เช้าวันจันทร์ที่จะถึงนี้แล้วสำหรับการประกาศผลรางวัลออสการ์ รางวัลทางภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งจนถึง ณ เวลานี้ รางวัลของสมาคมวิชาชีพในสาขาต่าง ๆ เช่น ผู้กำกับ ผู้เขียนบท นักแสดง ก็ได้ประกาศผลรางวัลยอดเยี่ยมสูงสุดไปหมดแล้ว (คณะกรรมการของแต่ละเวทีย่อยก็จะมารวมเป็นคณะกรรมการของออสการ์เวทีใหญ่อีกที) ซึ่งว่ากันจนถึงตอนนี้ หนังที่กวาดรางวัลไปมากที่สุดก็คือ 1917 และ Parasite ที่เรื่องแรกเป็นตัวเต็งนอนมาของสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและผู้กำกับ ส่วนเรื่องหลังก็เป็นตัวเต็งสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมและบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม

แต่ในเมื่อทั้งสองเรื่องไม่ได้มีนักแสดงเป็นจุดขายและแสดงกันเป็นทีมมากกว่าจะเด่นแบบนำเดี่ยว จึงไม่ได้เข้าชิงในสาขานักแสดงเลย What The Fact เคยได้นำเสนอตัวเต็งของสาขานักแสดงสมทบชายและสมทบหญิงไปแล้วก่อนหน้านี้ ก็ขอมาต่อกันเลยสำหรับผู้เข้าชิงในสาขาที่ใหญ่ขึ้น เพื่อให้คอหนังได้รู้จักบทบาทของพวกเขาและร่วมลุ้นร่วมเชียร์กันอย่างสนุกในงานออสการ์ปีนี้

สาขา นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม

Joaquin Phoenix จาก Joker

Joaquin Phoenix

Joaquin Phoenix

ตัวเต็งที่สุดของสาขานี้ในปีนี้ สำหรับนักแสดงที่เคยประกาศอำลาวงการฮอลลีวูดมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน แต่ก็ไม่ได้ไปจริง ซึ่งก็อาจจจะเป็นเพราะความติสท์ของพี่แกนี่เองที่ทำให้เข้าถึงบทบาทยาก ๆ ได้ (Phoenix เป็นหนึ่งในนักแสดงสาย Method หรือนักแสดงที่ทุ่มเทให้การเป็นบทบาทนั้นเช่น การขังตัวเองไว้กับการเป็นตัวละครนั้น ๆ ตลอดการถ่ายทำชนิดกลับบ้านก็ยังอยู่ในบท!) Phoenix สร้างชื่อเสียงมาจากหนัง To Die for (1995) ของ Gus Van Sant โดยก่อนหน้านั้นเขาใช้ชื่อทางการแสดงว่า Leaf Phoenix ก่อนจะที่ทุกคนจะจำเขาได้กับบทราชาคอมโมดัสใน Gladiator (2000) ซึ่งทำให้เขาได้เข้าชิงออสการ์เป็นครั้งแรก และได้เข้าชิงอีก 2 ครั้งจาก Walk the Line (2005) จากบทนักร้องอมตะที่มีตัวตนจริง “จอห์นนี่ แคช” และ The Master (2012) ในบทผู้นำลัทธิประหลาดที่ว่ากันว่าสร้างมาจากลัทธิไซแอนโทโลจีซึ่ง Tom Cruise นับถือมาก และอีกบทบาทหนึ่งที่เป็นที่ประทับใจของคอหนังก็คือการรับบทชายขี้เหงา “ธีโอดอร์” ที่หลงรัก “ซาแมนธา” ระบบปฏิบัติการเสียงในโทรศัพท์ จากหนัง Her

กับบท “โจ๊กเกอร์” ที่ก่อนหน้านี้นักแสดงผู้ล่วงลับอย่าง Heath Ledger รับบทเอาไว้ใน The Dark Knight (2008) และคว้าออสการ์สมทบไปได้ (นอกจากความยอดเยี่ยมแล้วก็เชื่อว่าออสการ์ให้รางวัลนี้เพื่อสดุดีกับโอกาสสุดท้ายที่จะให้ Ledger ได้รางวัลหลังจากเสียชีวิตไปแล้ว) การกลับมาสวมบทบาทที่เป็นภาพจำนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะ Phoenix ต้องทำให้ดีกว่าสถานเดียว ซึ่งก็ทำได้ดีกว่าจริง ๆ พิจารณาในแง่ของการอุ้มหนังทั้งเรื่องไว้คนเดียว เพราะ Joker โฟกัสที่คาแรกเตอร์นี้คนเดียวทั้งเรื่อง นอกจากนั้นเขายังต้องลดน้ำหนักตัวไปกว่า 52 ปอนด์ (หรือ 24 กิโลกรัม) อ่านหนังสือเกี่ยวกับการลอบสังหารทางการเมือง และดูวbดีโอเกี่ยวกับความทุกข์ทรมานจากเสียงหัวเราะ โรคที่โจ๊กเกอร์ในเรื่องโชคร้ายเป็น

Phoenix กวาดรางวัลไปมากมายแทบจะหมดวงการในสาขาดารานำชายยอดเยี่ยมของเวทีต่าง ๆ ในปีนี้ ทั้งลูกโลกทองคำ (ในภาพยนตร์ประเภทดราม่า) BAFTA SAG Awards และรางวัลที่ชื่อเดียวกับชื่อของเขาอย่าง Phoenix Film Critics Society Awards ด้วย นอกจากนี้ เขายังมีซีนกล่าวขอบคุณหรือกล่าวสุนทรพจน์ที่น่าจดจำมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งการกล่าวขอบคุณเพื่อนผู้เข้าชิงคนอื่นและขอบคุณ Heath Ledger ที่เคยรับบทนี้มาก่อนเขาบนเวที SAG Awards รวมถึงการออกมาแสดงจุดยืนต่อต้านอุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์ในอเมริกา เช่น การขอให้ผู้จัดงานลูกโลกทองคำเสิร์ฟอาหารวีแกนที่ไม่ปรุงจากเนื้อสัตว์เลย หรือหลังเวที SAG ก็ไปช่วยผู้ประท้วงคนอื่นพ่นน้ำใส่รถขนหมูที่กำลังจะเอาไปเข้าโรงฆ่าสัตว์ ทั้งที่ยังสวมสูทเต็มยศอยู่เลย!

Adam Driver จาก Marriage Story

Adam Driver

Adam Driver

เต็งสองที่ถ้าจะเกิดการพลิกโผก็คงจะเป็น Driver นี่เองที่สอยรางวัลจาก Phoenix ไปได้ แต่ด้วยระยะเวลาไม่นานที่อยู่ในวงการ ก็เป็นไปได้ที่คณะกรรมการจะมองว่า ยังเหลือเวลาอีกมากที่เขาจะสั่งสมบารมีและเล่นหนังดี ๆ (เหมือน DiCaprio ที่กว่าจะคว้าออสการ์ไปได้ คอหนังก็ล้อเลียนกันบ่อย ๆ ) ในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี Driver ก็สร้างชื่อเสียงทั้งในหนังเมนสตรีมระดับไตรภาค Star Wars ส่วนในหนังขายฝีมือทางการแสดงแค่ปี 2019 ปีเดียว เขาก็ไปมีบทบาททั้งใน The Report ที่สตรีมมิงช่อง Amazon ที่รับบทเป็นทนายซึ่งได้รับมอบหมายให้ไปสอบสวนคดีทรมานนักโทษที่มีเป็นจำนวนมากหลังเหตุการณ์ 911 และ Marriage Story ของช่องสตรีมมิงอีกช่องอย่าง Netflix ที่ได้ควง Scarlett Johansson นักแสดงที่เล่นคู่กันเข้าชิงกันทั้งคู่ ในหนังครอบครัวที่แสนกดดันและนักแสดงต้องรับบทหนักในการถ่ายทอดอารมณ์

Driver ผ่านหนังใหญ่ ๆ ขายฝีมือมากมายทั้ง Lincoln (2012), Inside Llewyn Davis (2013), Silence (2016), BlacKkKlansman (2018) ซึ่งเป็นผู้กำกับระดับตำนานของฮอลลีวูดล้วน และกับเรื่องหลังก็ส่งให้เขาเข้าชิงออสการ์สมทบชายยอดเยี่ยมเมื่อปีที่แล้ว ส่วนรางวัลที่กวาดไปทั้งหมดปีนี้จาก Atlanta Film Critics Circle, Central Ohio Film Critics Association, Chicago Film Critics Association Awards, Detroit Film Critics Society Awards, Dublin Film Critics Circle Awards, Florida Film Critics Circle Awards, Georgia Film Critics Association (GAFCA), Houston Film Critics Society Awards, Indiana Film Journalists Association, Oklahoma Film Critics Circle Awards, Palm Springs International Film Festival, Philadelphia Film Critics Circle Awards, Santa Barbara International Film Festival, Toronto Film Critics Association Awards, Utah Film Critics Association Awards, Washington DC Area Film Critics Association Awards หากจำนวนรางวัลที่มากกว่า Phoenix จะทำให้เขาชนะออสการ์ละก็ เรียกว่าคงชนะไปได้แบบหลายช่วงตัว เพียงแต่ว่าเป็นรางวัลย่อย ๆ ของแต่ละเมืองเท่านั้น

Leonardo DiCaprio จาก Once Upon a Time…in Hollywood

Leonardo DiCaprio

Leonardo DiCaprio

ไม้ประดับอย่างแท้ทรูสำหรับงานในปีนี้ เพราะแม้จะเป็นตัวหลักของหนัง Quentin Tarantino ที่เล่าถึงเหตุการณ์ของโลกฮอลลีวูดยุค 60s แต่เอาเข้าจริง ๆ ผู้ชมก็จดจำบทของ Brad Pitt ที่เป็นบทสมทบของเรื่องได้มากกว่า (ซึ่งก็น่าจะชนะออสการ์ในปีนี้ไปเลยด้วย) แต่ก็ไม่มีใครกังขาในความสามารถทางการแสดงของนักแสดงที่ดังเป็นพลุแตกมาจากหนังชู้รักเรือล่ม Titanic (1997) Leo เข้าชิงออสการ์มาทั้งหมด 4 ครั้งจาก What’s Eating Gilbert Grape (1993), The Aviator (2004), Blood Diamond (2006), The Wolf of Wall Street (2013) ก่อนจะมาชนะจาก The Revenant (2015) ที่ไปถ่ายทำกับแบบดิบเถื่อนในดินแดนอเมริกาใต้ ภาพยนตร์ที่โด่งดังและสร้างชื่อมากที่สุดในแต่ละยุคก็มีตั้งแต่ Catch Me If You Can (2002), Departed (2006), Inception (2010) และ The Great Gatsby (2013)

อย่างที่เรารู้กันว่า DiCaprio นั้นเป็นนักแสดงเบอร์หนึ่งที่มีบทบาทออกมารณรงค์ต่อต้านสภาวะโลกร้อน อย่างที่เขาขึ้นกล่าวสุนทรพจน์เรื่องนี้ในโอกาสที่ได้รับรางวัลออสการ์เมื่อ 5 ปีก่อน รวมถึงในเหตุการณ์วิกฤติไฟป่าออสเตรเลียเมื่อช่วงปลายปีต่อเนื่องต้นปีนี้ เขาก็ยังได้บริจาคเงินช่วยเหลือเป็นเงินถึง 3 ล้านเหรียญฯ (ประมาณ 93 ล้านบาท) รวมถึงมีข่าวเปิดเผยว่า DiCaprio ยังเป็นพ่อพระในชีวิตจริง เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาระหว่างที่เขาแล่นเรือส่วนตัวไปอยู่ในจุดที่ใกล้กับเหตุนักท่องเที่ยวรายหนึ่งประสบอุบัติเหตุตกเรือและไม่มีใครช่วยเหลือ เขาซึ่งเป็นเรือที่อยู่ใกล้จุดเกิดเหตุที่สุดก็รุดไปช่วยเหลืออย่างทันท่วงที เอาเป็นว่าแม้จะไม่ได้เน้นเรื่องรางวัลมากเท่าไรนักในย่อหน้านี้ แต่เราเชื่อว่า LDC คือนักแสดงที่คนรักมากที่สุดในโลกอย่างแน่นอน เขาจะกลับมาในหนัง Killer of the Flower Moon หนังของปู่ Martin Scorsese ที่เอาดาราลูกรักของเขาในสองยุคอย่าง Robert De Niro (Taxi Driver, Raging Bull) และ DiCaprio โคตรมาเจอกัน กำหนดฉายปีหน้า

Antonio Banderas จาก Pain and Glory

Antonio Banderas

Antonio Banderas

นักแสดงสัญชาติเสปนมากฝีมือและอยู่ในวงการมายาวนานอีกคนหนึ่ง ในช่วงแรกเขาเล่นหนังบู๊ดิบเถื่อนไตรภาคเรื่องราวของมือปืนเม็กซิกัน “เอล มาริอาชี่” (Desperado, Once Upon A Time in Mexico) ของผู้กำกับ Robert Rodriguez ก่อนที่จะไปเล่นหนังเมนสตรีมที่ทำให้คนรู้จักมากขึ้นอย่าง The Mask of Zorro ประกบกับ Catherine Zeta-Jones ในสองภาคปี 1998 และ 2005 และแฟรนไชส์ Spy Kids ที่ก็กำกับโดยผู้กำกับ Robert Rodriguez เช่นกัน ส่วนในหนังดรามาหวังรางวัล Banderas ก็ยังได้แสดงในหนังหลายเรื่อง ทั้ง Philadelphia (1993), Evita (1996) ในบท “เช กูวาร่า” นักปฏิวัติชื่อดัง, Frida (2002) หนังอัตชีวประวัติของ Frida Kahlo จิตรกรชื่อดังในอดีต

กับภาพยนตร์เรื่อง Pain and Glory หรือในชื่อต้นฉบับภาษาเสปนชื่อ Dolor y gloria กำกับการแสดงโดยมือหนึ่งของผู้กำกับชาวเสปน Pedro Almodóvar โดย Banderas ได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก Cannes Film Festival และนอกจากเข้าชิงรางวัลออสการ์นำชายปีล่าสุดแล้ว (พ่วงเข้าชิงรางวัลสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมด้วย) เล่าถึงประสบการณ์ชีวิตของ ‘ซัลวาดอร์ มัลโล’ ผู้กำกับภาพยนตร์ที่หมดไฟในการทำงานและสภาพร่างกายย่ำแย่ หนังจะเล่าตั้งแต่ในวัยเด็กในช่วงยุค 60s ที่ครอบครัวของเขาต้องอพยพไปอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เมืองบาเลนเซีย การออกตามหาความสำเร็จ ความปรารถนา และรักครั้งแรกที่เกิดขึ้นในกรุงมาดริดช่วงยุค 80s ความเจ็บปวดจากรักแรกครั้งที่ยังคงอยู่ไม่หายไป และการรักษาเพียงหนทางเดียวคือ การพยายามลืมในสิ่งที่เขาไม่อาจลืมได้ให้สำเร็จ นี่เป็นการเข้าชิงครั้งแรกของนักแสดงวัย 60 ปีคนนี้ ซึ่งโอกาสชนะนั้นถือว่ายาก

Jonathan Pryce จาก The Two Popes

Jonathan Pryce

Jonathan Pryce

จากบทวายร้ายในหนัง James Bond 007 Tomorrow Never Die (1997) ในยุคของเจมส์ บอนด์ Pierce Brosnan รับบทเป็นพ่อของอลิซาเบธ สวอนน์ (รับบทโดย Keira Knightley) ในไตรภาคแรก Pirates of the Caribbean (2003-2007) รับบทเป็นประธานาธิบดีที่โดนเหล่าร้ายแปลงกายเป็นเขาใน G.I. Joe ทั้ง 2 ภาค (2009-2013) Jonathan Pryce เริ่มพลิกแนวมารับบทในหนังและซีรีส์ขายการแสดง ไล่ตั้งแต่ Game of Thrones และ Taboo จนกระทั่งมารับบทสามีนักวิทยาศาสตร์ที่มีเมียดียืนหนึ่งที่คอยให้การสนับสนุนใน The Wife (2017) ซึ่งเกือบส่งให้ Glenn Close คว้ารางวัลออสการ์นำหญิงแล้ว (แต่ไปพลาดเสียให้กับ Olivia Coleman) ซึ่ง Close นั้นเข้าชิงออสการ์มาแล้วถึง 7 ครั้งแต่ไม่เคยได้เลย

