อีกหนึ่งมหากาพย์การเปิดศึกคนดังฟ้องร้องของคนในครอบครัวที่คาราคาซังมาอย่างยาวนาน ก็คือคดีความระหว่าง Britney Spears กับพ่อแท้ ๆ อย่าง Jamie Spears ที่นับจนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลา 12 ปีเข้าไปแล้ว และจนถึงตอนนี้ Britney ก็ยังไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้เอง แถมยังถูกคุณพ่อควบคุมชีวิตมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งแฟนเพลงต้องออกมาเรียกร้องให้ #FreeBritney

จุดเริ่มต้นของปัญหานี้ย้อนกลับไปเมื่อปี 2007 ซึ่งเป็นช่วงขาลงของ Britney แถมเธอยังเสียศูนย์ครั้งใหญ่เมื่อต้องหย่าขาดกับอดีตสามีหนุ่ม Kevin Federline และต้องสูญเสียสิทธิในการเลี้ยงลูกทั้ง 2 คนให้กับเขาไปด้วย นอกจากนี้เธอยังต้องจ่ายเงินค่าเลี้ยงดูให้เป็นจำนวนเงินที่มากถึง 3 ล้านเหรียญฯ ต่อปี สภาพจิตใจของเธอบอบช้ำมากและก็ปรากฏภาพที่เธอทั้งโกนหัวตัวเอง เอาร่มไล่ฟาดปาปาราซซี และถูกหามเข้าโรงพยาบาลเพื่อประเมินสภาพจิตใจถึง 2 ครั้งอยู่ในสื่อจนทำเอาแฟน ๆ เข้าใจไปว่าเธอคงเสียสติไปแล้ว

ปี 2008 ศาลได้ตัดสินให้ Britney จัดอยู่ในประเภทบุคคลเสมือนไร้ความสามารถที่ไม่สามารถตัดสินใจเรื่องสำคัญ ได้ด้วยตนเอง ศาลจึงได้แต่งตั้งให้ Jamie Spears พ่อแท้ ๆ ของ Britney เป็นผู้พิทักษ์ ซึ่งก็หมายถึงบุคคลที่จะทำหน้าที่การตัดสินใจกระทำการทางกฎหมาย เรื่องการเงิน และการตัดสินใจรับการรักษาทางการแพทย์ต่าง ๆ ให้กับ Britney

หลังจากนั้นเธอก็ใช้ชีวิตการทำงานเพลงและมีความรักใหม่อย่างประปรายตามปกติ แต่คุณพ่อก็ยังทำหน้าที่ผู้พิทักษ์อยู่ต่อมา ในปี 2009 มีแฟนเพลงผู้ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินของศาล ออกมาตั้งเว็บไซต์ BreatheHeavy.com ขึ้นเพื่อสนับสนุนและเรียกร้องความยุติธรรมให้กับเธอ

จนกระทั่งเมื่อปี 2013 Britney กลับเดินสายทัวร์คอนเสิร์ต นานถึง 4 ปีเต็ม ก่อนที่จบปี 2017 เธอจะบอกขอพักผ่อนและไม่รับงานอีกพักใหญ่ (จนเหมือนกับจะลาวงการเลยก็ว่าได้) แต่พ่อและผู้จัดการกลับให้ Britney ต่อสัญญากับโชว์ชุดใหม่ สุดท้ายไป ๆ มา ๆ ทัวร์คอนเสิร์ตรอบใหม่ก็ถูกยกเลิก ก่อนจะมีการเปิดเผยสาเหตุว่าที่ต้องยกเลิกก็เพราะคุณพ่อ Jamie ป่วยหนักจนเกือบเสียชีวิต Britney ต้องยกเลิกการแสดงเพื่อให้เวลากับครอบครัว

จนกระทั่งถึงเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาก็ปรากฏข่าวว่า Britney ได้ออกมาประกาศว่าตนได้กลับไปรักษาในสถานบริการรักษาผู้ป่วยทางจิตอีกครั้ง สร้างความงุนงงให้กับแฟน ๆ ที่ออกโรงตามสืบเสาะหาความจริง ก่อนจะเริ่มพบเบาะแสว่า คุณพ่อ Jamie อาจเป็นคนบังคับให้ Britney รักษาอาการทางจิตโดยที่เธอไม่ได้เต็มใจ

นอกจากนี้ เขายังอาจจะอยู่เบื้องหลังในการตกลงกับเจ้าหน้าที่ทางกฎหมายและเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์เพื่อให้ศาลตัดสินว่า Britney ยังเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น มีรายงานออกมาในปี 2019 ว่า Britney มีรายได้ต่อปีมากถึง 59 ล้านเหรีญฯ แต่พ่ออนุญาตให้เธอใช้เงินต่อปีเพียง 1.1 ล้านเหรียญฯ (ที่เหลือก็อยู่ภายใต้ความดูแลของพ่อนั่นเอง)

จนต่อมาเมื่อเดือนพฤษภาคม  Britney ได้ยื่นขอยกเลิกสิทธิในการควบคุมของผู้พิทักษ์ พร้อมกล่าวหาว่าพ่อของเธอเป็นผู้บังคับให้ใช้ยารักษาทั้งที่ยาไม่จำเป็น ส่วน Jamie ก็เข้าไปยื่นขอร้องต่อศาลให้ตนเพิ่มอำนาจในการควบคุม Britney ในพื้นที่ในรัฐอื่น ๆ นอกจากในปัจจุบัน และเนื่องจาก Jamie ป่วยเป็นโรคลำไส้ใหญ่ ศาลจึงต้องมอบหมายหน้าที่ผู้พิทักษ์ชั่วคราวให้กับ Jodi Montgomery ผู้จัดการส่วนตัวของ Britney และ Britney ก็ทำการยื่นต่อศาลเพื่อขอเปลี่ยนผู้พิทักษ์ถาวร ให้ Jodi เป็นแทนพ่อ แต่สุดท้ายคำร้องเรียนก็ถูกปัดตก ทำให้คุณพ่อได้สิทธิกลับมาเป็นผู้พิทักษ์ของ Britney

https://www.youtube.com/watch?v=T2jcMv8iOic

ทาง Britney ก็ยังไม่ยอมแพ้ ออกมายื่นคำร้องขอเปลี่ยนผู้พิทักษ์อีกครั้ง โดยทนายของเธอยืนยันว่า เธอจะไม่ขึ้นแสดงโชว์อีกต่อไปหากพ่อของเธอยังคงมีส่วนรับผิดชอบในอาชีพของเธอ แต่ล่าสุดเมื่อ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ศาลปฏิเสธคำร้องของ Britney แล้วให้คุณพ่อยังคงเป็นผู้พิทักษ์ของเธอต่อไป

ซึ่งก็ทำให้แฟน ๆ มองกันว่า Britney อาจจะต้องถูก “จองจำ” อยู่ในสถานะนี้ไปตลอดชีวิตหรือจนกว่าพ่อของเธอจะเสียชีวิต นี่จึงเป็นวิบากกรรมของ Britney Spears ที่แม้ดูเหมือนจะตั้งหลักขึ้นมาได้เยอะจากที่เคยตกต่ำ แต่ก็มาติดปัญหาพ่อแท้ ๆ ที่ไม่รู้ว่าจ้องจะหากินกับลูกสาวคนดังหรือจริง ๆ แล้วเป็นผู้พยายามปกป้องเธอจากอาการเสียสติที่ยังไม่ค่อยจะหายดีกันแน่?

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส