นอกจากฝีมือการแสดงของ ทอม แฮงส์ (Tom Hanks) ที่ไม่ต้องสาธยายมากมาย กับ 43 ปีในฮอลลีวูด กับ 2 รางวัลออสการ์ ที่พิสูจน์แล้วว่าบทบาทของเขานั้นทัชใจคนทั่วโลก จนทำให้เขากลายมาเป็นนักแสดงที่คนทั้งโลกรัก จากบทบาทของนักแสดงที่มักจะรับบทเป็นชายหนุ่มผู้ใสซื่อ รักความยุติธรรมและความถูกต้อง

หรือหลาย ๆ ครั้ง เราก็มักจะได้เห็นเขารับบทเป็นหนุ่มติดดินนิสัยดี เป็น Nice Guy จิตใจดีงาม อบอุ่น ตลก หรือต่อให้รับบทเป็นคนที่ดูใจร้าย แต่ก็มักจะเป็นความใจร้ายที่ยึดตามเหตุตามผล จนมาถึงยุคปัจจุบัน เขาก็มักจะได้รับบทเป็นผู้ใหญ่ที่มีความเป็นผู้ใหญ่สูงมาก ๆ หรือไม่ก็มักจะรับบทพ่อ จนทำให้เขามีฉายาที่หลายคนยกให้เขาเป็น ‘คุณพ่อแห่งอเมริกา’ (America’s Dad)

ประกอบกับตลอดเวลาที่เขาอยู่ในวงการ แฮงส์เองก็ขึ้นชื่อว่าเป็นนักแสดงที่วางตัวได้อย่างดี ไม่ค่อยมีข่าวเกี่ยวกับความประพฤติในทางเสีย ๆ หาย ๆ เหล่าบรรดานักแสดงที่เคยร่วมงานกับแฮงส์ ต่างก็ยืนยันว่าเขามีนิสัยน่ารักและใจเย็น อาจจะมีข่าวที่หลุด ๆ เช่น เผลอวีนใส่นักข่าวบ้าง แต่ก็ถือเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พอเข้าใจเหตุผลได้ ทั้งหมดนี้ก็เลยทำให้แฮงส์กลายเป็นนักแสดงฮอลลีวูดที่คนทั้งโลกรัก และต่างรอคอยผลงานการแสดงของเขาอยู่เรื่อย ๆ มาตลอด

ทอม แฮงส์ Tom Hanks Cast Away

แต่ในหลาย ๆ ครั้ง ด้วยนิสัยความถ่อมตัวเป็นที่ตั้ง ก็ทำให้แฮงส์มักจะออกมาเปิดเผยเสมอถึงความรู้สึกไม่พึงพอใจในงานของตัวเองในหลาย ๆ ครั้ง หรือไม่ก็มักจะออกมาเปิดเผยถึงความรู้สึกไม่ดีต่องานแสดงของตัวเองในอดีต (ที่จริง ๆ แล้วการแสดงของเขาในอดีตส่วนใหญ่ก็นับว่ายอดเยี่ยมและเป็นตำนานจนแทบจะไม่ต้องอธิบายอะไรแล้วล่ะ) และล่าสุดเขาเองก็ได้ออกมาเปิดเผยเบื้องลึกว่า แม้นิสัยน่ารักของเขาในกองถ่ายจะเป็นที่ขึ้นชื่อ ประกอบกับภาพลักษณ์หนุ่มแสนดีที่สั่งสมมา บางครั้งก็เกิดจากการฝืนใจทำของเขาเอง

โดยแฮงส์ได้เปิดเผยเรื่องนี้ในบทสัมภาษณ์ของเว็บไซต์ BBC ในระหว่างการโปรโมต ‘The Making of Another Major Motion Picture Masterpiece’ ผลงานหนังสือนวนิยายเรื่องแรกที่เขาเขียนขึ้น โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับกองถ่ายภาพยนตร์แอ็กชันซูเปอร์ฮีโรฟอร์มยักษ์ที่เต็มไปด้วยทีมงานและนักแสดงมากมาย รวมทั้งยังมีตัวละครนักแสดงชายคนหนึ่งที่มีพฤติกรรมบางอย่างที่เป็นอุปสรรคทำให้การทำงานในกองถ่ายล่าช้า ที่ได้แรงบันดาลใจจากประสบการณ์ในอาชีพนักแสดงของเขาเอง

ซึ่งเขาก็ได้โอกาสเปิดเผยความลับของตัวเองด้วยว่า เขาเองไม่ได้เป็นคนที่เป็นมิตรตลอดเวลาเหมือนที่ใครคิด ในบางครั้งที่ชีวิตของเขากำลังมีปัญหา เขาเองก็จำต้องฝืนทำตัวน่ารัก ใจดี ยิ้มแย้มแจ่มใสกับคนอื่น ๆ ในกองถ่าย เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความเป็นมืออาชีพของแฮงส์ในฐานะนักแสดงอาชีพได้ดีทีเดียว