กลับมาที่ Jonathan Pryce ที่ได้เข้าชิงจากบท “พระสันตปาปาฟรานซิส” ในหนังเรื่อง The Two Popes ของ Netflix ซึ่งบทนำในเรื่องนั้นเขาเล่นคู่กับ Anthony Hopkins ที่ได้เข้าชิงนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมในปีนี้เหมือนกันในบท “พระสันตปาปาเบเนดิคต์” พระสันตะปาปาที่อายุมากที่สุดเมื่อเริ่มดำรงสมณศักดิ์นับตั้งแต่พระสันตะปาปาเคลเมนต์ที่ 12 (ค.ศ. 1730) ส่วนบทของ Pryce คือ พระสันตะปาปาพระองค์แรกจากทวีปอเมริกาและซีกโลกใต้ และยังเป็นพระองค์แรกที่ใช้พระนามใหม่ซึ่งไม่เคยปรากฏตามแบบแผนดั้งเดิม ทั้งคู่เป็นตัวแทนระหว่างอนุรักษ์นิยมและเสรีนิยมอย่างชัดแจ้ง ซึ่งเป็นวาระที่โลกยุคใหม่ถูกยกมาปะทะกันบ่อยครั้ง ฝั่งหนึ่งเคร่งในหลักตีความดั้งเดิม อีกฝั่งบอกกรอบกำแพงทำให้ศาสนาออกห่างจากชีวิตจริงควรมองให้กว้างและตีความหลักการให้เท่าทันโลกยุคใหม่ด้วย การเข้าชิงรางวัลออกสาร์ของ Pryce ครั้งนี้เป็นการเข้าชิงครั้งแรก ในวัย 73 ปี ซึ่งแม้ว่าอายุจะเยอะแล้ว แต่ไม่น่าจะถึงขนาดเรียกคะแนนความเห็นใจจนทำให้เขาได้ออสการ์มาครองได้

สาขา นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม

Renee Zellweger จาก Judy

Renee Zellweger

Renee Zellweger

นักแสดงที่แจ้งเกิดมาจากหนังแนวโรแมนติกคอมเมดีในยุค 90s ต่อเนื่องมาต้นยุค 2000 สำหรับนักแสดงสาวร่างท้วมในเวลานั้นอย่าง Renee Zellweger ที่นำแสดงในหนังเรื่องแรกประกบ Tom Cruise ในหนัง Jerry Maguire (1996) ของผู้กำกับ Cameron Crowe ซึ่งในตอนนั้นเธอมาแคสต์เป็นนักแสดงเพราะมีเงินติดตัวอยู่น้อยมาก เรียกว่าแทบไม่มีจะกินจนผู้กำกับ Crowe ต้องเดินตามเอาเงินไปให้หลังแคสติงเสร็จ ท้ายที่สุดเธอได้รับเลือกให้มาเล่น หลังจากไม่มีใครที่ทำให้ผู้กำกับและทีมงานประทับใจกับบท “โดโรธี บอยด์” ได้ดีเท่าเธออีกแล้ว ก่อนที่เธอจะมาดังเป็นพลุแตกกับ Bridget Jones’s Diary (2001-2016) สร้างจากหนังสือนิยายดังที่มีออกมาถึง 3 ภาค นอกจากนั้นเธอก็ยังได้แสดงในหนังเพลงอย่าง Chicago (2002) เพราะ Renee มีความสามารถด้านการร้องเพลงด้วย

ส่งผลต่อเนื่องมาจนหนัง Judy ในปีนี้ที่ได้เข้าชิง เพราะเธอร้องเพลงเองตลอดทั้งเรื่องที่มีจะไม่ได้เพราะขนาด Judy Garland ตัวจริง  แต่ก็ถือว่ายอดเยี่ยมกว่านักแสดงทั่วไปคนอื่น บทของตัวละครจูดี การ์แลนด์ในเรื่อง ก็คือชีวิตของนักแสดงที่ถูกค่ายหนังเอาเปรียบให้ทำงานเกินเวลาและกินยาอดอาหารเพื่อให้ดูตัวเล็กเหมาะกับการเข้ากล้องตลอดเวลามาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ส่งผลให้ชีวิตของเธอตอนโตมีปัญหา ทั้งกับชีวิตครอบครัว (สามีและลูก) ความสัมพันธ์กับคนรักหลายคนตลอดชีวิต รวมถึงยังมีอาการติดเหล้าจนเป็นเหตุให้นำไปสู่จุดจบของชีวิต แต่อย่างไรก็ตาม หนัง เพลง และโชว์ของเธอก็ยังเป็นที่ถูกกล่าวขานมาจนถึงทุกวันนี้

Renee Zellweger เคยชนะรางวัลออสการ์สมทบหญิงยอดเยี่ยมมาแล้วครั้งหนึ่งจาก Cold Mountain (2003) ในหนังพีเรียดสงครามประกอบ Nicole Kidman และ Jude Law รวมถึงได้เข้าชิงมาแล้วอีก 2 ครั้งจาก Bridget Jones’s Diary (2001) และ Chicago (2002) ก่อนที่เธอจะห่างหายจากหนังรางวัลรวมถึงหนังทั่วไปเป็นเวลาเกือบสิบปี ก่อนจะ comeback กลับมากับบทนักแสดงและนักร้องชีวิตแสนเศร้าในปีนี้ ซึ่งส่งให้เธอคว้ารางวัลลูกโลกทองคำ สาขานำหญิงยอดเยี่ยมในภาพยนตร์ประเภทดรามา BAFTA และ SAG Awards เรียกว่ากวาดมาหมดทุกรางวัลใหญ่ ไม่แปลกถ้าจะกลายเป็นตัวเต็งจ๋าในปีที่การแข่งขันของสาขานี้ไม่ดุเดือดนัก (เธอเคยชนะรางวัลลูกโลกทองคำมาแล้วถึง 4 ครั้งจาก Nurse Betty (2000), Chicago (2002), Cold Mountain (2003) และ Judy (2020) ในปีนี้)

Saoirse Ronan จาก Little Woman

Saoirse Ronan

Saoirse Ronan

นักแสดงวัย 26 ปีที่เข้าชิงออสการ์มาแล้วถึง 4 ครั้งและครั้งแรกเกิดขึ้นจากภาพยนตร์เรื่องแรกที่เล่นในวัย 13 ปี ในเรื่อง Atonement (2007) ต่อด้วย Brooklyn (2015), Lady Bird (2017) และจาก Little Women ฉบับปี 2019 ที่มีการดัดแปลง “สี่ดรุณี” ฉบับนิยายมาแล้วหลายเวอร์ชัน ซึ่งในเวอร์ชันนี้กำกับโดย Greta Gerwig ผู้กำกับหญิงมาแรงแห่งยุคที่เคยกำกับ Lady Bird ที่ Ronan นำแสดงมาก่อนหน้านี้ โดยนับถึงวันนี้ (8 ก.พ.) หนังทำรายได้เกินหลัก 100 ล้านเหรียญฯ ในสหรัฐฯ จนถือว่าประสบความสำเร็จในการทำกำไรไปแล้ว นอกจากนี้ Florence Puge นักแสดงอายุน้อยอีกคนในเรื่องก็ยังได้เข้าชิงสาขาสมทบหญิงในปีนี้ด้วยเช่นกัน

Saoirse Ronan ยังได้เข้าชิงสาขาเดียวกันนี้จากหลายเวทีทั้งลูกโลกทองคำ BAFTA และเข้าชิงอีกหลายเวทีย่อยของเมืองต่าง ๆ (ชนะมาหนึ่งเวทีคือ Boston Society of Film Critics Awards) ซึ่งกับเวทีออสการ์ในปีนี้ น่าจะยังไม่ได้มอบรางวัลนำหญิงให้กับเธอด้วยความที่อายุยังน้อยและ Renee Zellweger ก็เป็นตัวเต็งสายแข็งมาก (เพราะทั้งร้องทั้งเต้นทั้งดรามา) Ronan จึงยังต้องเก็บสถิติเข้าชิงมากครั้งอีกหน่อย ออสการ์ถึงจะเห็นสมควรแก่เวลา ผลงานต่อไปของ Ronan คือการกลับไปเล่นหนังของ Wes Anderson เจ้าพ่อหนังสีสวยและอาร์ตไดเรคชันโคตรเป๊ะใน The French Dispatch ที่มีคิวฉายกรกฎาคมนี้ (เธอเคยเล่นหนังของ Anderson เรื่อง The Grand Budapest Hotel (2014)) มาก่อน และ Ammonite ประกบอีกหนึ่งออสการ์ Kate Winslet ติดตามอ่าน 5 บทบาทที่น่าประทับใจในโลกภาพยนตร์ของ Ronan ได้ที่นี่

Charlize Theron จาก Bombshell

Charlize Theron

Charlize Theron

นักแสดงหญิงที่สวยสง่าที่สุดคนหนึ่งของยุคนี้ พร้อมรับบทเป็นนางเอก ตัวดี ตัวร้ายมาแล้วในหนังหลายเรื่อง Chalize Theron เคยคว้าออสการ์นำหญิงมาแล้วจากบทฆาตกรต่อเนื่องที่เธอต้องแปลงโฉมเป็นคนอ้วนฉุและหน้าตาน่าเกลียดใน Monster (2003) และยังเคยเข้าชิงออสการ์มาแล้วอีกครั้งจาก North Country (2006) ในหนังหวังรางวัลนั้น Theron ยังเคยได้เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำทั้งหมด 6 ครั้งจาก Monster (2003), ภาพยนตร์โทรทัศน์ The Life and Death of Peter Sellers (2004), North Country (2005), Young Adult (2011), Tully (2018) (สองเรื่องหลังนี้เป็นผลงานกำกับของ Jason Reitman ที่กำกับให้ Theron กลายเป็นสาวขี้เหวี่ยงและไม่น่ารักเอาเลยออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม)

และจาก Bombshell ในปีนี้ที่เธอได้รับบทเป็นนักข่าว “มีกิน เคลลี่” ที่มีตัวตนจริง โดยเธอต้องแต่งหน้าเติมกรามขนาดใหญ่เพื่อให้ออกมาเหมือนตัวจริง ในเหตุการณ์ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องจริง ที่นักข่าวของช่อง Fox News ลุกขึ้นมาแหกอกผู้บริหารชายที่ชอบใช้อำนาจข่มเหงและลวนลามนักข่าวสาวหลายคนในบริษัท

Theron ยังมีหนังเมสตรีมอีกมากมายที่เธอไปรับบทดัง ๆ เอาไว้ ทั้งบท “ไซเฟอร์” ใน Fast & Furious ภาค 8 และภาค 9 ที่จะเข้าฉายเดือนพฤษภาคมนี้ก็ยังจะได้กลับมา และน่าจะได้มีบทบาทในหนังภาคแยกหญิงของแฟรนไชส์ Fast Saga ในอนาคตด้วย นอกจากนั้นผลงานหนังเมนสตรีมก็เยอะมาก ทั้ง Mad Max: Fury Road (2015), แฟรนไชส์ Snow White and the Huntsman (2012-2016), Atomic Blonde (2017) ที่ประกาศสร้างภาค 2 แล้ว และ Hancock (2008) ซึ่งทุกบทของเธอนั่นจะต้องแสดงความเป็นสาวแกร่งนักบู๊หรือราชินีผู้ทรงบารมี ปี 2019 ยังมีหนังโรแมนติกคอมเมดีเรื่อง Longshot อีกเรื่องที่เธอรับบทไว้อย่างทรงเสน่ห์มาก

Scarlett Johansson จาก Marriage Story

Scarlett Johasson

Scarlett Johasson

ได้เข้าชิงทั้งในสาขานักแสดงนำหญิงและสมทบหญิงในปีเดียวกัน ซึ่งถือเป็นน้อยครั้งที่นักแสดงจะได้โอกาสแบบนี้ (เพราะลำพังจะได้เข้าชิงแค่สาขาใดสาขาหนึ่งก็นับเป็นเรื่องยากแล้ว) ปี 2020 นี้จึงถือเป็นปีทองของนักแสดง Scarlett Johansson ที่ยังมีหนังเมนสตรีมของ Marvel Studios อย่าง Black Widow เตรียมจ่อรอฮิตเข้าฉายในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ Johansson นั้นยังไม่เคยได้เข้าชิงออสการ์มาก่อนแม้ว่าจะได้เล่นหนังดรามาขายการแสดงอยู่บ้างก็ตาม แจ้งเกิดจากหนังคนเหงา Lost in Translation (2003) ของผู้กำกับ Sofia Coppola และหนังแอ็กชันของผู้กำกับ Michael Bay อย่าง The Island (2005) ก่อนจะก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีมซูเปอร์ฮีโร Avengers เริ่มตั้งแต่ Iron Man 2 (2008) จนถึง Avengers: Endgame (2019) Johansson ยังเคยเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำถึง 4 ครั้งจาก Lost in Translation (2003) ในประเภทหนังเพลงหรือตลก และ Girl with a Pearl Earring (2003) ในประเภทหนังดรามา A Love Song for Bobby Long (2004) และ Match Point (2005) 3 ปีติดกัน และข้ามมาปีนี้กับ Marriage Story (2019)

ใน Marriage Story ของช่องสตรีมมิง Netflix นั้น Johansson รับบทเป็น “นิโคล” แม่ของครอบครัวที่กำลังแตกสลายเพราะมาถึงทางตัน โดยต้องแสดงเชือดเฉือนอารมณ์กับนักแสดงร่วมอย่าง Adam Driver ที่ก็เข้าชิงออสการ์นำชายด้วยเช่นกัน เกร็ดเล็กน้อยที่ทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นหนังดรามาครอบครัวที่ยอดเยี่ยม ยังมีอีกว่า ซีนทะเลาะกันช่วงท้ายเรื่องนั้น ไม่ได้ด้นสดกันแม้แต่ประโยคเดียว แต่เป็นการทำการบ้านซ้อมกันมาอย่างหนัก และใช้เวลาถ่ายทำซีนนี้เพียงซีนเดียวถึง 50 เทก ในเวลา 2 วัน และอารมณ์ที่ปะทุรุนแรงขึ้นแบบไล่ระดับไปเป็นการถ่ายทำแบบเทกเดียวจบ นอกจากนี้บทภาพยนตร์ของเรื่องนี้ เกิดขึ้นจากประสบการณ์ของผู้กำกับและนักแสดงเป็นส่วนใหญ่ อย่างเช่น Johansson และ Laura Dern สองนักแสดงในเรื่องเองก็เคยผ่านการหย่าร้างเช่นกัน และในช่วงที่ผู้กำกับติดต่อให้เธอมาเล่น ก็เป็นช่วงเดียวกับที่กำลังจัดการกับการหย่าร้างครั้งที่สองกับอดีตสามี เอาเป็นว่า โอกาสที่ได้เข้าชิงน่าจะเป็นจุดที่มาไกลสุดแล้วของเธอ ที่ยังมีโอกาสอีกมากที่จะได้เล่นหนังที่ปังและโชว์ฝีมือหนักข้อมากกว่านี้

Cynthia Erivo จาก Harriet

Cynthia Erivo

Cynthia Erivo

นักแสดงที่มีชื่อเสียงน้อยที่สุดในบรรดาผู้เข้าชิงออสการ์สาขานำหญิงในปีนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ยังแสดงในภาพยนตร์มาไม่เยอะมาก และยังเป็นนักแสดงแอฟริกัน-อเมริกันเพียงคนเดียวในจำนวน 20 คนของผู้เข้าชิงในสาขานักแสดง ท่ามกลางกระแสว่า ออสการ์ไม่ให้ความสำคัญกับคนที่ไม่ใช่ผิวขาว โดยรางวัลนี้อาจจะหย่อนเธอเข้ามาเพื่อกลบกระแสที่ว่า ซึ่งมีมาอย่างต่อเนื่องหลายปี Cynthia Erivo เพิ่งมีผลงานการแสดงจากหนังเรื่องแรกอย่าง Widows (2018) เมื่อ 2 ปีก่อน รวมถึง Bad Times at the El Royale (2018) ก่อนจะมาถึงเรื่อง Harriet (2019) ที่ได้เข้าชิงในที่นี้ รวมถึงซีรีส์อย่าง The Outsider โดยเธอจะมีบทบาทในหนังเรื่องต่อไปคือ Chaos Walking ของผู้กำกับ Doug Liman ที่นำแสดงโดย Tom Holland และ Daisy Ridley

Erivo รับบทสำคัญเป็น “แฮเรียต ทับแมน” ผู้หญิงผิวสีที่มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อเลิกทาสในสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อปี 2016 ได้มีภาพใบหน้าของเธอปรากฏบนด้านหน้าของธนบัตร 20 ดอลลาร์แทนที่อดีตประธานาธิบดี Andrew Jackson ซึ่งจะเป็นครั้งแรกในร้อยกว่าปีที่มีผู้หญิงปรากฏบนธนบัตรดอลลาร์ เธอตกเป็นทาสตั้งแต่กำเนิดในปี 1822 จนเมื่ออายุ 27 จึงได้หลบหนีไปอยู่ที่รัฐทางเหนือ หลังจากนั้นก็กลับมาช่วยทาสกว่าร้อยคนหลบหนีจากการเป็นทาสได้สำเร็จ จนได้รับฉายาว่า “โมเสส” ตามเรื่องราวในพระคัมภีร์ไบเบิล หลังจากนั้นในช่วงสงครามกลางเมืองของสหรัฐฯ แฮร์เรียตก็ได้ทำงานเป็นสายลับส่งข่าวสารให้กับรัฐทางเหนือจนฝ่ายที่ต้องการให้ไม่มีทาสในสหรัฐฯ ได้รับชัยชนะ

 

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส