เป็นธรรมดาของฮอลลีวูดอยู่แล้วถ้าหนังภาคต่อเรื่องไหนยังคงทำกำไร ผู้สร้างก็จะยังคงสร้างภาคต่อไปเรื่อย ๆ ตราบใดที่คนดูยังต้อนรับอยู่เสมอ ซึ่งโดยส่วนใหญ่คุณภาพของหนังก็มักจะสวนทางกับจำนวนตัวเลขภาคต่อที่มากขึ้น ตัวอย่างเช่น Rambo 5 ภาค, Die Hard 5 ภาค, Rocky 5 ภาค, Final Destination 5 ภาค, Step UP 5 ภาค, Terminator 5 ภาค ไม่นับภาคล่าสุด, Toy Story 4 ภาค, Alien 4 ภาค, Leathal Weapon 4 ภาค ยังมีอีกเยอะมาก แต่ก็ยังไม่มีใครไปได้ไกลเท่า Fast and Furious ที่น่าจะไปได้ถึง 10 ภาค

แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีอีกหลายเรื่อง ที่เป็นหนังฮิตแม้จะสานต่อมาครบเป็นไตรภาคแล้วก็ตาม แต่หนังก็ยังทำเงินได้ดี แต่ผู้สร้างก็ยินดีจะจบแค่นั้นไม่ขอสานต่อไปถึงภาค 4 และภาค 5 ทั้งที่ผู้ชมก็ยังยินดีต้อนรับถ้าหนังจะมีภาคต่อก็ตาม และนี่คือเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมนะ ไตรภาคสุดฮิตเหล่านี้ถึงไม่สร้างภาค 4 ตามออกมาล่ะ

Dark Knight Trilogy / Warner Bros.

The Dark Knight Trilogy

Batman Begins(2005) 205 ล้านเหรียญ
The Dark Knight(2008) 533 ล้านเหรียญ
The Dark Knight Rises(2012) 448 ล้านเหรียญ
รายได้รวม 1,189 ล้านเหรียญ ( รวมรายได้ตอนเอากลับมาฉายรอบสองแล้ว)

เหตุผลที่ไม่สร้างภาค 4 : คริสโตเฟอร์ โนแลน รู้สึกว่าพอแค่นี้ เขาบรรจงเล่าเรื่องราวออกมาเป็นไตรภาคอย่างประณีตบรรจง และคิดว่าเรื่องราวสมบูรณ์ครบถ้วนแล้ว นักข่าวได้ถามคำถามนี้กับคริสเตียน เบล ผู้รับบท บรู๊ซ เวย์น และ Batman ด้วยเช่นกัน

“เราต้องเจอกับคำถามแบบนี้แน่นอนอยู่แล้ว “หนังภาค 4 ล่ะ?” ผมก็ตอบเสมอว่า “ไม่แล้ว งานของเราขึ้นอยู่กับความใฝ่ฝันของคริสเท่านั้น ซึ่งเขาตั้งใจอย่างยิ่งว่าจะทำเป็นไตรภาคเท่านั้น อย่าต่อไปมากกว่านี้เลย มันจะยืดเยื้อเกินไปถ้าต้องมีภาค4 นะ”

Blade Trilogy / New Line Cinema

Blade Trilogy

Blade(1998) 131 ล้านเหรียญ
Blade II(2002) 155 ล้านเหรียญ
Blade: Trinity(2004) 131 ล้านเหรียญ
รายได้รวม 417 ล้านเหรียญ

เหตผลที่ไม่สร้างภาค 4 : สำหรับไตรภาค Blade นั้น มีหลายเหตุผลที่หนังไม่ได้ไปต่อ

  • นิวไลน์ ซีนีมา สตูดิโอเจ้าของหนังไม่พอใจคุณภาพของหนังภาค 3 เลยยกเลิกแผนการที่จะสร้างภาคต่อ ทำเอา ไรอัน เรย์โนลด์ ซวยไปด้วย เพราะเขาและเจสซิกา บีล ได้เปิดตัวในหนังภาคนี้ในฐานะคู่หู “Nightstalkers” ซึ่งเดิมทีทางนิวโลน์ ซีนีมา มีแผนการจะสร้างภาคแยกให้กับ “Nightstalkers” ก็เลยถูกยกเลิกไปด้วย เห็นได้ว่า ไรอัน เรย์โนลด์ นี่เวียนว่ายตายเกิดในแวดวงหนังซูเปอร์ฮีโรอยู่ยาวนานมาก พอมาได้เป็น Green Lantern หนังก็เจ๊งอีก กว่าจะได้มาแจ้งเกิดในบท Deadpool
  • อีกเหตุผลหนึ่งคือกรณีพิพาทของ เวสลีย์ สไนป์ ฟ้องร้อง นิวไลน์ ซีนีมา ที่ไม่จ่ายเขาตามสัญญาที่เซ็นกันไว้ ไม่ขอลงรายละเอียดในเรื่องของสัญญานะครับ คดีนี้ยืดเยื้อยาวนานมาก จนเงื่อนไขสัญญาที่นิวไลน์ ถือครองลิขสิทธิ์ตัวละคร Blade หมดลง ต้องคืนให้กับมาร์เวลไปในที่สุด ตอนนี้ก็มีข่าวว่า มาร์เวล จะรีบูต Balde แล้วให้ มาเฮอร์ชาลา อาลี มารับบทนำ