“(ในนิยาย) ผมได้ดึงพฤติกรรมบางอย่างในกองถ่ายที่ผมพบเห็นด้วยตัวเอง แน่นอนว่า คงไม่ใช่ทุกคนที่จะทำได้ดีที่สุดในทุก ๆ วันในกองถ่ายภาพยนตร์ มันก็จะมีบางวันที่ผมรู้สึกยากลำบากเหมือนกันในการพยายามเป็นมืออาชีพนะครับ โดยเฉพาะในตอนที่ผมกำลังแหลกสลายจากปัญหาหลาย ๆ อย่างที่มันรุมเร้า และผมเองก็ยังต้องเป็นคนที่ดูน่ารัก ตลก แล้วก็ต้องดูมีเสน่ห์ด้วย สิ่งที่ผมทำได้ก็คือ ผมต้องแสร้งทำมัน ซึ่งมันเป็นวิธีสุดท้ายที่ผมจะเลือกทำ”

Tom Hanks Forrest Gump Philadelphia Saving Private Ryan

หลายคนอาจไม่คุ้นเคยกับบทบาทในการเป็นนักเขียนของแฮงส์ แต่ก่อนหน้านี้ในปี 2017 แฮงส์ได้ถ่ายทอดความหลงไหลในเสน่ห์ของเครื่องพิมพ์ดีด และสะสมเครื่องพิมพ์ดีดรุ่นต่าง ๆ ในคอลเล็กชันมากกว่า 250 เครื่อง นำมาถ่ายทอดเป็นหนังสือรวมเรื่องสั้น 10 เรื่อง ที่มีเครื่องพิมพ์ดีดเป็นองค์ประกอบหลักในชื่อ ‘Uncommon Type : Some Stories’ (ฉบับแปลภาษาไทย ใช้ชื่อว่า ‘พิมพ์ (ไม่) นิยม’ โดยสำนักพิมพ์ a book) โดยเรื่องสั้นทั้งหมดนั้นยังพิเศษตรงที่ เขาใช้เครื่องพิมพ์ดีดในการเขียนต้นฉบับทั้งหมดขึ้นมาอีกด้วย ซึ่งมียอดขายในสหราชอาณาจักรมากกว่า 234,000 เล่ม

ส่วนใน ‘The Making of Another Major Motion Picture Masterpiece’ ที่เพิ่งวางจำหน่ายไปไม่นานเล่มนี้ เป็นหนังสือแนวนวนิยายจำนวน 448 หน้าเล่มแรกที่เขาเขียนขึ้นในปีถัดมา โดยเป็นเรื่องราวที่เล่าเรื่องและเสียดสีวงการภาพยนตร์ยุคเก่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เหตุผลที่เขาแต่งนิยายเล่มนี้ขึ้นก็เพราะว่า “มันเกิดจากอาการหมดไฟ หมดความอยากรู้อยากเห็นในอาชีพนักแสดงของผมน่ะครับ คือบางครั้ง คุณก็ต้องมีเหตุผลบางอย่างในการจุดประกายจินตนาการของคุณเอง”

โดยมีเรื่องราวเล่าถึงกองถ่ายหนังที่สมมติขึ้น โดยแฮงส์ได้นำเอาประสบการณ์จริงตลอดเวลาในการทำงานทั้งชีวิตของเขานำมาเสริมเติมแต่งเติมเรื่องราว และแน่นอนว่ารวมทั้งพฤติกรรมแย่ ๆ ในกองถ่ายที่เขาเคยพบเจอมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความขัดแย้งของคนในกอง หรือแม้แต่การล่วงละเมิดทางเพศ แต่พฤติกรรมหนึ่งที่เขาได้เปิดเผยกับ BBC ว่า เป็นสิ่งที่เขารับไม่ได้อย่างเด็ดขาด นั่นก็คือพฤติกรรมการมาสาย เพราะเขาเองก็ไม่เคยมาทำงานสายเหมือนกัน เขาถึงกับให้คำจำกัดความการมาสายว่าเป็น “บาปอันใหญ่หลวงในธุรกิจภาพยนตร์”

“สิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นในการถ่ายทำภาพยนตร์ก็คือ การที่ใครสักคนไม่สามารถควบคุมจังหวะ เวลา ความยาวของการถ่ายทำ หรืองบประมาณได้ มันเป็นบาปอันใหญ่หลวงของธุรกิจภาพยนตร์ คุณคงประหลาดใจนะครับ ถ้ามีคนจำนวนมากที่รู้ตัวว่า พวกเขาสามารถหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ได้นะ และมีคนบอกพวกเขาว่า คุณสามารถหลีกเลี่ยงมันได้จริง ๆ เพราะพวกเขาแบกหนังเรื่องนั้นไว้บนบ่า”


ที่มา: BBC, IndieWire, Fortune, Entertainment Weekly

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส