แบตเตอรี่รถ EV ระหว่าง NMC และ LFP ต่างกันอย่างไร?

ถ้าพูดถึงแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าหรือรถ EV ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ หลายคนน่าจะคุ้นชื่อ แบต LFP หรือแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนฟอสเฟต (LiFePO4) และแบต NMC หรือแบตเตอรี่ลิเธียมแมงกานีสโคบอลต์ออกไซด์ (LiNiMnCoO2) แบต 2 ประเภทนี้ต่างกันอย่างไร วันนี้เรามาสรุปให้ดูครับ

แบตเตอรี่ LFP

แบตเตอรี่ประเภทนี้ใช้งานอยู่หลากหลายในอุปกรณ์ไฟฟ้าและยานยนต์ คิดค้นมาตั้งแต่ยุค 90s มีจุดเด่นเรื่องความทนทานและอายุการใช้งานยาวนาน เนื่องจากมีไซเคิลหรือรอบการชาร์จที่ค่อนข้างสูงประมาณ 2,000-3,000 ครั้ง (แบต NMC มีรอบการชาร์จประมาณ 500-800 ครั้ง) จึงทำให้สามารถชาร์จแบตได้เต็ม 100% โดยไม่ต้องกลัวแบตเสื่อมไว

อีกทั้งยังทนต่อความร้อนได้สูง ประมาณ 500 องศา (แบต NMC ทนความร้อนได้ประมาณ 300 องศา) ทำให้ตัวแบตมีความเสถียรค่อนข้างสูงและลดความเสี่ยงกรณีเกิดไฟไหม้ได้ อย่างไรก็ตามแบตประเภท LFP มีจุดด้อยตรงที่เก็บพลังงานได้น้อย ต้องระมัดระวังเวลาเมื่อแบตเตอรี่เหลือน้อยอาจทำให้แบตหมดไวได้ และขาดไม่ได้เลยคือขนาดของแบตค่อนข้างใหญ่ มาพร้อมน้ำหนักที่มากระดับหนึ่งเลยทีเดียว

แบตเตอรี่ NMC

แบตเตอรี่ลิเธียม-แมงกานีส-โคบอลท์-ออกไซต์ เป็นแบตที่มีความสดใหม่มากกว่าแบต LFP เพราะถูกคิดค้นขึ้นเมื่อปี 2009 นี้เอง เริ่มแรกใช้ในอุปกรณ์ไฟฟ้าขนาดเล็กและเครื่องจักรในอุตสาหกรรม แต่เนื่องจากความหนาแน่นของพลังงานที่สูงและขนาดที่เล็กกว่าแบตชนิดอื่น จึงเริ่มแพร่หลายมาสู่อุตสาหกรรมรถยนต์ในที่สุด

จุดเด่นอย่างนึงของแบต NMC คือความหนาแน่นพลังงานสูงอยู่ที่ประมาณ 230 – 250 Wh/kg (แบต LFP มีความหนาแน่นพลังงานประมาณ 130 – 160 Wh/kg) จึงไม่จำเป็นต้องมีขนาดใหญ่และน้ำหนักเยอะเหมือนกับแบต LFP อีกทั้งยังสามารถใช้งานติดต่อกันได้นาน อย่างการขับขี่ทางไกลที่ต้องใช้พลังงานจากตัวแบตต่อเนื่อง จุดเด่นอีกประการคือ ขีดจำกัดอุณหภูมิของแบตเตอรี่ NMC ทำงานได้แม้อุณหภูมิต่ำสูงสุดประมาณ -30 องศา (แบต LFP ขีดจำกัดอุณหภูมิ -20 องศา)

แต่ข้อด้อยของแบตประเภทนี้คือราคาของแบต NMC จะค่อนข้างสูงกว่าแบตชนิดอื่น เพราะส่วนประกอบหลักของตัวแบตคือโคบอลต์เองมีราคาสูงหลักหลายหมื่นเหรียญต่อตันเลยทีเดียว รวมถึงรอบการชาร์จที่น้อยกว่าแบต LFP ชัดเจน ทำให้ต้องระมัดระวังในการชาร์จ (อยู่ในช่วง 80-90%) เพื่อถนอมอายุแบตให้นานขึ้นนั่นเอง

รถยนต์ไฟฟ้าในตลาดรุ่นไหนใช้แบตประเภทอะไร