Spider-Man Trilogy / Sony Pictures Releasing

Spider-Man Trilogy

Spider-Man(2002) 825 ล้านเหรียญ
Spider-Man 2(2004) 788 ล้านเหรียญ
Spider-Man 3(2007) 894 ล้านเหรียญ
รายได้รวม 2,507 ล้านเหรียญ

แผนการสร้างภาค 4 ไม่ใช่เป็นแค่แนวความคิดนะ แต่ทุกอย่างลงตัวหมดแล้ว พร้อมจะเปิดกล้องแล้วด้วย แล้วไม่ใช่แค่ภาค 4 เพราะโซนี่ไฟเขียวให้สร้างภาค 5 ต่อกันไปเลย คนที่รับทรัพย์แบบอื้อซ่าก็คือ โทบี้ แม็กไกวร์ ที่เจรจาได้ค่าตัวมาถึง 50 ล้านเหรียญ สำหรับ Spider-Man 4 และ 5 จอห์น มัลโควิช จะมารับบทเป็น Vulture และบทนางเอกคนใหม่ เฟลิเซีย ฮาร์ดี้ ตกเป็นของ แอนน์ แฮทธาเวย์ ในปลายปี 2009 แกรี่ รอส ผู้รับหน้าที่เขียนบทภาพยนตร์แจ้งข่าวกับทางโซนี่ว่าบทใกล้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้เตรียมเปิดกล้องได้เลย ทางโซนี่ก็เดินหน้าเตรียมงานทันที ประกาศเปิดกล้องเดือนมีนาคม 2010 โซนี่ประกาศจองวันฉายทันที 6 พฤษภาคม 2011

เหตุผลที่ไม่สร้างภาค 4 : อ้าว! ทุกอย่างก็ฟังดูดี ลงตัวแล้วนี่ แล้วปัญหามันอยู่ตรงไหนล่ะ ทำไมเราไม่ได้ดู Spider-Man 4 กัน มันอยู่ที่คนนี้ครับ ที่เรายังไม่ได้เอ่ยชื่อเขาออกมาเลย แซม ไรมี่ ผู้กำกับ หรือผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของไตรภาค Spider-Man ตัวจริงนี่ล่ะ ที่ดูแผนการที่โซนี่วางแล้วก็ส่ายหัวท่าเดียว ยืนยันว่าเขาไม่มีทางสร้างหนังออกมาให้ดีได้หรอก ในกำหนดเวลากระช้้นชิดแบบนี้ ขอไม่ทำดีกว่า พอแซม ไรมี่ ไม่ทำ โซนี่ก็ไม่ง้อ ยกเลิกโพรเจกต์มันหมดเลยแล้วกัน เหมือนงอนยังไงไม่รู้ แล้วก็ประกาศรีบูตใหม่ ในปี 2012

The Hangover Trilogy / Warner Bros.

The Hangover Trilogy

The Hangover(2009) 469 ล้านเหรียญ
The Hangover Part II(2011) 586 ล้านเหรียญ
The Hangover Part III (2013) 362 ล้านเหรียญ
รายได้รวม 1,417 ล้านเหรียญ

นี่คือหนังที่ไม่ได้ตั้งใจจะสร้างเป็นไตรภาคเลย แต่ภาคแรกดันประสบความสำเร็จเกินคาด จากเรื่องของแก๊งหนุ่มเมาปลิ้นในลาสเวกัส ตื่นมาจำอะไรไม่ได้ เจอแต่ความวินาศสันตะโร ข้าวของเสียหายและที่สำคัญเพื่อนที่เป็นเจ้าบ่าวหายตัวไป กลายเป็นหนังคอมเมดี้ ที่ผสมปริศนาได้อย่างลงตัว ผลคือหนังฮิตถล่มทลาย จากทุนสร้างแค่ 35 ล้านทำรายได้ทั่วโลกไปถึง 469 ล้านเหรียญ ทำให้ แบรดลีย์ คูเปอร์ และ แซก กาลิฟิอานาคิส กลายเป็นดาราท็อปฮิต

เหตุผลที่ไม่สร้างภาค 4 : ปัญหาคือจะเล่าเรื่องราวภาค 2 และภาค 3 อย่างไรให้ไม่ซ้ำรอยเดิม หนังก็เลยย้ายให้เรื่องราวในภาค 2 มาเกิดขึ้นในประเทศไทย แล้วภาค 3 ไปเกิดเหตุในเม็กซิโก ผู้ชมดูแล้วรู้สึกว่าเนื้อหา บรรยากาศหนังมันช่างแตกต่างจากภาคแรกจัง ทำให้รายได้ของภาค 3 ในสหรัฐฯ ตกฮวบไปที่ 112 ล้านเหรียญ น้อยเกินครึ่งของรายได้ภาค 2 เสียอีก แถมภาค 3 ยังได้เข้าชิงรางวัลหนังยอดแย่เวทีราสซี่อวอร์ดเสียอีก เมื่อทิศทางหนังเริ่มดิ่งลงแบบนี้ ถ้าภาค 4 ออกมาวี่แววคงจะมีแต่เจ๊งกับเจ๊ง

Taken Trilogy / 20 Century Fox

Taken Trilogy

Taken 1(2008) 226 ล้านเหรียญ
Taken 2(2012) 376 ล้านเหรียญ
Taken 3 (2014) 326 ล้านเหรียญ
รายได้รวม 926 ล้านเหรียญ

นี่คือหนังฟลุค เพราะทีมผู้สร้างเองก็ไม่เคยคาดหวังว่าหนังจะฮิตได้ถึงเพียงนี้ ภาคแรกถูกปล่อยออกมาในปี 2008 การเลือกเอา เลียม นีสัน พระเอกที่รู้จักกันดีในฐานะนักแสดงขายฝีมือแบบจริงจัง แล้วจับมาเปลี่ยนภาพพจน์เป็นแอ็กชันฮีโร ในบท ไบรอัน มิลล์ อดีตมือสังหาร CIA ที่มีทักษะการต่อสู้ขั้นสูง แต่แล้วลูกสาวก็ถูกผู้ก่อการร้ายลักพาตัวไป เขาจึงต้องกลับมาสวมวิญญาณนักฆ่าอีกครั้งเพื่อช่วยชีวิตลูกตัวเอง หนังสร้างปรากฏการณ์อย่างมาก ด้วยรายได้สูงพ้นหลัก 200 ล้านเหรียญ แม้ว่าหนังจะปล่อยฉายในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งไม่ใช่ช่วงเวลาทำเงินในระดับบล็อกบัสเตอร์เลย แต่เสียงตอบรับอันล้นหลามมาจากความพึงพอใจของผู้ชมที่เหมือนได้กลับไปดูหนังแอ็กชันในสไตล์ยุค 80s อีกครั้ง ทำให้ Taken2 และ Taken3 ถูกปล่อยตามออกมา

เหตุผลที่ไม่สร้างภาค 4 : Taken คือภารกิจของ ไบรอัน มิลล์ เท่านั้น และ ไบรอัน มิลล์ ก็จะต้องเป็น เลียม นีสัน คนเดียวเท่านั้น ตัวเลขของภาค 3 ก็ยังพ้นหลัก 300 ล้านเหรียญอยู่เลย มีหรือที่ผู้สร้างจะไม่อยากสานต่อ แต่เมื่อ เลียม นีสัน ไม่กลับมาก็เป็นอันยุติแฟรนไชส์ Taken

เลียม นีสัน ให้สัมภาษณ์ในรายการ The Graham Norton Show
“ตอนที่จะสร้างภาค 2 ผมก็เคยบอกไว้แล้วนะว่ามันจะไม่เกิดขึ้น ผมก็พูดแบบเดียวกันอีกตอนที่จะสร้างภาค 3”
“พอพูดไปแล้วว่าจะไม่กลับมาแสดง มันก็เหมือนดูถูกผู้ชมพอ ๆ กับที่ผมดูถูกตัวเองด้วย”
และเมื่อถูกถามถึงความเป็นไปได้ของภาค 4
“ไม่แล้ว ไม่มีทาง มันหลายครั้งเหลือเกินแล้วที่ลูกของคุณโดนลักพาตัว”

(อ่านต่อหน้า 2 กับ Back to the Future กดด้านล่างเลย)

Back to the Future Trilogy / Universal Studio

Back to the Future Trilogy

Back to the Future (1985) 381 ล้านเหรียญ
Back to the Future Part II (1989) 335 ล้านเหรียญ
Back to the Future Part III (1990) 246 ล้านเหรียญ
รายได้รวม 962 ล้านเหรียญ

นี่คือหนังไตรภาคที่สร้างปรากฏการณ์อย่างมากในยุค 80s หนังภาคแรกเป็นหนังที่ทำเงินสูงสุดในปี 1985 และยังเป็นหนังที่สร้างปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรม เป็นหนังที่ถูกจดจำมากสุดในทศวรรษ ไมเคิล เจ.ฟอกซ์ และ คริสโตเฟอร์ ลอยด์ คือตัวเลือกที่เยี่ยมยอดที่สุด ทั้งคู่ได้สร้างคาแรกเตอร์ของ มาร์ตี้ แม็กฟลาย และเพื่อนต่างวัยอย่าง “ด็อก” เอ็มเม็ตต์ บราวน์ ให้ออกมาเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์และน่าจดจำอย่างมาก แม้ว่าผ่านมาแล้ว 35 ปี หนังก็ยังคงถูกพูดถึงแล้วแฟน ๆ ก็เฝ้ารอว่าหนังจะมีภาคต่อหรือถูกรีบูตหรือไม่

โรเบิร์ต เซเมกคิส และ บ็อบ เกล 2 ผู้ถือสิทธิ์ตลอดกาลของ Back To The Future

เหตุผลที่ไม่สร้างภาค 4 : ประเด็นหลักอยู่ที่ 2 คนนี้เท่านั้น บ็อบ เกล ผู้เขียนบท และ โรเบิร์ต เซเมกคิส ผู้กำกับและร่วมเขียนบท ที่ระบุไว้ในสัญญากับยูนิเวอร์แซลชัดเจนว่าถ้าจะมีการสร้างหนังอะไรที่เกี่ยวข้องกับ Back To The Future จะต้องผ่านความเห็นชอบจากเขาทั้งคู่เท่านั้น

