[ บทความนี้เรียบเรียงจาก “ป๋าเต็ดทอล์ก” SS2 EP.6 “บทสรุปของบิ๊กแอส” กับการเปิดใจของกบและอ๊อฟ]

“Begins”

พอมองย้อนกลับไปการมีเหตุการณ์นั้นมันทำให้มีวัตถุดิบมาเขียนเพลง ต้องขอบคุณพี่ป้าง (นครินทร์ กิ่งศักดิ์) กบโทรไปปรึกษากับพี่ป้างบอกว่าจะยุบวง พี่ป้างตอบกลับมาว่า “คนเค้ารอฟังเพลงของพวกมึงจากเหตุการณ์นี้อยู่นะพี่ก็รอฟัง” ทำให้กบเกิดความรู้สึกว่าควรไปต่อ ในตอนนั้นเหตุการณ์ก็เริ่มคลี่คลาย กบจึงใช้คำพี่ป้างเป็นพลังและนัดประชุมทีม Mango (ทีมเขียนเนื้อเพลงของบิ๊กแอสและบอดี้แสลม) แล้วเนื้อเพลงท่อนหนึ่งมันก็ปรากฏขึ้นมาในใจ “ถ้าหากชีวิตต้องพังทลายด้วยลมปากแค่นี้” จากนั้นจึงได้ชื่อเพลงว่า “ปลุกใจเสือป่า” กบเดินไปเดินมาขึ้นไปข้างบน คิดไปคิดมาก็ได้ชื่อเพลง “ข้าน้อยสมควรตาย” ซึ่งมันมาจากเวลาดูหนังจีนพวกตัวเล็กตัวจ้อยชอบพูดแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่บางทีก็ไม่ได้ผิดจริงแต่ไม่มีโอกาสแก้ตัว ซึ่งเหมือนกันกับพวกเขาที่ในตอนนี้ไม่มีโอกาสแก้ตัว ข่าวจะถูกเขียนอย่างไรก็ได้แต่เงียบและทำใจ ในเนื้อหาของเพลงกบได้พลิกให้เป็นเรื่องของการแอบรักคนที่มีเจ้าของแล้วเป็นเพลงเกี่ยวกับมือที่สาม

ส่วนเพลง “คนหลงทาง” ก็ได้แรงบันดาลใจจากเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วยเช่นกัน เพลง Begins” มหากาพย์แห่งบทเพลงที่ยาวที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุด ทรงพลังที่สุดเพลงหนึ่งของบิ๊กแอสก็เช่นกัน อัลบั้ม “Begins” ได้แสดงให้เห็นถึงพลังที่อัดอั้นเอาไว้จากการข้ามผ่านเหตุการณ์เลวร้ายครั้งหนึ่งของวง มันจึงทั้งเข้มข้น สดใหม่ และทรงพลัง จนในที่สุดอัลบั้มนี้ก็ได้รับรางวัลอีกเช่นเคย

Play video

สู่รอยร้าวลึก

หลังจากนั้นแด็กซ์เริ่มไม่สนใจการทำเพลง ทำ ๆ ไปเพราะเป็นเรื่องของหน้าที่มากกว่า กบบอกว่ารอยร้าวมันค่อย ๆ ปริออกมาเริ่มกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เป็นมากกว่าครอบครัว อ๊อฟบอกว่ามันเป็นสัจธรรมที่มันเป็นไป จากที่ต้องขอให้มีทัวร์จนมารู้สึกดีใจที่ไม่ต้องทัวร์อีกต่อไป มันเหมือนเป็นสัญญาณของความอ่อนล้า อ๊อฟพยายามปลุกตัวเองว่า

“กูคือร็อกสตาร์”

เพื่อให้เล่นได้เต็มที่เพื่อแฟนเพลงที่มาดูจะได้รู้สึกดี

แด็กซ์เองก็คงรู้สึกเหมือนกัน ส่วนกบก็ยิ่งผลักยิ่งดันเข้าไปอีก พยายามไปข้างหน้าทั้ง ๆ ที่เครื่องยนต์มันไม่ไหว แทนที่จะผ่อนเครื่องยิ่งเพิ่มความกดดันจนแด็กซ์แบกรับไม่ไหว มีอยู่งานหนึ่งที่ต้องบันทึกเทปออนแอร์ แด็กซ์ใส่เสื้อรูปผู้หญิงโป๊ ทีมงานขอให้เปลี่ยนเสื้อแด็กซ์ไม่ยอมเปลี่ยน “ใครทำอะไรกูได้” แด็กซ์กล่าวออกมาอย่างอหังการ์ เพื่อน ๆ ก็พยายามหาทางแก้ ทีมงานก็คิดว่าแค่นี้ทำไมไม่เปลี่ยน จากคนที่เคยแทบจะกราบกรานเพื่อขอให้ได้ออกทีวี แต่มาวันนี้กลับทำตัวแบบนี้ กบจึงเริ่มไม่พอใจในตัวแด็กซ์ ช่วงเวลานั้นเหมือนบางอย่างบังตาทำไมทุกคนไม่จัดการแก้ปัญหา วันนี้ได้แต่คิดว่าทำไมวันนั้นถึงไม่คุยกันมัวแต่สุมด้วยความโกรธและความไม่เข้าใจ วันแรกที่ไม่ได้นั่งรถตู้ด้วยกันแด็กซ์ขี่มอเตอร์ไซค์ไป กบรู้เลยว่าจากนี้มันคงยาก ตอนนั้นมีคนนอกเข้ามานั่งด้วยยังสัมผัสได้ถึงบรรยากาศ “มาคุ” อารมณ์เหมือนคนกำลังจะหย่า “ทำไมถึงไม่คุยกันเพื่อลูก” เหมือนตรงนั้นต่างคนต่างมีทิฏฐิ เคยพยายามแก้แต่ไม่ได้ไปแกที่หัวใจที่ต้นเหตุของปัญหา มันแตกหักจริง ๆ ตอนนั้นก็พยายามทำใจกับเสียงที่พังของแด็กซ์ซึ่งจริง ๆ เรื่องนี้ทุกคนก็คิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ ก็พยายามแก้ปัญหาให้พี่โอมบอดี้สแลมซึ่งเป็นครูสอนร้องเพลงมาช่วยแก้ นัดแด็กซ์ แด็กซ์ก็ไม่มา บอกมีอะไรทำอีกเยอะ กบก็เลยคิดว่านี่กูทำทุกอย่างแล้วหรือยัง

“ถ้าทำทุกอย่างแล้วมึงก็อย่าทน”

(วันที่สัมภาษณ์กันวันนั้นทั้งกบและอ๊อฟต่างพบว่าที่ผ่านมาตนเองแก้ปัญหาผิดจุด ส่วนในบทสนทนาของ EP.4 ที่คุยกับแด็กซ์ก็ได้ทำให้รู้ว่าทั้งสองฝ่ายต่างมองกันคนละมุมกันในเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความไม่เข้าใจ)

เรื่องเพลง ทุ้มอยู่ในใจ” คือความเข้าใจผิดที่ก่อให้เกิดความน้อยใจในทางฝั่งแด็กซ์ ซึ่งจริง ๆ แล้วตามกระบวนการทำเดโมต้องร้องไกด์ พี่เก้ง (จิระ มะลิกุล โปรดิวเซอร์ภาพยนตร์เรื่อง “SuckSeed ห่วยขั้นเทพ) อยากได้เนื้อเพลงในไกด์ อ๊อฟเลยร้องไกด์โดยใส่เนื้อเพลงไปด้วย ช่วงนั้นเสียงแด็กซ์ก็พังทำให้ยากต่อการอัดเสียง แต่ก็พยายามทำเสียงแด็กซ์ส่งไปแต่พี่เก้งชอบเดโมมากกว่าพอเอาไปวางแล้ว “มันเข้ากับหนังเปลี่ยนไม่ได้แล้วทำไงได้บ้าง” พี่เก้งถามอ๊อฟ อ๊อฟคิดว่า

“เฮ้ยมันหนังเขาไม่ใช่เรื่องของเราแม้แต่คำว่า ‘ทุ้มอยู่ในใจ’ ก็มาจากเขา เรื่องแบบนี้เราต้องตามเขา”

ทุกอย่างเร็วมากวันรุ่งขึ้นถ่ายเอ็มวีไม่แปลกที่แด็กซ์จะน้อยใจ มองคนละมุมกันกบก็มองว่าดีด้วยซ้ำแด็กซ์จะได้พักอย่างน้อยก็หนึ่งเพลงในโชว์ อย่างไปถ่ายเอ็มวีอ๊อฟก็ไปคนเดียวคนอื่นในวงก็ไม่ได้ไป ช่วงนี้ที่แด็กซ์ทำงานเพลงเดี่ยวเวลาเล่นคอนเสิร์ตมักเอาเพลงนี้มาร้อง เพราะ “ทุ้มอยู่ในใจ” เป็นเพลงที่ทำให้แด็กซ์รู้สึกว่าเพราะเพลงนี้ทำให้เขาไม่ได้อยู่ในวงนี้อีกต่อไป มันแสดงให้เห็นว่าทุกคนต่างมองกันคนละมุมจนเกิดความไม่เข้าใจกัน

ในคลิปเบื้องหลังการทำเพลง “ทุ้มอยู่ในใจ” เราจะได้เห็นกระบวนการในการทำเพลงนี้ซึ่งมีขั้นตอนที่แด็กซ์อัดร้องอยู่ด้วย

Play video

Play video

 

คอนเสิร์ตสุดท้าย

มาถึงคอนเสิร์ตสุดท้ายเป็นงานกลางแจ้งที่ภาคเหนือ 4 คนรู้ว่านี่จะเป็นคอนเสิร์ตสุดท้ายแต่แด็กซ์ไม่รู้ตอนนั้นตัดสินใจจะยุบวง เคยคิดหานักร้องคนใหม่แต่รู้สึกว่ามันไม่ใช่ไม่มีทาง เลยคิดว่ายุบวงไปเลยจะดีกว่า กลุ่มแฟนคลับญี่ปุ่นที่เป็นแฟนกับ backstage ก็ดูไปร้องไห้ไปเพราะว่ารู้ว่านี่คือคอนเสิร์ตสุดท้ายของวง หลังจากเล่นจบก็ทุ่มกีตาร์เตะตู้แอมป์หลังเวทีก็คิดว่าโคตรร็อกเลย แต่สุดท้ายทุกคนนั่งร้องไห้หลังเวที แต่แด็กซ์ก็ยังงงว่าอะไรของพวกมึงวะ มันถึงจุดที่อิ่มตัวชาชินมากสำหรับทุกคนแล้ววงก็ยกเลิกโชว์ในเทศกาลหมด เพราะบิ๊กแอสไม่ได้เป็นอย่างที่เคยเป็นแล้วและทนรับแววตาผิดหวังของแฟน ๆ ไม่ได้อีกต่อไป ที่ตอนนั้นไม่ได้คุยกับแด๊กซ์เพราะไม่รู้ว่าจะพูดยังไงเหมือนกัน แด็กซ์ไม่รู้อะไรเลยทีมงานก็ต้องแกล้งทำเป็นสนุกไปกับแด็กซ์ด้วย หลังโชว์จบอ๊อฟเป็นคนคุยกับแด็กซ์เป็นคนสุดท้ายว่าจะลองหาคนอื่นดู แล้วแด็กซ์ก็ขับมอเตอร์ไซค์ไป ไม่ดราม่า ไม่ทะเลาะกันแต่ภายในก็คงมีอะไร จากนั้นโอ๊คกับหมูก็เอาสัญญาไปให้แด็กซ์เซ็นเป็นการจบแบบสงบแต่บาดลึกในความรู้สึก เป็นจุดตัดที่ไปต่อไม่ไหว

เมื่อป๋าเต็ดถามว่าอยากกลับไปแก้ตรงไหนไหม กบบอกว่าจะกลับไปบอกกับตัวเองว่าในวันนั้นก็ไม่ต้องไปปาร์ตี้กันสิ ชวนกันไปทำอย่างอื่นแด็กซ์จะได้ไม่ต้องปล่อยตัวสุดแบบนั้น อาจเป็นคำพูดที่ดูหล่อนะ แต่ก็คิดแบบนี้จริง ๆ ทั้ง5 คนพอสำเร็จมากต่างก็ใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงกันทั้งหมด แล้วแด็กซ์ก็ไปในโลกที่มันสุดแบบนั้น ส่วนอีก 4 ยังคงวนเวียนคิดถึงเรื่องดนตรีเลยเหมือนมีอะไรดึงไว้ อ๊อฟบอกว่าถ้านั่งไทม์แมชชีนกลับไปได้วันนั้นคงมีสติและเข้าใจอะไรมากกว่านี้

 

นักร้องคนใหม่ของบิ๊กแอส

หลังจากนั้นบิ๊กแอสก็ตัดสินใจว่าจะยุบวงหรือหานักร้องใหม่ดี ก็เลยตัดสินใจว่าลองหาใหม่ดูก่อนหากไม่มีแล้วจริง ๆ ถึงค่อยยุบ พอเปิดออดิชันก็ไม่มีใครที่ถูกใจเลย เพราะการร้องของแด็กซ์นั้นมีเอกลักษณ์มาก จิ๊กโก๋หน่อย เหน่อ ๆ หน่อย เนื่องจากปัญหาที่ผ่านมาทำให้ตอนนั้นบิ๊กแอสพยายามหาคนที่ไม่มีข้อเสีย เช่น หาคนที่ไม่สูบบุหรี่กินเหล้าลองมาดูมันก็ไม่เวิร์ก จึงเริ่มวางแผนชีวิตกันว่าถ้ายุบวงจะไปทำอะไรกัน ตอนคิดเปลี่ยนนักร้องแด็กซ์ยังอยู่กับวง อาจดูเลวที่ทำลับหลังเพื่อนแต่ชีวิตมันต้องมีการเตรียมพร้อม

จนเกือบสิ้นสุดโชว์ตอนนั้นไปเล่นที่โคราช ตอนเล่นเสร็จก็ไปปาร์ตี้ที่ผับ แล้วก็มีคิงคองตัวหนึ่งมาขย่มเวทีซึ่งนั่นคือ ”เจ๋ง” (เดชา โคนาโล นักร้องบิ๊กแอสคนปัจจุบัน) จึงรู้สึกสนใจและคุยกัน ลองดูแต่ไม่ได้ตั้งความหวัง ตอนนั้นเต็มไปด้วยความห่อเหี่ยว เจ๋งมาซ้อมทุกคนก็พยายามลุ้นให้ใช่ แต่มันก็ยังไม่ไม่ใช่สักที ลองถามความเห็นเจ๋ง เจ๋งก็บอกว่า

“พี่ก็เล่นเป็นบิ๊กแอสนะ แต่พวกพี่มันได้มากกว่านี้”

เลยวางเครื่องดนตรีเลิกซ้อมสองเดือนแล้วไปเที่ยวกัน มาเจอกันบ้านอ๊อฟคุยเล่น ทำกับข้าว นั่งฟังเพลง จนอ๊อฟหยิบกีตาร์มาเล่น กบไปนั่งบนกลอง โอ๊คเดินไปหยิบเบสเล่นกัน จนเป็นทำนองเพลง “แดนเนรมิต” โมเมนต์นี้เหมือนหนังมาก อ๊อฟบิวท์เจ๋งว่ามีอะไรลองร้องออกมาเลย แล้วเจ๋งก็เริ่มร้องท่อนเมโลดี้ “จะทำให้รักเราเป็นตำนาน” ทุกคนเลยแบบเฮ้ยใช่เลย เลยทำต่อจากจุดนี้จนเป็นเพลง “แดนเนรมิต” เพลงแรกของเจ๋งจากบิ๊กแอสยุคใหม่

Play video

การกลับมาของ “บิ๊กแอส”

[ผลงานของบิ๊กแอสในยุคต่อมา]

ปี พ.ศ. 2556 ได้ออกอัลบั้ม EP. “แดนเนรมิต” โดยมีเพลง “แดนเนรมิต” “เท่าที่มี” “ลมเปลี่ยนทิศ” “ดนตรี…เพื่อชีวิต” และ “ทนไม่ไหว” อัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มชุดแรกภายใต้เสียงร้องของเจ๋ง แต่อัลบั้มชุดนี้ก็ประสบความสำเร็จอย่างมากโดยที่มีเพียงแค่ 5 เพลงเท่านั้น

ปี พ.ศ. 2557 พวกเขาได้มีโอกาสร้องเพลงประกอบซีรีส์ ฮอร์โมนส์ วัยว้าวุ้น ซีซั่น 2 อย่างเพลง “อาบน้ำร้อน” โดยซีรีส์เรื่องนี้เป็นที่นิยมอย่างสูงในหมู่วัยรุ่น และเพลงนี้ก็ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่วัยรุ่นเช่นกัน

ปี พ.ศ. 2558 พวกเขาได้เริ่มออกอัลบั้มชุดที่ 7 “The Lion” โดยปล่อยซิงเกิลโปรโมทมาก่อน 3 เพลง คือ “เพลงรักของคนแพ้” “รักเหอะ” และ “ไม่เดียงสา” ตามลำดับ

ปี พ.ศ. 2560 พวกเขาได้ปล่อยอัลบั้มเต็มชุดที่ 7 “The Lion” มีทั้งหมด 11 เพลง

ปี พ.ศ. 2561 บิ๊กแอสได้มีโอกาสทำเพลง “สิ้นสุดคือจุดเริ่มต้น” ให้กับอัลบั้ม “มินิมาราธอน” ของพี่เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตน์ เป็นอีกบทเพลงหนึ่งที่เมื่อฟังแล้วเรารู้สึกได้เลยว่า มันถอดอารมณ์มาจากประสบการณ์ที่บิ๊กแอสได้รับจากการฟันฝ่าช่วงมรสุมที่ผ่านมา

ปี พ.ศ. 2562  บิ๊กแอสออกซิงเกิลล่าสุด “ฆ่าคนด้วยมือเปล่า” 

Play video

บิ๊กแอสยุคนั้นกับยุคนี้เป็นคนละแบบ ยุคนั้นสุขมาก ยุคนี้มันเป็นเรื่องการทำมาหากิน ทำอะไรต้องคิดหน้าคิดหลังอะไรไม่ได้ดั่งใจบางครั้งต้องประนีประนอมมีความสุขตามอัตภาพ อยากไปเล่นแคมปัสพบว่าเออมันยังได้ ยังมีคนฟังมีความหวังแต่ก็ไปเรื่อย ๆ หลวม ๆ เหมือนตีกอล์ฟโมเมนตัมธรรมชาติจาก จับไม้หลวมไปแน่นไป ตีสบาย ๆ ไปตามธรรมชาติ ทุกวันนี้วงยังมองดูแด็กซ์อยู่ เห็นแด็กซ์ทำเพลงรู้สึกว่าแต่ละคนต่างมีความสุขบนทางของตนเองแม้ไม่ได้อยู่ด้วยกัน บ๊กแอสรู้สึกว่ายิ่งสำเร็จเท่าไหร่ ยิ่งรู้สึกผิดต่อเพื่อนเท่านั้น ทุกคนยังคงห่วงแด็กซ์เสมอ จนตอนที่พี่หรั่ง Silly Fools ขอแด็กซ์มาอยู่ด้วย กบดีใจมากเพราะพี่หรั่งเป็นคนที่แด็กซ์เชื่อใจมีความเป็นนักเลง พูดจริงทำจริง ทุกคนมีความเคารพนับถือในตัวพี่หรั่ง กบเลยอุ่นใจว่าแด็กซ์รอดแน่ไม่ใช่แค่เรื่องเพลงแต่รวมถึงเรื่องของการใช้ชีวิตด้วย ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

เมื่อถูกถามว่าเป็นไปได้ไหมที่จะมารียูเนี่ยน อ๊อฟถามในใจมาตลอดแต่รู้สึกว่ามันยังไม่ถึงเวลายังไม่รู้สึกว่าจะต้องทำแบบนั้น มันยังไม่มีความรู้สึกนั้น ทุกอย่างมันมีเวลาของมัน กบบอกว่าแต่มันก็มีภาพนั้นในหัวนะแต่เวลาจะทำหน้าที่ของมันเอง อย่างวง Van Halen ชวนนักร้องเก่ากลับมาอยู่ด้วยกัน สรุปอยู่ได้งานเดียวทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เจอกันร่วม 10 ปีคิดถึงกันแค่ไหน แต่สุดท้ายเหมือนมันคิดได้ว่า เออทำไมวงถึงแตก “ก็เพราะมึงเป็นอย่างนี้นั่นแหละ” (ฮา)

เมื่อถูกถามว่ามีอะไรอยากบอกกับแด็กซ์ ทั้งสองบอกว่าไม่ได้คุยไม่ได้เจอกันนานเลย เท่าที่พอรู้ก็คิดว่าอย่างแด็กซ์ไม่ต้องพูดจาอะไรกันเยอะ แต่ดีใจที่แด็กซ์ยังมีทางไปต่อได้ รู้สึกว่าจุดนี้โอเคไม่ต้องพูดอะไรกันเยอะ อย่างตอนคุณพ่อของอ๊อฟเสียแด็กซ์ก็ยังมาถึงแม้ไม่ได้คุยอะไรกัน การมาปรากฏตัวมันก็เป็นสัญญาณของมิตรภาพแล้ว บิ๊กแอสไม่ได้เกิดจากการตัดแปะมันเริ่มจากความเป็นเพื่อนกัน ขึ้นรถเมล์ด้วยกัน ใช้ชีวิตด้วยกัน

“เพื่อนกันไม่ต้องพูดอะไรกันมาก”

นี่มันจริงเลย วันงานแต่งของกบซึ่งเป็นช่วงท้าย ๆ ของบิ๊กแอสพ่อแม่แด็กซ์ก็ไปด้วยเหมือนทั้งสองท่านรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็เลยบอกกับกบว่า “ชวนแด็กซ์มันไปทำอะไรบ้าง นี่มันก็นั่งเล่นเกมทั้งวัน มันก็แข็งเหมือนพ่อนี่แหละ” เป็นประโยคที่เหมือนจะบอกใบ้วิธีแก้ปัญหาเอาไว้ แต่ในตอนนั้นทุกคนก็ไม่รู้ว่าจะคุยกันยังไง

สุดท้ายป๋าเต็ดถามทั้งสองว่ามีอะไรฝากไว้ให้กับวงดนตรีรุ่นใหม่บ้างไหมครับ กบเล่าว่าเคยมีคนมาขอคำปรึกษาเรื่องปัญหาวง ตอนนั้นกบแนะนำไปว่า

“มึงต้องคุยกัน”

หลังจากวันนั้น วงที่มาขอคำปรึกษาก็กลับไปพูดคุยกัน พวกเขายังบอกอีกว่าคืนนั้นเป็นคอนเสิร์ตที่มีความสุขที่สุด กบคิดว่าวันนี้ก็ได้แต่คิดว่าทำไมตอนนั้นถึงไม่คุยกันปัญหาของบิ๊กแอสคือการที่ “ไม่ยอมทะเลาะกัน” เพราะเคยทะเลาะกันครั้งหนึ่งแล้วมันเลวร้าย เลยกลัวการทะเลาะกัน แต่จริง ๆ แล้วการทะเลาะมันทำให้ได้คุยได้ปรับกัน ปัญหาเกิดเพราะทั้งสองฝ่ายต่างไม่เดินเข้าหากันเพราะไม่อยากจะทะเลาะกันนั่นเอง

Play video

เรื่องราวของ Big Ass อื่นๆ

Source

ป๋าเต็ดทอล์ก SS2 EP.6 “บทสรุปของบิ๊กแอส” กับการเปิดใจของกบและอ๊อฟ

วิกิพีเดีย “บิ๊กแอส”

 

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส