กบและอ๊อฟกับการเดินทางของบิ๊กแอสมาฟังความจริงในอีกมุมหนึ่งที่เราไม่เคยรู้มาก่อน

[บทความนี้เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ในรายการ “ป๋าเต็ดทอล์ก” SS2 EP.5 ” กบ และ อ๊อฟ ” กับการเดินทางของ “บิ๊กแอส”]

จุดเริ่มต้น

วงบิ๊กแอสเริ่มต้นจาก “อ๊อฟ” (พูนศักดิ์ จตุระบุล มือกีตาร์) และ “หมู” (อภิชาติ พรมรักษา มือกีตาร์) เรียนโรงเรียนสตรีวิทยา 2 ด้วยกัน สนุกกับการเล่นดนตรี ไปห้องซ้อมแล้วก็เจอกับ “กบ” (ขจรเดช พรมรักษา มือกลอง มีอีกชื่อหนึ่งคือ “แหลม” เป็นน้องชายของ “หมู บิ๊กแอส”) ซึ่งมาซ้อมกับวงโรงเรียนที่มีหญิงเต็มห้องก็คิดในใจว่า “ไอ้นี่มันร้าย” ตอนนั้นกบเล่นกีตาร์สลับกับกลองบ้างโชว์หญิงไปวัน ๆ ส่วนอ๊อฟตอนนั้นเล่นกลองเลยชวนกบมาเล่นด้วยกันดูตอนนั้นกบยังไม่ได้จริงจังกับดนตรีมากแต่อ๊อฟและหมูจริงจัง เป็นคนเก่งแกะเพลงเหมือน กบรู้สึกตื่นเต้นและรู้สึกชื่นชมในขณะเดียวกัน อ๊อฟกับหมูก็แอบชื่นชมกบที่มีหญิงเยอะ (ฮา) ตอนนั้นพวกเขาทั้งสามรู้สึกสนุกกับการเล่นดนตรีจึงนัดกันมาซ้อมทุกวันเสาร์

จนวงเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง เริ่มมาเป็นบิ๊กแอสตอนที่เริ่มหานักร้อง ตอนนั้นหมูมีเพื่อนที่ร้องได้เสียงสูงเหมือน แอกเซล โรส (Axl Rose นักร้องนำวง Guns N’ Roses) ส่วนอ๊อฟนั้นเจอกับแด็กซ์เพราะเรียนที่สถาบันเดียวกัน (โรงเรียนช่างก่อสร้างดุสิต) แถมยังมีคนชอบล้อว่าเป็นพี่น้องกันเพราะมีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกัน เตะบอลด้วยกันสนิทกัน วันหนึ่งในขณะที่อ๊อฟกำลังยืนซื้อก๋วยเตี๋ยวอยู่ แด็กซ์ก็เดินเข้ามาหาเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามอ๊อฟว่า “เฮ้ยได้ข่าวว่าชอบเล่นเฮฟวี่หรอ” อ๊อฟก็เลยชวนแด็กซ์ว่าวันนี้กำลังจะมีออดิชันนักร้องพอดี นักร้องชื่อตั้ม พอถึงเวลาก็เริ่มเทสต์แต่ก็กินเหล้าเฮฮากันไป ตั้มเมาเอาไฟแช็กลนไปใต้ขวดเหล้า แล้วเอามือปิดปากขวดพร้อมโชว์อภินิหารเอาขวดรูดตัวมาถึงหน้าอกจนเนื้อติดมาที่ปากขวด และเมาหลับคาเลือดไป (เลยเป็นการปิดตำนานคนเกือบเป็นนักร้องบิ๊กแอส) ในตอนนั้นทุกคนก็นั่งฟังเพลง Skid Row , Guns N’Roses แด็กซ์ก็ร้องตามเพลง ทั้ง ๆ ที่เสียงสูงแต่แด็กซ์ก็ร้องได้ทุกเพลงที่อ๊อฟชอบ อ๊อฟก็เลยเกิดได้ไอเดียชวนแด็กซ์มาเป็นนักร้อง (ต้องขอบคุณตั้มที่ทำให้ทุกคนได้เจอกัน)

โดยปกติแล้วบิ๊กแอสจะเจอกันทุกวันศุกร์ที่บ้านอ๊อฟเพื่อมาซ้อมด้วยกันในวันเสาร์ ในห้องซ้อมที่แฮปปีแลนด์ ซึ่งชื่อที่ใช้จองจะเปลี่ยนไปเรื่อย เพราะบางครั้งจองแล้วเบี้ยว เลยเริ่มตั้งชื่อวงเพื่อไปประกวดด้วย แด็กซ์จึงคิดชื่อ Big Ass”  จาก “Big Ass- Bad Face” มาจากความก้นยักษ์อ้วนเผละและหน้าที่ย่ำแย่ของแด็กซ์และคนในวง ตอนนั้นบิ๊กแอสไปประกวดที่ไหนก็ไม่เคยสำเร็จเลย ตอนนั้นวงที่เล่นแนวแจ๊สหรือฟิวชันจะครองถ้วยรางวัลกัน แต่บิ๊กแอสเป็นวงเฮฟวี่เมทัลก็เลยตกรอบหมดเลย

ต่อมา Fat Radio มีการจัดงาน Pirate Rock Market วงเลยอยากจะไปเล่นด้วยที่ทาวน์อินทาวน์ ในตอนนั้นกบมีพี่สาวเป็นดีเจอยู่เลยเหมือนมีเส้นสายภายใน โดยปกติแล้วในทุกวันศุกร์จะมีวงเล่นและจะมีวงเปิดเป็นวงสมัครเล่น บิ๊กแอสเลยตั้งใจจะไปสมัครวันที่มีวงดัง ๆ เล่น ตอนนั้นวง Manson มาเล่น กบเลยบอกพี่ตุ้มพี่สาวที่เป็นดีเจว่าขอจองวันนี้ พอใกล้ถึงวัน Manson แคนเซิล กลายเป็นวง “แฮมเมอร์” มาเล่น คนที่มาฟังก็เป็นแฟนแฮมเมอร์ซึ่งคนละแนวกับบิ๊กแอสเลย

วง Manson

วงแฮมเมอร์

ต่อมามีงาน Pirate Rock Market ครั้งที่ 2 จัดขึ้นที่ RCA มีกติกาว่าวงที่ขึ้นไปเล่นจะต้องมีเพลงของตัวเอง 4 เพลงเลยเริ่มแต่งเพลง ส่งเดโมจนได้เล่น พอลงเวทีมาพี่ปั๋ง (ประกาศิต โบสุวรรณ) เดินมายื่นนามบัตรชวนไปคุยที่แกรมมี่

ปั๋ง ประกาศิต

ก้าวแรกสู่การเป็นศิลปิน

ตอนนั้นการทำงานของแกรมมี่ยังเป็นยุคแต่งเพลงให้ศิลปิน ศิลปินไม่ได้แต่งเอง บิ๊กแอสเลยเลือกที่จะไม่เข้าไปหาหลังจากนั้นเลยลองลิสต์ชื่อค่ายเพลงมาแล้วมานั่งเลือกกันไปยื่นเดโมหมดทุกค่าย บางที่ฟังแค่อินโทรก็ข้ามแล้ว ไม่มีใครสนใจ ซึ่งคนที่จะโอเคต้องมองการณ์ไกล มีจินตนาการสูง แล้วในที่สุดพวกเขาก็ไปเข้าตาพี่เอก ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ แห่ง Music Bugs ซึ่งในตอนนั้นในค่ายมีวง “ละอ่อน” ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นบอดี้สแลม (มี ตูน ปิ๊ด เภา บอดี้สแลมเป็นสมาชิกอยู่ในวงละอ่อน และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นในความสัมพันธ์ของ บิ๊กแอส กับบอดี้สแลมตำนานวงพี่วงน้อง)

เอก ธเนศ วรากุลนุเคราะห์

วงละอ่อน

พี่เอกนั่งฟังเดโมจนจบ 4 เพลงแล้วเรียก “เหนือวงศ์” นักแต่งเพลงของมิวสิคบั๊กส์ (ซึ่งต่อมาได้ทำงานกับบิ๊กแอสและบอดี้สแลม) เข้ามาหาพี่เอก จากนั้นพี่เอกก็ให้การบ้านกับบิ๊กแอส หลังจากนั้นวงก็ทำเพลงส่งมาเรื่อย ๆ จนเซ็นสัญญา ก่อนที่จะเซ็นทั้ง 5 คนก็ขอเวลา 5 นาทีนั่งล้อมวงคุยกัน

“อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดจะดีจะร้ายอย่าว่ากันนะเว้ย”

