ช่วงนี้หลายคนอาจพูดถึงความสำเร็จของผู้กำกับอย่าง เซอร์ คริสโตเฟอร์ โนแลน (Sir Christopher Nolan) ที่เพิ่งจะกลายเป็นผู้กำกับเจ้าของรางวัลออสการ์ แถมเพิ่งจะได้รับพระราชทานยศชั้นอัศวินอีกต่างหาก แต่อีกคนที่นับได้ว่าอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของเสด็จพ่อโนแลน ก็คงหนีไม่พ้นน้องชายแท้ ๆ ของเขาอย่าง โจนาธาน โนแลน (Jonathan Nolan) ที่อยู่เคียงข้างพี่ชายของเขามาโดยตลอด

โจนาธานเป็นเจ้าของผลงานหนังสั้นแนวทริลเลอร์ที่ภายหลังถูกนำมาดัดแปลงเป็นหนังสั้น ‘Memento Mori’ (2001) ที่เขาลงมือ ก่อนที่คริสโตเฟอร์จะนำมาดัดแปลงเป็นหนังยาว ‘Memento’ (2000) และโจนาธานก็ยังมีส่วนร่วมในฐานะผู้เขียนบทร่วมกับคริสโตเฟอร์ในหนังยุคแรก ๆ อีกหลายเรื่อง ไล่ไปตั้งแต่ จนไปถึง ‘The Prestige’ (2006) ทั้ง ‘The Dark Knight’ (2008) และ ‘The Dark Knight Rises’ (2012) และหนังไซไฟสุด Epic อย่าง ‘Interstellar’ (2014)

หลังจากนั้น โจนาธานเองก็เริ่มต้นหันมาสร้างงานของตัวเองมากขึ้น เขาเป็นครีเอเตอร์ร่วมของทีวีซีรีส์ ‘Westworld’ (2016–2022) ของ HBO และผลงานล่าสุดของเขาก็คือ การเป็นครีเอเตอร์ เขียนบท กำกับ และ Exclusive Producer ซีรีส์ดัดแปลงจากเกมชื่อดัง ‘Fallout’ ของ Prime Video ที่เล่าเรื่องราวในโลกอนาคตปี 2077 ที่ถูกระเบิดนิวเคลียร์ถล่ม

ในตอนล่าสุดของพอดแคสต์ ‘Armchair Expert with Dax Shepard’ โจนาธานได้มีโอกาสมาเล่าถึงการทำงานของเขา รวมทั้งเบื้องหลังการทำงานกับพี่ชายของเขาอย่างคริสโตเฟอร์ โดยเฉพาะเบื้องหลังกว่าที่ ไตรภาค ‘The Dark Knight’ จะกลายเป็นหนังซูเปอร์ฮีโรที่พลิกฟื้นชื่อของแบทแมน รวมทั้งจุดกระแสให้หนังซูเปอร์ฮีโร โดยเฉพาะของฝั่ง DC ให้เริ่มต้นขึ้น แต่ประวัติศาสตร์เหล่านั้นคงไม่เกิดขึ้น หากโจนาธานไม่สามารถกล่อมให้พี่ชายของเขาตัดสินใจให้มารับงานกำกับ ‘Batman Begins’ (2005) ได้สำเร็จ เพียงเพราะเขาไม่อยากจะกำกับหนังที่สร้างจากคอมิกให้เสียชื่อตัวเขาเอง

Christian Bale, Christopher Nolan, and Ken Watanabe in Batman Begins (2005)

“ผมตัดสินใจทำงานใน ‘Batman Begins’ เพราะว่ามันเป็นอะไรที่ใกล้ตัวผมมากเลยครับ เพราะผมเคยได้หนังสือคอมิกที่พี่ชายของผมเคยให้ผมตอนเด็ก ๆ นั่นก็คือ ‘Batman: Year One’ ที่ผมได้ตอนวันเกิดอายุ 14 ปี และ 10 ปีต่อมา ผมก็ได้ทำงานในกองถ่ายร่วมกับเขา มันเป็นอะไรที่บ้ามาก ๆ แต่คริสเองนี่แหละที่ลังเลที่จะกำกับหนังเรื่องใหม่ ผมคิดว่าเขาคงไม่อยากเป็นผู้กำกับหนังซูเปอร์ฮีโร”

ในระหว่างนั้น คริสโตเฟอร์ที่ไม่อยากจะกำกับหนังซูเปอร์ฮีโร กำลังมุ่งมั่นกับการกำกับหนังทริลเลอร์ในแบบที่เขาถนัด ซึ่งนั่นก็คือ ‘The Prestige’ นั่นเอง แต่จนแล้วจนรอด โจนาธานก็โน้มน้าวให้พี่ชายของเขามากำกับ ‘Batman Begins’ ด้วยแนวคิดที่น่าสนใจจนยากจะปฏิเสธ

“เราทั้งคู่ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงในการเล่าเรื่องต้นกำเนิด (ของแบทแมน) และมันก็ยอดเยี่ยมมาก แต่ (คริส) ก็ยังรู้สึกว่า ‘เราจะทำอะไรกับหนังเรื่องนี้ได้มากกว่านี้อีกบ้าง ? ‘ เราจะสามารถนำตัวละครตัวเดียวกันนี้ และเปลี่ยนให้มันมีความเป็นแนวอื่น ๆ เล็กน้อยได้ไหม ? เราจะเปลี่ยนจากหนังแนวผจญภัย ไปเป็นหนังอาชญากรรม ไปสู่หนังแนวมาเฟีย แล้วเอาความรู้สึกเหล่านั้นไปใส่ในหนังด้วยได้ไหม”

“ผมนั่งคุยกับ ชาร์ลส์ โรเวน (Charles Roven, โปรดิวเซอร์) และคริส และผมก็พูดกับคริสว่า ‘โธ่พี่ มาทำด้วยกันเถอะ อย่ามัวแต่ขี้ขลาดเลยน่า!'”

“และจนกระทั่งเริ่มต้นเขียนบท เขาเริ่มพัฒนาเรื่องกับ เดวิด เอส โกเยอร์ (David S. Goyer, ผู้เขียนบทร่วม) โดยได้ข้อมูลจากผมนิดหน่อย มันค่อยพัฒนาจากรายละเอียดในองก์แรก และองก์ที่ 2 ก็เริ่มมีรายละเอียดเยอะขึ้น จนกระทั่งเขาก็ผลักดันมันจนเสร็จ ผมรู้สึกว่า ‘นี่มันจะต้องเยี่ยมมากแน่ ๆ ‘ มันเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น และเราจะต้องได้ทำหนังเรื่องนี้ จนในที่สุดเราก็ได้ทำจริง ๆ เขาพยายามจัดการทุกอย่างเพื่อลบความคิดผิด ๆ นั้นออกไป”

หลังจากความล้มเหลวของ ‘Batman Forever’ (1995) กลายเป็นการหยุดชีพจรของแบทแมนในรังของ Warner Bros. เอาไว้ชั่วคราว จนกระทั่งโนแลน ที่เพิ่งจะเริ่มมีชื่อเสียงจากผลงาน ‘Memento’ ได้ตัดสินใจเข้ามากำกับหนังซูเปอร์ฮีโร แถมยังเป็นหนังระดับบล็อกบัสเตอร์เรื่องแรกของโนแลนอีกด้วย ซึ่งด้วยการนำเสนอเรื่องราวของซูเปอร์ฮีโรในรูปแบบหนังดราม่าทริลเลอร์ที่มีความซีเรียสจริงจัง ก็ส่งผลให้ ‘Batman Begins’ ประสบความสำเร็จทั้งในด้านคำวิจารณ์และรายได้

Christopher Nolan The Dark Knight

จนกระทั่งมีการสร้างภาคต่อออกมาอีก 2 ภาค ที่ยังได้รับกระแสตอบรับดีงามไม่แพ้กัน โดยเฉพาะใน ‘The Dark Knight’ ที่ ฮีธ เลดเจอร์ (Heath Ledger) ที่ฝากบทบาทโจ๊กเกอร์อันน่าประทับใจ ก่อนจะคว้ารางวัลออสการ์ สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมได้หลังจากเสียชีวิตในปีเดียวกัน

โนแลนได้มีโอกาสกล่าวถึงหนังเรื่องนี้ไว้ในหนังสือ ‘The Nolan Variations’ ที่เขาได้เปิดเผยว่า ส่วนหนึ่งที่ทำให้ไตรภาค ‘The Dark Knight’ ประสบความสำเร็จนั้น ส่วนหนึ่งก็มาจากจังหวะเวลาอันเหมาะสมด้วย

“ผมคิดว่า มันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับทั้งตัวผมเอง และแฟรนไชส์ Batman ที่จะทำการเล่าเรื่องใหม่ใสตอนนั้น เรื่องราวต้นกำเนิดก่อนที่เขาจะเป็น Batman นั้นยังไม่เคยถูกเล่าในฉบับภาพยนตร์มาก่อน หรือถูกเล่าอย่างชัดเจนในคอมิก นั่นก็เลยทำให้เราไม่ต้องกดดันที่จะต้องเล่าเรื่องให้เหมือนหรือต่างจากคอมิก ถ้าเปรียบเทียบกับ ‘Superman’ (1978) ที่แสดงโดย คริสโตเฟอร์ รีฟ (Christopher Reeve) และกำกับโดย ริชาร์ด ดอนเนอร์ (Richard Donner) ที่มีเรื่องราวชัดเจนมาก ๆ มันจึงเป็นโอกาสที่เหมาะสมที่ผมจะเล่าเรื่องราวนี้ในแบบฉบับของผมเอง”

“ข้อดีอีกอย่างในช่วงเวลานั้นก็คือ พวกเราสร้าง ‘Batman Begins’ ในแบบที่เราก็ไม่รู้ว่าจะได้สร้างภาคต่ออีกหรือไม่ เพราะเราเผื่อใจไว้พอสมควรว่าหนังอาจไม่ประสบความสำเร็จ นั่นเลยทำให้ทีมงานมีเวลามากพอสมควรที่จะค่อย ๆ สร้าง ‘The Dark Knight’ ในอีก 3 ปี และ ‘The Dark Knight Rises’ ในอีก 4 ปีถัดมา เราเต็มไปด้วยเวลาที่มีคุณภาพ และตอนที่หนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จ มันไม่ได้เพิ่มความกดดันมากขึ้นจนทำให้เราต้องกลายเป็นเครื่องจักรปั๊มเงินให้สตูดิโอ มันจึงเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมอย่างมาก”

แม้ในอดีต โนแลนจะเคยรู้สึกกึ่ง ๆ ดูแคลนหนังซูเปอร์ฮีโรจนเกือบจะปฏิเสธ แต่เมื่อเขาได้ตอบรับ และทำให้ไตรภาคหนังชุดนี้กลายเป็นปรากฏการณ์ของฮอลลีวูด ก่อนที่โนแลนจะหันไปกำกับหนังเรื่อง ๆ อื่นต่อ โจนาธานจึงแอบแง้มว่า แม้ตอนนี้โนแลนจะไม่อยากกลับไปกำกับหนังซูเปอร์ฮีโรอีกแล้ว แต่ลึก ๆ เขาก็มีความภาคภูมิใจกับไตรภาคนี้มาก แต่เขาเองกลับมองต่างออกไป

“สำหรับผม มันเหมือนกับว่าเราสร้างรถสปอร์ตเจ๋ง ๆ ขึ้นมาคันหนึ่ง และผมก็บอกว่า ‘ลองขึ้นไปขับดูสิ แล้วคุณจะไม่อยากสร้างคันใหม่อีกสักคันเหรอ ? ‘”