โรเบิร์ต เซเมกคิส ผู้กำกับของหนังเคยให้สัมภาษณ์ไว้กับ The Telegraph ว่าเขาต่อต้านสุดตัวกับไอเดียรีบูต Back To The Future ของยูนิเวอร์แซล

“มันจะไม่มีทางเกิดขึ้นจนกว่าผมและบ็อบจะตาย”

The Godfather Trilogy / Paramount Pictures

The Godfather Trilogy

The Godfather (1972) 243 ล้านเหรียญ
The Godfather: Part II (1974) 48 ล้านเหรียญ
The Godfather: Part III (1990) 136 ล้านเหรียญ

รายได้รวม 3 ภาค 427 ล้านเหรียญ

นี่คือหนึ่งในหนังฮอลลีวูดที่ถูกยกย่องให้เป็นหนังที่ยอดเยี่ยมตลอดกาล ดัดแปลงจากนิยายของ มาริโอ พูโซ และดัดแปลงเป็นบทภาพยนตร์โดยผู้กำกับระดับปรมาจารย์ ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา The Godfather ภาคแรกออกมาในปี 1972 ประสบความสำเร็จทั้งด้านเงินและรางวัล หนังทำรายได้ทะลุหลัก 200 ล้านเหรียญ แล้วยังกวาดออสการ์ไปถึง 11 สาขา แน่นอนว่าพาราเมาต์สตูดิโอต้องเสนอให้ ฟรานซิส ฟอร์ด ทำ The Godfather ภาคต่อ ซึ่งในทีแรกนั้นฟรานซิสก็บอกปฏิเสธไปด้วยเหตุผลว่า

“ตอนที่พวกเค้าอยากให้ทำ The Godfather: Part II นั้น พวกเค้าก็ต้องการแค่เงินเท่านั้นแหละ”

ซึ่งตอนนั้น ฟรานซิส ฟอร์ด ก็มีโพรเจกต์เรื่องต่อไปของเขาอยู่แล้ว เป็นเรื่องราวของมาเฟียพ่อลูก ที่ฟรานซิส ฟอร์ด จะเล่าเหตุการณ์ตอนที่พ่อกับลูกยังอายุเท่ากันแล้วเล่าแบบขนานกันไป แต่ผลสุดท้ายฟรานซิส ฟอร์ด กับพาราเมาต์ก็ตกลงกันได้ ไอเดียนี้ก็เลยถูกดัดแปลงมาเป็นเรื่องราวของ วิโต คอร์ลีโอเน และ ไมเคิล ลูกชายของเขาใน The Godfather: Part II ในที่สุด

หลังจากหนังภาค 2 ประสบความสำเร็จ เส้นทางชีวิตของฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา ก็เริ่มดิ่งลง อันเป็นผลมาจากความล้มเหลวของหนัง One from the Heart (1981) ที่เขาหมายหมั้นปั้นมืออย่างมาก ลงทุนเองแล้วเจ๊งไม่เป็นท่า ทำให้ฟรานซิส ฟอร์ด เป็นหนี้มหาศาล ด้วยภาวะจำเป็นทางด้านเงิน ฟรานซิส ฟอร์ด ยอมรับข้อเสนอของพาราเมาต์ ด้วยการสร้าง The Godfather: Part III (1990) ในที่สุด

ซ้าย : มาริโอ พูโซ / ขวา : ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา

เหตุผลที่ไม่สร้างภาค 4 : ในช่วงที่ทำ The Godfather: Part III นี่ล่ะ ที่ฟรานซิส ฟอร์ด และ มาริโอ พูโซ ได้ไอเดียร่วมกันในการสร้าง The Godfather Part IV แต่ว่าตอนนั้น มาริโอ พูโซ อายุ 70 กว่าปีแล้ว เริ่มเปรยว่าอยากจะมีมรดกทิ้งไว้ให้ลูกหลานได้ใช้บ้าง ฟรานซิส ฟอร์ด ได้ยินดังนี้ก็รู้สึกเป็นห่วงเพื่อน ก็เลยไปต่อรองกับพาราเมาต์ว่า เขายินดีจะสร้าง The Godfather Part IV ถ้าพาราเมาต์ยินดีจ่ายเงินให้กับ มาริโอ พูโซ 1 ล้านเหรียญก่อน พาราเมาต์ไม่ตกลงด้วย มารโอ พูโซ ตายในปี 1999 ในวัย 78 ปี โพรเจกต์เป็นอันยุติ

Austin Power Trilogy / New Line Cinema

Austin Power Trilogy

Austin Powers: International Man of Mystery (1997) 67 ล้านเหรียญ
Austin Powers: The Spy Who Shagged Me (1999) 312 ล้านเหรียญ
Austin Powers in Goldmember (2002) 296 ล้านเหรียญ

รายได้รวม 3 ภาค 675 ล้านเหรียญ

เวิร์น ทรอยเออร์ ผู้รับบท มินิ- มี ทางซ้ายมือ

ภาคแรก Austin Powers: International Man of Mystery ออกมาในปี 1997 หนังทำเงินในระดับที่น่าพอใจ 67 ล้านเหรียญจากทุนสร้างเพียง 13 ล้านเหรียญ ด้วยความตั้งใจของ ไมค์ มายเออร์ ที่จะให้เป็นหนังคอมเมดี้ล้อเลียนหนังสายลับอย่าง เจมส์ บอนด์

ไมค์ มายเออร์ จึงเหมาทั้งหน้าที่เขียนบทและแสดงนำเป็น ออสติน พาวเวอร์ เอง เรื่องราวของสายลับอังกฤษในยุค 60s ที่ถูกแช่แข็งไว้ แล้วถูกละลายให้กลับปฏิบัติการอีกครั้งในยุค 90s ด้วยความสำเร็จของหนังทำให้ประโยคเด็ด ๆ จากหนังหลาย ๆ คำกลายเป็นประโยคฮิตติดปากผู้คนในยุคนั้น และแน่นอนหนังที่หนังทำกำไรเช่นนี้จึงต้องมีภาคต่อตามมาอีก 2 ภาค

เหตุผลที่ไม่สร้างภาค 4 : เหตุผลนี้ได้รับการเปิดเผยจาก เจย์ โรช ผู้กำกับทั้ง 3 ภาคว่า เขาได้เคยคุยเรื่องภาค 4 กับ ไมค์ มายเออร์ แล้ว

“เค้าและผมคิดกันอยู่เสมอว่าเราน่าจะเล่นอะไรได้อีกกับตัว ดร.อีวิล”

ในไตรภาค Austin Powers มีการสร้างสรรค์คาแรกเตอร์ตัวร้ายขึ้นมาใช้ชื่อว่า ดร.อีวิล ที่ดึงจุดเด่นมาจากตัวร้ายในแฟรนไชส์หนัง เจมส์ บอนด์ และก็เป็นอีกบทที่เล่นโดย ไมค์ มายเออร์ เอง เจย์ โรช และ ไมค์ มายเออร์ ลองหยิบไอเดียต่าง ๆ ที่น่าจะเหมาะเป็นหนังภาค 4 มาปรึกษากันบ่อยครั้ง แต่ถึงตอนนี้มันแทบจะเป็นไปไม่ได้แล้วเพราะไมมี เวิร์น ทรอยเออร์ ผู้รับบทเป็น “มินิ-มี” ร่างโคลนของ ดร.อีวิล ที่เสียชีวิตไปเมื่อปี 2018
“ผมไม่รู้เลยว่าจะทำภาค 4 อย่างไรโดยที่ไม่มี เวิร์น”

แต่ตอนนี้ก็มีข่าวคราวภาค 4 ออกมาแล้วนะครับ ไมค์ มายเออร์ ไปซื้อบทภาพยนตร์หนังแอ็กชัน ที่เดิมทีจะให้ ไจ คอร์ตนีย์ รับบทนำมาดัดแปลงเป็น Austin Powers 4 แล้ว ฮีเธอร์ แกรม ก็ตอบรับกลับมาสวมบท เฟลิซิตี้ แชกเวล เช่นเดิม

planet of the apes Trilogy / Twentieth Century Fox

planet of the apes Trilogy

Rise of the Planet of the Apes (2011) 481 ล้านเหรียญ
Dawn of the Planet of the Apes (2014) 710 ล้านเหรียญ
War for the Planet of the Apes (2017) 490 ล้านเหรียญ

รายได้รวม 3 ภาค 1,681 ล้านเหรียญ

ก่อนที่ Star Wars จะขึ้นแท่นกลายเป็นหนังไซไฟบล็อกบัสเตอร์ในยุค 70s นั้น ก๋อนหน้านั้น หนังที่ครองบัลลังก์แชมป์หนังไซไฟระดับบล็อกบัสเตอร์ก็คือ Planet of the Apes นี่ล่ะ ในรอบแรกนั้นลากยาวกันถึง 5 ภาคเลย ในช่วงปี 1968 – 1973 เรื่องราวของโลกอนาคตที่ปกครองโดยเหล่าประชากรลิงอัจฉริยะ

Planet of the Apes กลายเป็นแฟรนไชส์ที่มีค่าของ Twentieth Century Fox ที่นำมารีบูตแล้วรีบูตอีกหลายครั้งทั้งในรูปแบบทีวีซีรีส์ และภาพยนตร์ ครั้งหนึ่งที่หลายคนยังจำได้ดีก็คือเวอร์ชันปี 2001 โดยผู้กำกับ ทิม เบอร์ตัน และได้ มาร์ก วาห์ลเบิร์ก มารับบทนำ หนังประสบความสำเร็จดี แต่ทิม เบอร์ตัน บอกว่าเขาขอไปกระโดดออกหน้าต่างดีกว่าจะให้มาทำภาคต่อ แต่ Fox ก็ไม่ง้อไม่รอ ทิม เบอร์ตัน แต่เลือกที่จะรีบูตอีกครั้งในปี 2001 กับ Rise of the Planet of the Apes แต่ครั้งนี้ไม่กลับไปเล่าเรื่องราวเดิม ๆ แล้ว แต่เลือกเล่าเรื่องราวก่อนหน้าที่จะเป็นเหตุการณ์ใน Planet of the Apes ที่นักบินอวกาศกลับมายังโลกแล้วพบว่าโลกถูกปกครองโดยเหล่าวานร

เหตุผลที่ไม่สร้างภาค 4 : แม้ว่าหนังจะจบไปในรูปแบบไตรภาคที่สมบูรณ์และลงตัวดีแล้ว แต่ Fox ก็ยังเสียดายโอกาสที่จะแฟรนไชส์จะทำเงินได้อีกมาก เพราะหนังยังมีเรื่องราวให้เล่าได้อีกว่าเพราะเหตุใด เหล่าวานรถึงสามารถครองโลกได้ แต่โพรเจกต์ก็มาสะดุดเอาตอนที่ดิสนีย์มาซื้อฟอกซ์เสียก่อน สิทธิ์ในการสร้างก็ตกเป็นของดิสนีย์ไปด้วย จากนี้ก็รอดูกันต่อไปว่าดิสนีย์จะสนใจทำอะไรกับแฟรนไชส์อันเลอค่านี้เหรอไม่

Evil Dead Trilogy / New Line Cinema

The Evil Dead Trilogy

The Evil Dead (1981) 2.8 ล้านเหรียญ
Evil Dead II (1987) 5.9 ล้านเหรียญ
Army of Darkness (1992) 11 ล้านเหรียญ

รายได้รวม 3 ภาค 19.7 ล้านเหรียญ

ก่อนที่ แซม ไรมี จะเป็นผู้กำกับระดับพันล้านเหรียญ เขาก็แจ้งเกิดมาจากหนังสยองขวัญทุนต่ำเรื่องนี้ล่ะ เรื่องของเพื่อนรักร่วมมหาวิทยาลัย 5 คน ไปแคมปิ้งกันในกระท่อมกลางป่าลึก แล้วก็ดันพลาดไปเจอคัมภีร์เก่าแก่ที่ห้องใต้ดินในกระท่อมนั้น ในนั้นมีบทสวดโบราณที่สามารถปลดปล่อยวิญญาณร้ายรอบ ๆ กระท่อมออกมาได้ หนังได้สร้างชื่อให้ บรู๊ซ แคมป์เบล ในบท แอช วิลเลียมส์ กลายเป็นพระเอกในแวดวงคอหนังคัลต์ที่มีฐานแฟนติดตามผลงานเขาจำนวนมาก กับภาพลักษณ์พระเอกนักปราบผีที่มีแขนขวาเป็นเลื่อยโซ่ หนังสานต่อมาในภาค 2 และภาค 3 ที่เริ่มมีทุนสร้างมากขึ้น และทำรายได้มากขึ้น และเนื้อหาก็หลุดโลกมาขึ้น เมื่อแอชหลุดเข้าไปในวังวนแล้วมาโผล่ในปี 1300 ได้เจอกับคิงอาร์เธอร์ หนังถูกรีบูตในปี 2013 ที่มีการเล่าเรื่องราวที่คล้ายคลึงกับไตรภาคแรก ที่เล่าเรื่องราวของวัยรุ่นกลุ่มใหม่ที่มาพักในกระท่อมเหลังเดิม

แอช และ มิอา ตัวเอกจากต้นฉบับและรีบูตที่แฟน ๆ อยากให้โคจรมาเจอกัน

เหตุผลที่ไม่สร้างภาค 4 : จริง ๆ ต้องบอกว่า แซม ไรมี มีแผนการจะสร้างภาค 4 แล้วในปี 2013 ตอนที่ Evil Dead (2013) ออกฉายนั้น แซม ไรมี ประกาศในงาน WonderCon ว่าเขามีแผนจะสร้าง Army of Darkness 2 ในงานนี้ บรู๊ซ แคมป์เบล และ เฟเด อัลวาเรซ ผู้กำกับก็ได้แถลงข่าวร่วมกันว่า Evil Dead เวอร์ชันรีบูตนี้จะสานต่อเป็นไตรภาค แล้ว แอช วิลเลียมส์ ก็จะมาเจอกับ มิอา นางเอกของไตรภาคชุดใหม่นี้ในหนังภาคที่ 7 ของแฟรนไชส์นี้ ก็เป็นข่าวที่ทำให้แฟน ๆ แฟรนไชส์ฮือฮามาก แต่ก็ไม่ทราบได้ด้วยเหตุผลกลใด Evil Dead รีบูตถึงจบอยู่แค่ภาคแรก ทั้งที่หนังก็ได้รับเสียงตอบรับดี

บรู๊ซ แคมป์เบล ก็เลยหันไปแสดงใน Ash vs. Evil Dead ทีวีซีรีส์ที่เล่าเรื่องราวต่อจาก Army of Darkness ทีวีซีรีส์มาจบอยู่ที่ซีซัน 3 ข่าวล่าสุดออกมาจาก บรู๊ซ แคมป์เบล ในปีนี้ว่า แซม ไรมี ยังคงมีความพยายามที่จะพัฒนาโพรเจกต์ต่อไปในแฟรนไชส์ Evil Dead นี้อยู่

(อ่านต่อหน้า 3 กับ Night at the Museum)

night at the museum Trilogy / Twentieth Century Fox

Night At The Museum Trilogy


Night at the Museum (2006) 574 ล้านเหรียญ
Night at the Museum: Battle of the Smithsonian (2009) 413 ล้านเหรียญ
Night at the Museum: Secret of the Tomb (2014) 363 ล้านเหรียญ

รายได้รวม 3 ภาค 1,350 ล้านเหรียญ

ปกหนังสือภาพสำหรับเด็ก

จุดกำเนิดจริง ๆ ของไตรภาค night at the museum นั้นมาจากหนังสือนิทานสำหรับเด็กวัย 4 – 7 ขวบ ที่มีความหนาเพียงแค่ 32 หน้า ก็ผ่านมือนักเขียนบทภาพยนตร์มากหน้าหลายตา จนขยายกลายเป็นหนังไตรภาคไปได้ ตัวละครเอกในหนังก็ยังยึดตามเนื้อหาของหนังสือนิทานคือ แลร์รี ยามกะกลางคืนของพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมาติ ที่ต้องเจอเรื่องราวมหัศจรรย์เมื่อบรรดาหุ่นที่ตั้งโชว์ในพิพิธภัณฑ์กลับมีชีวิตในยามค่ำคืน หนังใส่พัฒนาการของแลร์รีลงไปในแต่ละภาคที่เดินหน้าไป ในภาคแรกเขาเป็นแค่ยามต๊อกต๋อยที่ใช้ชีวิตซังกะตายไปวัน ๆ พอมาถึงภาค 2 เขาเป็นผู้ค้นพบปรากฏการณ์มหัศจรรย์นี้ และในภาค 3 แลร์รีก็ได้ตัวแทนที่เขาไว้ใจให้มารับหน้าที่แทนเขา ส่วนตัวเขาก็ลาออกจากงานนี้แล้วมูฟออนต่อไป

โรบิน วิลเลียมส์ ในบท ประธานาธิบดี ธีโอดอร์ รูสเวลต์

เหตุผลที่ไม่สร้างภาค 4 : ชอว์น เลวีย์ ผู้กำกับทั้ง 3 ภาค เผยว่า
“เบ็นและผมรู้กันดีว่าในภาค 3 นี้ บรรดาตัวละครจะต้องกล่าวคำอำลาซึ่งกันและกัน เช่นเดียวกับเราที่จะต้องกล่าวคำว่า ‘ลาก่อน’ เช่นกัน”

และจุดสำคัญที่ทำให้หนังต้องเป็นอันยุติถาวรในภาค 3 ก็คือ โรบิน วิลเลียมส์ ผู้รับบทบาทสำคัญประธานาธิบดี ธีโอดอร์ รูสเวลต์ ได้เสียชีวิตลงหลังจากปิดกล้องภาค 3 ไปได้ไม่นาน ก่อนที่หนังจะเสร็จสมบูรณ์พร้อมเข้าฉายเสียอีก ทีมงานจึงตกลงกันว่าไม่มีทางที่จะสร้างภาคต่อได้อีกถ้าขาด โรบิน วิลเลียมส์
“ปิดฉากมันซะ”
ชอว์น เลวีย์ กล่าว

madagascar Trilogy / DreamWorks Animation

Madagascar Trilogy

Madagascar (2005) 542 ล้านเหรียญ
Madagascar: Escape 2 Africa (2008) 603 ล้านเหรียญ
Madagascar 3: Europe’s Most Wanted (2012) 746 ล้านเหรียญ

รายได้รวม 3 ภาค 1,891 ล้านเหรียญ

DreamWorks Animation ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1994 ท่ามกลางเสียงถากถางว่าเป็นความคิดบ้าระห่ำที่จะสร้างสตูดิโอผลิตแอนิเมชันมาแข่งกับยักษ์ใหญ่ในวงการอย่าง ดิสนีย์ แต่แล้วพวกเขาก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาสามารถสร้างแอนิเมชันสุดฮิตจำนวนมากออกมาได้ทั้ง Shrek, How to Train Your Dragon, Kung Fu Panda และ Madagascar แฟรนไชส์เหล่านี้ทำกำไรได้อย่างสวยงาม

โดยเฉพาะ Madagascar ที่มาในแนวสูตรสำเร็จเหมือนการ์ตูนดิสนีย์ ที่วางตัวละครหลักให้เป็นเหล่าสัตว์ในสวนสัตว์ที่พูดได้ ได้นักแสดงแถวหน้ามาให้เสียงพากย์ทั้ง เบ็น สติลเลอร์, ควีน ลาติฟาห์, คริส ร็อก และ จาดา พินเก็ต สมิธ บรรดาสัตว์เหล่านี้ต้องตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน และพากันเอาตัวรอดมาได้ทุกครั้ง และเป็นแฟรนไชส์ส่วนน้อยมาก ที่ภาคต่อสามารถทำรายได้สูงกว่าภาคก่อนหน้าอย่างต่อเนื่อง ทั้้ง 3 ภาคทำเงินรวมกันแล้วมากกว่า 1,900 ล้านเหรียญ นี่ยังไม่นับรวมภาคแยก The Penguins of Madagascar อีกด้วย

เหตุผลที่ไม่สร้างภาค 4 : เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ เมื่อหนังในมือทำกำไรได้อย่างมากมาย แต่ DreamWorks Animation ก็ยังประสบปัญหาทางด้านการเงินอย่างหนัก บริษัทโดนซื้อไปโดย Comcast ในปี 2016 ทำให้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภายในมากมาย มีการปลดพนักงานมากถึง 500 คน และลดค่าใช้จ่ายต่อปีลงอย่างมาก ลดขนาดการผลิตแอนิเมชันจาก 3 เรื่องลงเหลือแค่ 2 เรื่องต่อปี โพรเจกต์ Madagascar 4 ถูกถอดออกจากแผนงานสร้างในเดือน พฤษภาคม 2018 แล้วถูกแขวนรอไว้อย่างไม่มีกำหนดสร้าง

rush hour Trilogy / Warner Bros.

Rush Hour Trilogy

Rush Hour (1998) 244 ล้านเหรียญ
Rush Hour 2 (2001) 347 ล้านเหรียญ
Rush Hour 3 (2007) 258 ล้านเหรียญ

รายได้รวม 3 ภาค 849 ล้านเหรียญ

หนึ่งในหนังตำรวจคู่หูที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ในยุคที่ฮอลลีวูดนิยมจับ 2 ตัวละครหลักที่มีบุคลิกแตกต่างกันอย่างมากให้มีความจำเป็นต้องมาร่วมงานกัน อย่างใน Rush Hour นี้ก็เหมือนเดิมตามกระแสความสำเร็จของ Lethal Weapon ด้วยการสร้างคาแรกเตอร์ เจมส์ คาร์เทอร์ ตำรวจอเมริกันพูดมาก ปากเปราะ บทของ คริส ทัคเกอร์ ให้ต้องมาร่วมงานกับ ลี หัวหน้าหน่วยสืบสวนจากฮ่องกง บทของ แจ็กกี้ ชาน เพราะในภาคแรกนี้ ลี บินมาที่สหรัฐฯ เพื่อตามสืบคดีลูกสาวของนักการทูตจีนถูกเรียกค่าไถ่ในสหรัฐฯ ในภาค 2 ย้ายเหตุการณ์มาในฮ่องกงบ้าง เมื่อทั้งคู่ต้องตามสืบคดีฆาตกรรมในสถานทูตอเมริกา ในฮ่องกง และในภาค 3 ทั้งคู่ต้องเจอกับคู่ปรับระดับพระกาฬ ที่เป็นอาชญากรมันสมองอัจฉริยะ กลับกลายเป็นว่าเขาคือพี่ชายบุญธรรมของลี หนังทั้ง 3 ภาค ประสบความสำเร็จในระดับน่าพอใจ ทำให้แต่ละภาคทิ้งช่วงห่างกันอย่างมากก็ 6 ปี แฟน ๆ ก็เฝ้ารอคอยการมาถึงของภาค 4 แต่ผ่านไปเป็น 10 ปีก็ยังไม่เห็นวี่แววของภาคต่อมาสักที

อินสตาแกรม ประกาศเดิหหน้าภาค 4 ที่แจ็กกี้ ชาน ออกมาปฏิเสธภายหลัง

เหตุผลที่ไม่มีภาค 4 : เหตุผลอย่างแรกเลย คือตัว แจ็กกี้ ชาน เองที่ไม่พอใจบทภาพยนตร์สักฉบับเดียว มีการส่งบทให้เขาพิจารณาหลายครั้ง แต่ แจ็กกี้ ชาน ก็ไม่ถูกใจ จนกระทั่งในเดือน ตุลาคม 2017 เขาก็ได้บทที่ถูกใจเสียที, กุมภาพันธ์ 2018 คริส ทัคเกอร์ ประกาศว่าเขายินดีกลับมาร่วมงานในภาค 4, เมษายน 2019 คริส ทัคเกอร์ และ แจ็กกี้ ชาน โพสต์ภาพคู่กันผ่านทางอินสตาแกรม หลายสื่อพร้อมใจกันลงข่าวว่านี่น่าจะเป็นสัญญาณว่า Rush hour 4 เริ่มต้นการถ่ายทำแล้ว แต่ไม่นานจากนั้น ตัวแทนของ แจ็กกี้ ชาน ก็ออกมาแก้ข่าวว่ายังไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เหตุผลที่ 2 ที่เป็นการปิดฉาก Rush hour4 เกิดขึ้นในปี 2017เมื่อผู้กำกับ เบร็ตต์ แรตเนอร์ ตกเป็นหนึ่งในผู้ต้องหาตามกระแสฮิต “การคุกคามทางเพศในแวดวงฮอลลีวูด” ทำให้ Warner Bros. ยุติความสัมพันธ์กับ RatPac-Dune Entertainment บริษัทสร้างหนังของ เบร็ตต์ แรตเนอร์

ทั้งหมดนี้คือสถานการณ์ในปี 2020 ซึ่งเหตุผลเหล่านี้ก็ยังฟันธงไม่ได้ 100% ว่าไตรภาคเหล่านี้จะไม่มีภาคต่อ ดูอย่าง Marry Poppins สิ 54 ปี ยังมีภาคต่อตามมาได้เลย

อ้างอิง