อย่างที่หลายคนคงทราบกันดีว่า แต่เดิมแล้วนั้น นักแสดงชายที่จะได้มารับบทเป็นอัศวินรัตติกาล หรือแบทแมนเวอร์ชันหนังไตรภาค ‘The Dark Knight’ ตั้งแต่ ‘Batman Begins’ (2005), ‘The Dark Knight’ (2008) และ ‘The Dark Knight Rises’ (2012) จากวิสัยทัศน์ของ เซอร์ คริสโตเฟอร์ โนแลน (Sir Christopher Nolan) นั้นเคยตกเป็นของนักแสดงอีกหลาย ๆ คน และ 1 ในนั้นก็คือนักแสดงหนุ่มเข้ม เจค จิลเลนฮาล (Jake Gyllenhaal) ก่อนที่บทบาทนี้จะตกเป็นของ คริสเตียน เบล (Christian Bale) อย่างที่ได้ประจักษ์กันในเวลาต่อมา

และในวาระที่นักแสดงวัย 43 ปี เพิ่งจะมีผลงานภาพยนตร์ ‘Road House’ ภาพยนตร์แอ็กชันเรื่องใหม่กับทาง Prime ที่เขารับบทเป็น เอลวูด ดาลตัน (Elwood Dalton) อดีตนักชก UFC รุ่นมิดเดิลเวตที่ต้องไปทำงานเป็นคนคุมบาร์ ที่ต้องปะทะกับกับนักกีฬา UFC ตัวจริงของแท้อย่าง คอเนอร์ แม็กเกรเกอร์ (Conor McGregor) ที่ฉายไปเมื่อวันที่ 21 มีนาคมที่ผ่านมา

โดยจิลเลนฮาลได้มีโอกาสมาให้สัมภาษณ์กับรายการวิทยุชื่อดัง ‘The Howard Stern Show’ โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับการที่เขา ที่ยังเป็นนักแสดงที่ยังไม่ได้แจ้งเกิดเต็มตัวในเวลานั้น เคยสูญเสียบทบาทสำคัญในรอบสุดท้ายของการออดิชันไปอย่างน่าเสียดาย เรื่องแรกก็คือการรับบทเป็น บรูซ เวย์น (Bruce Wayne) ใน ‘Batman Begins’ และก่อนหน้านั้น เขาก็เคยพลาดบทบาทสำคัญในหนัง มิวสิคัลดราม่า ‘Moulin Rouge!’ (2001) แต่นั่นก็ทำให้เขาได้เจอกับนักแสดงผู้ล่วงลับอย่าง ฮีธ เลดเจอร์ (Heath Ledger) อีกด้วย

“พอมาถึงจุดหนึ่ง นักแสดงจะต้องไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ที่พวกเขาจะต้องเข้ารับการทดสอบหน้ากล้อง (Screen Test) เพื่อลองใส่ชุดแบทแมน สิ่งที่ผมรู้สึกผิดหวังเมื่อผมไม่ได้รับบทนี้ มันเหมือนกับว่าทั้งผม ฮีธ และอีวานต่างก็มากันไกลขนาดนี้แล้วนะ นี่เป็นที่ที่ผมได้ยินเรื่องของฮีธเป็นครั้งแรก และในท้ายที่สุด พวกเขาก็ให้เราออกมาจากห้อง”

“เมื่อผมรู้ว่าผมไม่ได้บทนั้น มันทำให้ผมผิดหวัง ทั้งผมและฮีธต่างก็ผิดหวัง แต่นั่นมันเป็นบทของ อีวาน แม็กเกรเกอร์ ไปแล้ว สิ่งนี้ทำให้ผมเรียนรู้ในการพยายามที่จะลองทำอีกครั้ง ผมสามารถที่จะลองเข้าไปออดิชันได้อีกเพื่อที่จะได้รับบทบาทอื่น ๆ และผมก็ต้องเก็บรักษาความคิดนี้เอาไว้”

เดวิด เอส โกเยอร์ (David S. Goyer) ผู้เขียนบทร่วมให้กับ ‘The Dark Knight’ ทั้ง 3 ภาค เคยออกมาเปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า จิลเลนฮาลคือ 1 ในนักแสดงที่ได้มาร่วมออดิชัน และเขาเองก็สนับสนุนให้เขาได้รับบทนี้ แต่สุดท้าย บทบาทนี้ก็ตกเป็นของเบล ที่สามารถรับบทเป็น บรูซ เวย์น และอัศวินรัตติกาลที่มีความซับซ้อน และมีความสามารถในการต่อสู้แบบตัวต่อตัวได้อย่างสมบทบาท

Christopher Nolan The Dark Knight Trilogy

นอกจากจิลเลนฮานจะพลาดบทอัศวินรัตติกาลแล้ว ย้อนไปก่อนหน้านั้น ในวัย 21 ปี เขาเองก็ชวดบทบาท คริสเตียน นักเขียนหนุ่มชาวปาริเชียงในหนังมิวสิคัลดราม่า ‘Moulin Rouge!’ (2001) ของผู้กำกับ บาซ เลอห์มานน์ (Baz Luhrmann) ที่สุดท้ายบทนี้ก็ตกเป็นของ อีวาน แม็กเกรเกอร์ (Ewan McGregor) แต่นั่นก็ทำให้เขาได้พบกับนักแสดงอีกคนอย่าง เลดเจอร์ที่ชวดบทบาทในหนังเรื่องนี้ไปด้วยเช่นกัน

