยเอาตัวรอดจากเครือข่ายค้ายาเสพติดกลางป่าแบบตัวจริงของแท้

แม็กไบรด์ได้มีโอกาสมาเล่าเบื้องหลังของหนังเรื่องนี้ และผลงานหลายเรื่องของเขาในคลิปสัมภาษณ์ของ GQ ซึ่งเขาได้มีโอกาสเล่าเบื้องหลัง ความรู้สึก และเกร็ดที่หลายคนอาจไม่รู้เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้

“จริง ๆ มันเป็นเวลาแค่ปีเดียวที่ผมได้เข้าฉากนั้นจริง ๆ ในกองถ่ายนั้นมันเหมือนกับค่ายดาราหนังเลย ผมหมายความว่ามันเป็นกองถ่ายที่ใหญ่โตมาก มีนักแสดงระดับเงินล้านที่ผมเคยเห็น แต่ไม่เคยเจอตัวจริงมาก่อน ผมเลยเหมือนได้มีชีวิตอยู่ท่ามกลางคนที่มีความสามารถและประสบความสำเร็จสุด ๆ และนั่นอาจเป็นช่วงชีวิตที่บ้าที่สุดของผมด้วย มันเหมือนว่าผมต้องรอมาปีหนึ่งน่ะ แล้วอีกปี ผมก็ได้อยู่ที่เกาะคาไว (Kauai, เกาะในรัฐฮาวาย) กับสติลเลอร์, แจ็ก แบล็ก (Jack Black) และ โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ เป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อมาก”

“ฉากเปิด (กองถ่าย) ในนั้นใช้เวลาถ่ายทำเกือบ 3 สัปดาห์ ผมต้องนั่งอยู่บนหอคอยนั่น 3 สัปดาห์และคอยดูทุกอย่างที่เกิดขึ้น ในขณะเดียวกัน เบนตอนนั้นที่ต้องรับบทเป็นคนแขนขาดเพราะโดนระเบิดไปแล้ว กำลังกำกับคน 500 คนด้วยท่าทาง (ทำท่าโบกแบบคนไม่มีแขน) มีเฮลิคอปเตอร์บินมาตรงที่เซ็ตระเบิดไว้ แล้วเขาก็ไม่มีแขนเลย เขาชอบตะโกนสั่งให้ย้ายของตรงนี้ เอาของไปไว้ตรงนั้น…”

“แล้ววิธีที่เขาจัดการกับสตูดิโอก็ตลกดีครับ คือสตูดิโอ (DreamWorks Pictures) จะให้โน้ต (ข้อแนะนำเกี่ยวกับหนัง) มาทุกวัน ผมจำได้ว่าสตูดิโอมักจะส่งข้อความให้ (สติลเลอร์) ประมาณว่า ‘เราต้องการช็อตกว้างกว่านี้’ หรือ ‘มันต้องตลกกว่านี้สิ นี่มันดาร์กไปแล้วนะ’ และเบนก็จะเอาข้อความพวกนั้น แล้วให้ตัวละครของ บิล เฮเดอร์ (Bill Hader, รับบทเป็น ร็อบ ผู้บริหารสตูดิโอในหนัง) เอาไปใช้พูดจริง ๆ ในหนังเพื่อล้อเลียนอีกที แล้วหลังจากนั้น โน้ต (จากสตูดิโอ) ก็เริ่มน้อยลง”

Robert Downey Jr. in Tropic Thunder

อีกเรื่องที่แม็กไบรด์เล่าก็คือ ความ Method แบบฮา ๆ ของดาวนีย์ จูเนียร์ ที่คุมคาแรกเตอร์เป็นนักแสดงสาย Method ผิวขาวที่ต้องปลอมแปลงและสวมคาแรกเตอร์เป็นคนผิวดำแบบห่วย ๆ ซึ่งนักแสดงออสการ์ตัวจริงก็ยังคงยึดคาแรกเตอร์ ไม่เว้นแม้แต่ตอนที่เขากำลังจะไปทำธุระในระหว่างพักกอง

“ผมจำได้ว่า ตอนที่ผมนั่งอยู่บนหอคอยอยู่ตรงนั้น แล้วผมต้องใส่หูฟัง (ที่เชื่อมต่อกับไมโครโฟนของนักแสดงและทีมงาน) ไว้ด้วย เพื่อจะได้เอาไว้คุยกับผม เพื่อที่ผมจะได้รู้ทิศทาง และรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

“และผมคิดว่าน่าจะเทคไหนสักเทคนี่แหละ พวกเขาลืมเปิดไมค์ของดาวนีย์ทิ้งไว้ แล้วผมก็แบบว่า ‘โอ้ ฉิบหาย… ผมได้ยินสิ่งที่เขาพูดอยู่นะเนี่ย’ ผมได้ยินเขาพูดคุยกับคน และก็สวมบท Method อยู่ตลอดเวลา จากนั้นผมก็เห็นเขาเดินกลับไปที่รถเทรลเลอร์ (รถที่พักนักแสดง)”

“แล้วผมก็ได้ยินเขาร้องเพลงว่า ‘กูจะเอางูไปปล่อยน้ำ กูจะเอางูไปปล่อยน้ำ…’ คือเขาแต่งเพลงขึ้นมาเพื่อที่เขาจะได้ฉี่ให้ตรงตามคาแรกเตอร์น่ะ ซึ่งไม่ได้มีประโยชน์กับใครเลยนอกจากตัวเขาเอง” (หัวเราะ)