นอกจากเราจะรู้จัก โจดี ฟอสเตอร์ (Jodie Foster) นักแสดงสาวรุ่นใหญ่ค้างฟ้าอีกคนที่โด่งดังช่วงยุค 80s-90s มีผลงานการแสดงดัง ๆ เป็นของตัวเองมาตั้งแต่ยังไม่ทันวัยรุ่น อาทิ ‘Freaky Friday’ (1976), ‘Taxi Driver’ (1976) และในฐานะนักแสดงเจ้าของ 2 รางวัลออสการ์ สาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยม จากผลงานการแสดงใน ‘The Accused’ (1989) และ ‘The Silence of the Lambs’ (1992) แล้ว

อีกบทบาทที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อนก็คือ เธอเคยเป็นผู้กำกับหนังมาแล้ว 2 เรื่อง เรื่องแรกคือหนังดราม่า ‘Little Man Tate’ (1991) และผลงานเรื่องต่อมาที่เธอกำกับก็คือ หนังคอมมีดี้เทศกาลอีสเตอร์ ‘Home for the Holidays’ (1995) ที่เล่าเรื่องของนักบูรณะงานศิลปะ และคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ถูกไล่ออกจากงาน และกลับมาเจอสถานการณ์ป่วน ๆ ของครอบครัวเปิ่น ๆ ในวันขอบคุณพระเจ้า

Robert Downey Jr. Home for the Holidays

แม้หนังเรื่องนี้จะโดนวิจารณ์เรื่องบท และทำรายได้แค่พอคืนทุนสร้าง แต่นักวิจารณ์ต่างชื่นชมฝีมือการแสดงของนักแสดงวัยหนุ่มในเวลานั้นอย่าง โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ (Robert Downey Jr.) ที่รับบทเป็น ทอมมีได้อย่างซับซ้อนและเต็มไปด้วยไหวพริบ แม้พรสวรรค์ของดาราว่าที่ซูเปอร์สตาร์รางวัลออสการ์จะได้รับคำชื่นชม แต่ในอีกด้านหนึ่ง นั่นก็เป็นการร่วมงานกับฟอสเตอร์ในช่วงที่เขากำลังยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดในระดับที่เริ่มจะถลำลึก ก่อนที่เขาจะโดนจับกุมจนกลายเป็นข่าวอื้อฉาวในปีถัดมา

ฟอสเตอร์ได้มีโอกาสเล่าเรื่องนี้ในส่วนหนึ่งของบทสัมภาษณ์หน้าปกของนิตยสาร Esquire ฉบับล่าสุดที่ได้ดาวนีย์ จูเนียร์ นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ตัวแรกมาขึ้นปก ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เธอต้องเผชิญกับนักแสดงพรสวรรค์ที่กำลังจะเริ่มมีปัญหายาเสพติด และอาการของเขาก็เริ่มหนักข้อขึ้นทุกวัน จนเธอกังวลว่าเขาอาจจะถลำลึกและไปไกลสุดกู่จนไม่มีทางหวนกลับ

“ฉันพาเขาไปที่ข้าง ๆ กองถ่ายระหว่างถ่ายทำ และพูดกับเขาว่า ‘ฟังนะ ฉันรู้สึกขอบคุณมาก ๆ เลยนะสำหรับสิ่งที่นายทำให้ในหนังเรื่องนี้’ ตอนนี้นายทรงตัวเก่งมาก แต่มันก็ไม่ได้ปลอดภัยหรอกนะ และฉันเองก็ไม่รู้ว่ามันจะลงเอยยังไง”

ดาวนีย์ จูเนียร์เคยให้สัมภาษณ์ดัวยการนิยามการแสดงของเขาในหนังเรื่องนี้ว่าเป็น “การแสดงที่ผ่อนคลายที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์” แม้จะฟังดูน่าขัน แต่ที่เขาอธิบายแบบนั้นก็เพราะว่า เขาเสพยาเสพติดจนเริ่มมีอาการปรากฏให้เห็นในระหว่างถ่ายทำตลอดเวลา จนเป็นที่มาที่ทำให้ฟอสเตอร์ต้องตักเตือนเขาอย่างจริงจัง

“ฉันเองรักในตัวร็อบ และเราก็ยังเป็นเพื่อนกัน ฉันเองภูมิใจในตัวเขามาก ๆ ในทุกสิ่งที่เขาเป็น เขาเป็นผู้ชายที่วิเศษมาก ใจดี เป็นคนที่มีความสามารถและน่าทึ่งมาก เขาไม่เคยทำให้ฉันผิดหวังเลย แต่ฉันก็ต้องชัดเจนกับเขาเกี่ยวกับเรื่องนั้น”

“เขามาที่กองถ่ายและพูดภาษาแปลก ๆ ที่ฉันไม่เข้าใจ แล้ว 20 นาทีต่อมาเขาก็เริ่มพูดภาษาอังกฤษได้ ฉันจึงตัดสินใจหยุดกองแล้วบอกเขาว่า ‘นายรู้อะไรไหม เราทุกคนกำลังจะกลับบ้าน เราทำงานตรงตามกำหนดเวลา จริง ๆ เราเกือบจะเลตแล้ว โรเบิร์ต นายมากับฉันหน่อย’ ฉันนั่งลง แล้วเขาก็ถามว่า ‘เฮ้ เกิดอะไรขึ้นอ่ะ ? ว่าไง ? ‘”

“ฉันบอกว่า ‘จนถึงตอนนี้ นายกำลังอยู่ในจุดเสี่ยงและไม่ยอมล้ม นายอาจจะพบวิธีที่จะพยุงตัวเองขึ้นไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม คือมันอาจไม่ใช่ตอนนี้หรอกนะ แต่ฉันกลัว (ว่าจะเกิดอะไรขึ้น)’ แล้วตอนท้าย ๆ ของการถ่ายทำฉันก็รู้ว่ามันกำลังจะมา ครอบครัวของเขาบอกว่าจะเข้ามาช่วยเหลือเขาหลังจากปิดกล้อง ซึ่งฉันรู้ว่า นั่นแหละคือก้าวแรกที่จะทำให้เขากลับมามีสติได้สักที”

Robert Downey Jr. Home for the Holidays

“เขาเป็นคนที่ทำงานหนักมากจริง ๆ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาต้องล้มบ้าง ล้มเพื่อที่จะได้เข้าใจความสงบของตัวเขาเอง และนั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น แต่ที่ฉันรู้คือพวกเรารักเขา ทุกคนที่รายล้อมเขาล้วนมีแต่ความห่วงใยจริง ๆ “

หลังจากปิดกล้อง สิ่งที่ฟอสเตอร์กลัวเกี่ยวกับดาวนีย์ จูเนียร์ วัย 30 ปีก็เกิดขึ้นจริง ๆ เดือนมิถุนายน ปี 1996 เขาตกเป็นข่าวอื้อฉาวที่ร้ายแรงที่สุด หลังจากถูกจับกุมในข้อหาครอบครองเฮโรอีน โคเคน และอาวุธปืนเถื่อน .357 หลังจากขับรถหลบหนีการจับกุม และในอีก 1 เดือนต่อมาระหว่างขณะติดทัณฑ์บน ดาราชื่อเสียที่กำลังเมายาเสพติด ได้บุกเข้าไปนอนหลับบนเตียงเด็กในบ้านของเพื่อนบ้านแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ชื่อของเขาบนหน้าหนังสือพิมพ์เริ่มมีแต่ข่าวฉาวเสีย ๆ หาย จนทำให้ฮอลลีวูดแทบจะแบนเขาออกจากวงการ กองถ่ายหนังและซีรีส์ค่อย ๆ ตัดเขาออกจากบทบาท

หลังจากนั้น ชีวิตของเขาก็วนเวียนเข้าออกคุก ศาล สถานบำบัด ปี 1997 เขาถูกจับกุมหลังละเมิดการทดสอบสารเสพติด และไม่ยอมพบเจ้าหน้าที่ตามนัด ถูกจำคุกเป็นเวลา 6 เดือน และถูกจับกุมข้อหาเดิมอีกในปี 1999 ซึ่งศาลสั่งจำคุกนานถึง 3 ปี ก่อนจะออกมาได้อีกครั้งหลังติดคุกครบ 1 ปี ก่อนที่เขาจะเริ่มหันหลังให้ยาเสพติด และเริ่มมีผลงานการแสดงในหนังนอกกระแส

ก่อนจะมาเปลี่ยนชีวิตด้วยบทบาท โทนี สตาร์ก (Tony Stark) หรือ ไอรอนแมน (Iron Man) ในหนัง ‘Iron Man’ (2008) ของ Marvel Studios ที่แม้ว่าผู้บริหารจะไม่เชื่อมั่นในเขา แต่ เดวิด ไมเซล (David Maisel) อดีตประธานของ Marvel Studios และ จอน ฟาฟโรว์ (Jon Favreau) ผู้กำกับ ที่มองว่าเขาเหมาะสมกับบทบาทนี้ จนในที่สุดก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ทำให้เขากลายมาเป็นซูเปอร์สตาร์ และเป็นนักแสดงยอดฝีมือระดับรางวัลออสการ์อีกคนของวงการได้ในที่สุด

แม้ครั้งหนึ่ง ดาวนีย์ จูเนียร์ จะเคยเป็นดาราขี้ยาติดคุกที่ถูกวงการปฏิเสธจากฮอลลีวูดจนชีวิตพังพินาศ แต่ฟอสเตอร์กลับเป็นคนทำหนังไม่กี่คนที่ให้โอกาสกับเขา ซึ่งเธอได้เปิดเผยเหตุผลที่ยังยอมให้โอกาสกับนักแสดงที่กำลังจะเสียคนในเวลานั้นว่า

“สิ่งที่น่าสนใจสำหรับเขาก็คือ ตอนนั้นเขาเป็นอัจฉริยะจริง ๆ ค่ะ ความคิดสร้างสรรค์แค่ปลายนิ้วก้อยเขายังมากกว่าที่ฉันเคยมีมาตลอดชีวิตซะอีก แต่ตอนนั้นเขาเป็นคนไม่มีวินัยเอาซะเลย เหมือนเขาละเลยความสามารถอันยอดเยี่ยมของเขาและออกไปก่อเรื่องใหญ่โต แต่เขาก็ยังกลับมาได้ เพราะเขากลายมาเป็นคนที่มีระเบียบวินัยจนสามารถเอาตัวรอดมาได้”

“ฉันเองเชื่อมั่นในความสามารถของผู้คนในการเปลี่ยนแปลงหากพวกเขาต้องการ และเขาเองก็ต้องการมันจริง ๆ “