เลอห์มานน์เคยกล่าวถึงการออดิชันของทั้งจิลเลนฮาลและเลดเจอร์เอาไว้ในรายการเดียวกันว่า “เมื่อผมนึกถึงเจค จิลเลนฮาลที่ผมสนิทสนมมาก ๆ และเขาก็ยังเด็กมาก ๆ สำหรับบทนี้ แต่เขาสามารถร้องเพลงได้จริง ๆ เขาเป็นศิลปินดนตรีที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ รู้ไหมว่าผมมีฟุตเทจออดิชันด้วยนะ แต่ผมคงไม่คิดจะปล่อยมันออกมาหรอก”

แม้เขาจะผิดหวังจากบทบาทของ 2 ผู้กำกับคนเก่งของยุค แต่เขาเองกลับมองในแง่บวกว่า แทนที่จะมานั่งผิดหวัง เขากลับเลือกที่จะปรับมุมคิดด้วยการมองในแง่บวก โดยเฉพาะตอนที่ทั้งโนแลน และเลอห์มานน์โทรไปแจ้งปฏิเสธการรับบทแก่เขาเป็นการส่วนตัว ซึ่งเขามองว่ามันเป็นเรื่องที่ดี

Christian Bale The Dark Knight Trilogy

“เรื่องนี้คงต้องให้เครดิตกับทั้งโนแลน และเลอห์มานน์เลยครับ ผู้กำกับทั้ง 2 คนเป็นคนที่โทรหาผมเป็นการส่วนตัวเพื่อบอกกับผมว่าผมไม่ได้รับบทนี้ พวกเขาจะคอยบอกคุณว่าทำไมคุณได้ผ่านเข้ารอบลึก ๆ แล้วแต่ก็ยังไม่ได้บท มันเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วที่คุณจะได้รับเหตุผลบางอย่างเหล่านั้น ไม่ใช่แค่พูดว่า ‘โอ้ ขอบคุณมากนะ’ แต่พวกเขาบอกว่า ‘ผมเห็นแง่มุมเหล่านั้นของคุณในแบบที่ผมต้องการจริง ๆ ในบทบาทนี้ และมันก็ยอดเยี่ยมมาก'”

“แต่สุดท้ายพวกเขาก็เลือกแบบนั้น มันอาจเป็นเพราะเขาเข้ากันได้ดีกับคนที่แตกต่าง หรือกำลังจะแตกต่างไปจากคุณ หรือเพราะสีผม หรือส่วนสูง หรืออะไรก็ช่างเหอะ! คือจริง ๆ มันมีปัจจัยบางอย่าง ที่อาจจะไม่ใช่ทั้งหมด ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่อธิบายไม่ได้จริง ๆ ถ้าคุณมองว่ามันแย่ มันก็จะไม่ดีกับตัวคุณเอง”

ภายหลังจากที่ชวดบทบาทไป ทั้งจิลเลนฮานและเลดเจอร์ ได้ร่วมกันสร้างปรากฏการณ์โด่งดังด้วยการปรากฏตัวในหนังโรแมนติกคาวบอยเกย์เจ้าของรางวัลออสการ์อย่าง ‘Brokeback Mountain’ (2005) ก่อนที่เลดเจอร์จะทิ้งปรากฏการณ์ครั้งสุดท้าย ด้วยการรับบทเป็นโจ๊กเกอร์ใน ‘The Dark Knight’ และคว้ารางวัลออสการ์ สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมหลังจากเสียชีวิตในปีเดียวกัน ส่วนในฝั่งของจิลเลนฮาน เขาก็ได้กลายเป็นที่รู้จักมากขึ้นจากหนังหายนะโลก ‘The Day After Tomorrow’ (2004) และหน้งดราม่าสงคราม ‘Jarhead’ (2005) ในเวลาไล่เลี่ยกัน

“สำหรับผม ผมแค่อยากลองดูว่าผมจะไปได้แค่ไหน แล้วคราวหน้าก็ค่อยมาพยายามกันต่อ และผมคิดว่านั่นคือสิ่งที่ผมรู้สึกจริง ๆ ในตอนนั้น ผมจำได้ว่า ผมรับโทรศัพท์จาก คริสโตเฟอร์ โนแลน ผมมองว่าการได้รับโทรศัพท์จาก คริสโตเฟอร์ โนแลน เป็นการส่วนตัว มันเป็นอะไรที่เจ๋งมาก เหมือนผมรู้สึกว่าได้มาไกลมาก ๆ ไกลจากคนที่พวกเขาไม่แน่ใจในตัวผม แล้วผมก็ได้รับโทรศัพท์มาบอกว่า พวกเขากำลังคิดถึงผมในหนังเรื่องนี้จริง ๆ นะ ซึ่งก็โอเค ผมควรจะต้องไปต่อ ผมต้องก้าวต่อไป”