และในที่สุดพวกเขาก็ก้าวเข้าสู่เส้นทางศิลปินในที่สุด

ถึงแม้จะได้ออกอัลบัมแล้ว แต่ความสำเร็จก็ไม่ได้มาอย่างง่ายดาย บิ๊กแอสต้องไปเล่นอะคูสติกตามห้าง คนก็ไม่สนใจ สามปีไม่มีงานเลย ตอนนั้นคิดว่ามีอัลบั้มรายได้ก็น่าจะมาจากการขายเทป แต่จริง ๆ มันต้องมาจากการเล่นโชว์ด้วย โดนเบี้ยวค่าจ้างบ้าง โดนหลอกบ้างก็มี บางครั้งได้คนละ 500 บาท ตอนนั้นมีเพลง “ทางผ่าน” ที่เริ่มดังแต่ค่ายก็ไม่ยอมให้ทำต่อ ถึงแม้จะได้รางวัลสีสันอวอร์ดก็ไม่ช่วยอะไรเลย ยอดเทปขายได้ 20,000 ม้วน ซึ่งถือว่าน้อยมากในเวลานั้น แต่วงก็ยังดันทุรังทำต่อไป รางวัลที่ได้จากสีสันเป็นตัวบอกให้ทุกคนทำต่อ ทุกคนจึง​”ทุบหม้อข้าว”แล้วเดินหน้าอย่างเดียว

จากนั้นสมาชิกในวงคือกบกับอ๊อฟได้มีโอกาสทำงานให้กับศิลปินคนอื่น ทำให้ได้สัมผัสถึงรสชาติของความสำเร็จได้เรียนรู้ว่าความสำเร็จนั้นสมบูรณ์แบบเพียงใด อ๊อฟทำฮุคและเล่นกีตาร์ให้กับเพลง “ยาม” ของลาบานูนจนขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่งทุกชาร์ต ได้เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จรู้ว่าคนฟังชอบอะไร ทำให้มีความหวังว่าพอประสบความสำเร็จแล้วมันจะเป็นเช่นนี้เอง

ส่วนกบก็เขียนเพลง “หนักใจ” ให้กับลาบานูน และเขียนเพลงให้บอดี้สแลมซึ่งสำเร็จมากๆ ต่อมาการทำเพลงกลายเป็นหน้าที่ที่ต้องเอาตัวให้รอดในวงการ

ตอนนั้นค่ายกำลังจะปิดตัวจะทำลาบานูนอีกอัลบั้มสุดท้าย นักเขียนเพลงตอนนั้นไม่มีใครทำ กบเลยมุ่งมั่นรับเขียนเนื้อเพื่อรับเงินก้อนนั้น พอผลงานชิ้นนี้มันดังเลยรู้สึกว่าเออมันดีอย่างนี้เอง ส่งผลให้เริ่มมีแผนในการทำงานมากขึ้น เพลงก็แต่งเมโลดี้แล้วค่อยเอาคำมาลง จากแต่ก่อนใช้วิธีการแจมในห้องซ้อมคิดคำอะไรลงก็ใส่ ๆ ไป เริ่มหาความสุขในรูปแบบของตัวเองและเอารูปแบบการสร้างงานมาปรับใช้ ต่อมาเพลง “ศักดิ์เอ๋ย” จากอัลบั้มที่ 2 “XL” (2543) เข้าชิงเพลงร็อกยอดเยี่ยมสีสันอวอร์ด (ซึ่งเพลงนี้มีพี่ตูนบอดี้แสลมร้องแรปด้วย) นักวิจารณ์เขียนว่าทำไมไม่ทำแบบนี้ไปทั้งอัลบั้ม กบเลยรู้สึกว่าเจอทาง รู้ว่าควรปรับเพลงไปในแนวทางใด จนมาถึง “My World” (2546) อัลบั้มที่ 3 จึงประสบความสำเร็จแต่ถือว่าเป็นอัลบั้มสุดท้ายที่ออกกับมิวสิคบั๊กส์

Play video

ต่อมาบิ๊กแอสเริ่มมีปัญหากับการทำงานในมิวสิคบั๊กส์ ค่ายไม่สนับสนุนถึงแม้ว่า “My World” จะประสบความสำเร็จก็ตาม แต่ด้วยความสำเร็จที่มีมันจึงเป็นความหวังให้กับบิ๊กแอส พวกเขาเริ่มคิดว่าถ้าทำเพลงแบบ “My World” กับแกรมมี่จะเป็นอย่างไร ตอนนั้นกบเขียนเพลง “อยู่ต่อได้หรือเปล่า” ของปาล์มมี่ จึงเริ่มเห็นว่าแกรมมี่มีการทำงานที่เปิดกว้างมากขึ้น แต่ตอนที่จะออกจากมิวสิคบั๊กส์มามีประเด็นเรื่องของความอกตัญญู ทั้งวงคิดว่าควรจะทิ้งค่ายและก้าวไปสู่จุดหมายที่ดีกว่าหรือเปล่า กบบอกว่า

“ชีวิตบางทีก็ต้องเห็นแก่ตัว”

สุดท้ายจบกันไม่ค่อยดี สำหรับกบแล้วพี่เอกคืออาจารย์จึงเป็นเรื่องที่ลำบากใจมาก ตอนนั้นกบใช้วิธีไปเซ็นที่แกรมมี่ก่อน แล้วค่อยมาบอกกับพี่เอก เพราะกบรู้ว่าถ้าให้พี่เอกรู้ก่อน พี่เอกคงไม่ยอม ตอนที่คุยกันพี่เอกพยายามบอกว่ามีปัญหาอะไรเดี๋ยวแก้ให้ พยายามพูดคุยให้อยู่ต่อ แต่ยิ่งคุยเท่าไหร่กบซึ่งเป็นตัวแทนของวงไปคุยในวันนั้นก็ไม่ยอมลงเสียที พี่เอกเลยถามว่าเซ็นกับแกรมมี่หรือยัง กบบอกว่าเซ็นแล้ว จากนั้นพี่เอกก็นั่งนิ่ง ไม่แม้แต่จะรับไหว้ กบร้องไห้เป็นเด็กเลยตอนนั้น อีกทั้งยังยังพยายามขอช่วยอยากทำงานต่อไม่อยากไปไหน แต่สุดท้ายก็เหมือนวิญญาณไม่มีใครสนใจ จึงออกมาแล้วไม่เจอพี่เอกอีกเลย ตราบจนกระทั่งคอนเสิร์ตของพี่เอกนับเป็นเวลากว่า 10 ปีที่ไม่ได้เจอหรือพูดคุยกัน

สู่การเป็นร็อกสตาร์

การทำเพลงกับจีนี่เรคคอร์ดของแกรมมี่คือความสำเร็จที่บิ๊กแอสควรได้รับมาตั้งนานแล้ว อัลบั้ม “Seven” (2547) ทำให้บิ๊กแอสประสบความสำเร็จอย่างสูง งานจ้างจาก 50 งานใน “My World” มาสู่ 300 กว่างานในอัลบั้มนี้ เป็นความสำเร็จที่ถาโถมเข้ามาโดยไม่ได้ตั้งตัว มีความสุขที่เพลงขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่งโดยไม่ต้องลุ้นแม้กระทั่งเพลงหน้าB ก็ขึ้นด้วย

สิ่งที่ทำให้ประสบความสำเร็จก็คือการถอดโมเดลมาจาก My World แล้วลองมาทำกับค่ายใหญ่ มันลงตัวมากขึ้นเข้าใจคนหมู่มากมากขึ้น แกรมมีเป็นประตูสู่คนหมู่มากและเข้าถึงคนได้อย่างรวดเร็ว เป็นการมาเจอกันของความพอดี ก่อนนี้บิ๊กแอสเคยลองผิดลองถูกทำในสิ่งที่ไม่ควรทำมามากแล้ว จนรู้ว่าอะไรโดนไม่โดนร่วมกับการมีสื่อในมือ เพลงมันเลยเดินทางไปได้ ดนตรีสุกงอม เมโลดี้ เนื้อเพลง ยังคงเอกลักษณ์ไอคอนเด็กช่าง แต่เริ่มมีความเป็นร็อกสตาร์ กบนั้นถึงแม้ดีใจแต่ก็ไม่เหลิง แต่กลับมีความทะเยอทะยานที่จะมุ่งไปข้างหน้าอีก ทำเพลงให้ดีขึ้น โชว์ดีขึ้น กบเริ่มเข้มงวดกับเพื่อน ๆ เผด็จการด้วยความมุ่งมั่นและความตั้งใจ เริ่มมีความเยอะใส่เพื่อน

“เยอะกับละเอียดมันอยู่ติดกัน”

อะไรไม่ใช่ก็จะพูดเลย คนอาจมองว่าเยอะจนบรรยากาศในวงตึง กบคิดว่าพวกมึงต้องไปจุดนั้นเหมือนที่กูตั้งใจไว้ ที่นี้พอวง ไปทำงานที่ไหนคนก็มองว่าเป็นวงเทพต้องดูแลให้ดี จัดที่พักก็ต้องจัดให้ริมทะเลคนเริ่มคิดว่าวงลืมตัวทั้ง ๆ ที่ใจไม่ได้จะไปแบบนั้น จนมาสู่ข่าวฉาวของแด็กซ์ในที่สุดแล้วบิ๊กแอสก็ได้มีพื้นที่ในข่าวบันเทิง ข่าวหน้าหนึ่ง ซึ่งเป็นมรสุมใหญ่ของวง

รอยแตกร้าว

กบบอกว่าตนยอมรับความผิด 100 เปอร์เซ็นต์ในสิ่งที่เกิดขึ้นจากการกดดันเพื่อนมากเกินไป เช่น แด็กซ์มักจะเมาในงานปาร์ตี้แล้วปล่อยตัวบ้าบอสุด ด้วยความอยากให้วงมีความเป๊ะ กบเริ่มรู้สึกว่าอย่างนี้ไม่โอเค ภาพพจน์วงไม่ดี จึงเริ่มไม่ชวนแด็กซ์ไปไหนด้วย จนเริ่มเกิดรอยปริแตก เริ่มห่างกันไปเรื่อย ๆ

ช่วงที่ดังมาก ๆ แด็กซ์เริ่มมีความเป็น “ลูกพี่” มีบางอย่างที่แตกต่างไปจากเดิม กบเริ่มรู้สึกว่ามันมีบางสิ่งที่เปลี่ยนไป เริ่มไม่คุยกันแล้ว ประจวบเหมาะกับมีปัญหาเรื่องเงิน ซึ่งก่อนนี้บิ๊กแอสจะตกลงค่าจ้างทั้งหมดด้วยการหาร 5 เท่ากัน แต่เรื่องมาเกิดตอนที่แด็กซ์เป็นพรีเซ็นเตอร์หลักล้าน ว่ากันว่ามีคนไปกระซิบแด็กซ์ว่าพี่มาถ่ายคนเดียวแล้วจะแบ่งทำไม สรุปว่าเกิดการไม่แบ่งจริง ๆ แถมวงยังต้องกดดันกับการรับหน้าเรื่องข่าวฉาวของแด็กซ์ มันเลยมาผสมโรงกันเป็นความคับข้องใจ รอยร้าวยิ่งขยายตัวออก ยิ่งดูหนังเกี่ยวกับวงดนตรีที่แบบมีตัวที่ทำร้ายวงยิ่งอิน การโดนกรอกหู การดูแลให้นักดนตรีเป็นมากกว่านักดนตรีมันสปอยล์คน แด็กซ์เองไม่รู้ว่าเพื่อนคิดอะไรเลยเริ่มไม่มีความสุขไม่สนุก

มีงานหนึ่งในช่วงอัลบั้ม Begins ไม่ใช่ตัวแด็กซ์เองแต่เป็นแก๊งของแดกซ์ไปมีเรื่องทะเลาะวิวาทเป็นอีกเรื่องที่วงเก็บสะสมความอัดอั้นตันใจเอาไว้ จากคนโดนชมโดนเชิดชูมาตลอด จนมาเจอข่าวฉาวที่ตัวเองไม่ได้ก่อ ช่วงเวลานั้นมันทำให้วงรู้สึกแย่และอึดอัดว่าทำไมแด็กซ์ไม่จัดการเสียที ในขณะที่แด็กซ์กลับรู้สึกว่าไม่เห็นมันจะมีอะไรเลย นักข่าวก็ยิ่งเขียนข่าวแบบใส่สีตีไข่ยิ่งทำให้เจ็บปวด เช่น โดนว่า “ขนาดหมามันยังรักลูกของมันเลย” ตอนนั้นทั้งวงแค้นใจมาก ระบายความโกรธอึดอัดใจด้วยการเอาค้อนทุบห้องบ้าง หมัดชกข้างฝาบ้าง เริ่มกลัวว่าใครจะมาฟังเพลงต่อไปพูดอะไรใครจะเชื่อ วันที่เห็นภาพตำรวจไปจับแด็กซ์นั้นคือเรื่องใหญ่เป็นจุดที่ต้องเริ่มแก้ไขผู้ใหญ่ต้องลงมาจัดการ เพื่อน ๆ เองก็รู้สึกสงสารแด็กซ์ แต่แด็กซ์ไม่คิดอะไรเลยในตอนนั้น ขนาดตอนโดนรวบยังนั่งเล่นเกมอยู่เลย เพื่อน ๆ นั้นรู้ดีว่ามันจะต้องมีวันนี้ แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

 

Play video

เรื่องราวของ Big Ass อื่นๆ

 

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส